เถ้าแก่สมองเหงามาหลายปีหลังจากเพื่อนเก่าเสียชีวิตลง ต่อเมื่อพบว่าพนักงานส่งเอกสารคนใหม่โขกหมากรุกได้สูสีกับตน ก็ถูกใจและเอ่ยชม
ลื้อนี่ฉลาดพอกับอั๊ว
จะเป็นไปได้ยังไงครับเถ้าแก่ เถ้าแก่มีสติปัญญาพอจะเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนผมมีปัญญาแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ส่งเอกสารให้เถ้าแก่
นั่นเป็นเพราะลื้อเอาแต่คิดเรื่องหมากในกระดานหมากรุก ขณะที่อั๊วคิดเรื่องหมากในชะตาชีวิตด้วย
เอ๋?
อั๊วจะขยายความด้วยการถามให้ลื้อตอบนะ ลื้อเป็นเมสเซนเจอร์ที่โน่นที่นี่มากี่ปีแล้ว?
เกือบเจ็ดปีครับเถ้าแก่ ตั้งแต่อายุ ๑๘
เจ็ดปีที่ผ่านมาทำไมไม่หาทางเรียนต่อ?
ไม่มีเวลาน่ะสิเถ้าแก่ ผมต้องทำงานเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุ ๑๕ รับจ๊อบทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าชีวิตผมเป็นกระดานหมากรุก ผมก็ถูกริบตัวหมากสำคัญตั้งแต่เริ่มเล่นเกม ถูกบีบให้จนตรอกง่าย
แต่ตอนลื้อเล่นกับอั๊วแล้วเสียเปรียบ ลื้อก็พยายามสู้ขาดใจนี่หว่า และถึงแพ้ แต่ใจลื้อก็ยังอยากเอาชนะ ตั้งต้นเล่นเกมใหม่ไปเรื่อย หลายเกมลื้อพลิกจากจวนแพ้ลุ่ยมาเป็นชนะขาดได้ด้วยซ้ำ ทำไมลื้อไม่เอาความพยายามพลิกเกมหมากรุกมาพลิกเกมชีวิตบ้างล่ะ?
ก็นั่นมันเกมสั้นๆ เล่นแล้วสนุก ไม่ต้องเหนื่อยกาย ไม่ต้องเสียใจกับการเสี่ยงที่สูญเปล่านี่ครับเถ้าแก่ อีกอย่าง ชีวิตไม่ได้พลิกง่ายแบบเกมสั้นนะ ผมต้องต่อสู้กับศัตรูไม่มีตัวตนที่ใครๆเรียกมันว่า ‘ชะตากรรม’ มันเห็นทุกการวางแผนของผม ในขณะที่ผมมองไม่เห็นการวางแผนของมันเลยแม้แต่ตาเดียว!
ก็ลื้อจะไปรู้แผนของมันได้ยังไง ในเมื่อชีวิตที่ผ่านมาลื้อมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ว่าอะไรเป็นหมากฝ่ายลื้อ อะไรเป็นหมากฝ่ายชะตากรรม
อะไรเป็นหมากฝ่ายผม?
ทายซิ
ก็คง… สมบัติที่ผมมี ญาติที่ผมรัก เพื่อนที่มีน้ำใจ
ผิด! หมากทั้งหมดที่ลื้อมีคือตัวเอง นอกเหนือจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตลื้อล้วนเป็นตัวหมากฝ่ายชะตากรรมทั้งสิ้น!
เอ่อ… ชักเห็นรางๆ แต่ไม่เข้าใจอ้ะ
ชะตากรรมใช้ทุกสิ่งที่ลื้อมีมาเล่นงานลื้อได้หมด สมบัติอาจนำภัยมาสู่ตัวลื้อเอง ญาติสนิทมีสิทธิ์แอบฆ่าลื้อได้ง่ายกว่าใครตอนทะเลาะกัน แล้วเพื่อนที่มีน้ำใจก็อาจลำเลิกบุญคุณแถมไถเงินลื้อภายหลัง ทั้งชีวิตมีแต่ตัวลื้อเท่านั้น ที่จะทำเพื่อตัวลื้อไปจนตาย ไม่กลับไปกลับมา และไม่ต้องขึ้นตรงกับชะตากรรม อาจฮึดฝืนสู้กับชะตากรรมได้!
เริ่มเข้าใจแล้วครับ ขอสารภาพว่าหลายครั้งผมมองลูกๆของเถ้าแก่ด้วยความอิจฉา ว่าทำบุญอะไรกันมา ไม่เห็นต้องพยายามถีบตัวเองเหมือนผม
ชาติก่อนพวกมันเคยทำบุญอะไรกันมาอั๊วไม่รู้ รู้แต่ชาตินี้พวกมันทำบาปด้วยการขี้เกียจShipหาย และถ้าขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ วันหนึ่งสมบัติก็ต้องShipหายวายป่วงตามความขี้เกียจของพวกมันแน่ ไม่ต่างจากนักหมากรุกที่สักแต่เดินตาต่อตาอย่างเนือยนาย เพื่อความสูญเปล่า และปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามกินฟรีไปเรื่อยๆ
ผมขยันขันแข็ง ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำมาตลอด แต่ก็แพ้ทางชะตากรรมอยู่ดี ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด ล้มเหลวไปหมด
แล้วทีตาเดินในเกมหมากรุกเงี้ย ลื้อรู้ดีไปหมด ว่าวางหมากอย่างไรให้ถูกจุด วางหมากอย่างไรถึงแก้เกมจากเพลี่ยงพล้ำ พลิกกลับมาเป็นเอาเปรียบได้ ทำไมลื้อไม่หาทางวางหมากของชีวิตให้เข้าจุดฉลาด แหวกแนวจากวิธีเดิมๆบ้างล่ะ?
มันไม่ง่ายนะเถ้าแก่
ก็ไม่ง่ายน่ะซี! ในเกมหมากรุกลื้อก็พยายามคิดหาตาฉลาดอยู่ตลอดเวลา แต่ละตามันง่ายนักหรือ? นี่ไง! อั๊วถึงบอกว่าลื้อฉลาดพอกับอั๊วในเกมหมากรุก แต่ต่างกับอั๊วที่ลื้อไม่ใช้ความฉลาดในไปเล่นเกมชีวิตเสียบ้าง!
ฟังแล้วอึ้งเลย
ทั้งโลกเต็มไปด้วยคนแบบลื้อ คือฉลาด มีความสามารถ แต่ยอมแพ้ชะตากรรม หรือไม่ก็หันไปหมกมุ่นกับการละเล่น ปลอบใจตัวเองไปวันๆ ถ้าเอาความฉลาดและความพากเพียรเท่ากับที่ใช้เล่นเกมมาหาอุบายพลิกชีวิต ก็จะได้ทั้งความระทึก ได้ทั้งรางวัลเป็นชีวิตใหม่ของจริง แทนที่จะเป็นแค่คะแนนหลอกๆในเกมเอาสนุก
ตัวหมากที่ผมขาดไปน่าจะเป็นวิธีคิดแบบเถ้าแก่กระมัง
เปล่าเลย! ตรงข้ามด้วยซ้ำ ถ้าลื้อเดินหมากรุกได้ลึกซึ้งขนาดนี้ แปลว่าลื้อน่าจะมีวิธีคิดแบบเถ้าแก่อยู่แล้วล่ะ สิ่งที่ลื้อขาดไปคือการ ‘เริ่มใช้’ วิธีคิดแบบเถ้าแก่ต่างหาก!
น่าจะจริง
อั๊วหาเงินเองตั้งแต่ ๑๕ เท่าลื้อ แต่สิ่งที่อั๊ว ‘หา’ มากกว่าลื้อคือโอกาส! ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน อั๊วสังเกตแทบทุกสิ่งที่อยู่ข้างทาง ว่ามีอะไรเป็นโอกาสของอั๊วบ้าง ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับที่อั๊วดูเกือบทุกตาเดินในกระดานหมากรุก ว่ามีช่องแคบช่องไหนเปิดโอกาสให้อั๊วเข้าทำได้บ้าง
ผมยอมรับ ผมไม่เคยหาโอกาสเพิ่ม และผมก็เพิ่งคิดได้เดี๋ยวนี้ ว่าในเกมหมากรุกนั้น แม้นึกว่าได้ตาเดินที่ดีแล้ว แต่เราก็มีสิทธิ์คิดหาทางลัด หรือเลือกวิธีที่ฉลาดขึ้นกว่าเดิมได้เสมอ
นั่นไง! แค่ลื้อเลิกคิดถึงข้ออ้างให้ยอมจำนน สิ่งที่เหลืออยู่ในหัวลื้อ ก็คือข้อคิดแบบเถ้าแก่!
จะเป็นเถ้าแก่ต้องเล่นเกมชนะชะตากรรมได้กี่ครั้งครับ?
ลื้อแค่ชนะใจตัวเอง เปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองได้ครั้งเดียวก็พอ ลื้อเป็นเถ้าแก่ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ไม่ใช่เพิ่งไปเป็นเอาตอนมีกิจการ!
คุยกันผมรู้สึกว่าเถ้าแก่ปิดตาโง่ในเกมชีวิตไว้หมดแล้ว
ยังหรอก! อั๊วเพิ่งมาฉุกคิดอะไรได้อย่าง ถ้าชีวิตคือเกม ก็คงเหมือนหมากรุก ที่จะมีกระดานใหม่ให้เล่นต่อ ตราบเท่าที่เรายังติดใจอยากเล่น
เอ๋อ?
อั๊วว่าน่าเบื่อตายชัก ถ้ามีชาติหน้าและต้องเกิดใหม่ แค่คิดว่าจะกลับไปทำงานหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่อายุ ๑๕ อีกครั้ง อั๊วก็เข่าอ่อนไปหมดแล้ว
แล้วจะวางหมากยังไงล่ะทีนี้?
อันนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจมากกว่าความฉลาดวางหมาก ตาเดินที่นึกว่าฉลาดที่สุดในชีวิตก็ยังโง่อยู่ดี ถ้าไม่รู้ว่าเดินแล้วจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้ากันแน่
แล้วทำไงถึงรู้และเข้าใจแน่ๆว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าล่ะครับ?
เกมไม่ได้มีไว้ให้เล่นอย่างเดียว แต่มีไว้ให้เลิกด้วย เรารู้แน่ว่าถ้ายังเล่นก็ยังต้องเหนื่อยกับการแพ้ชนะ เท่าๆกับที่รู้ว่าเลิกได้เมื่อไร ความเหนื่อยก็ยุติลงเมื่อนั้น
หมายความว่าต้องเลิกแม้แต่การอยากเป็นเถ้าแก่ด้วยเหรอครับ?
เป็นเถ้าแก่มันไม่ใช่แค่มีชีวิตมั่งคั่งอย่างเถ้าแก่ แต่ต้องทนเหนื่อยกับการเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นมาเป็นเถ้าแก่ด้วย และต่อให้ค้าขายได้กำไรมาทั้งชีวิต วันหนึ่งชีวิตก็ริบกำไรคืนไปหมด… อั๊วเพิ่งได้คำตอบใหม่เมื่อไม่นานนี้ ว่าถ้าไม่อยากทนทุกข์กับการเป็นอะไร ก็ต้องทำใจให้ถึงความไม่อยากเป็นอะไร และถ้าไม่อยากสูญเสียอะไร ก็ต้องทำใจให้ถึงความไม่มีอะไรให้เสีย
คิดอย่างถ้าแก่คือยอมเหนื่อย
เพื่อผลกำไรทางการค้า
คิดอย่างคนฉลาดกว่าเถ้าแก่คือหาทาง
เพื่อไม่ต้องขาดทุนกับการเกิดมา
http://www.dungtrin.com/empty3/05.htm
เถ้าแก่สอนหมาก
เถ้าแก่สมองเหงามาหลายปีหลังจากเพื่อนเก่าเสียชีวิตลง ต่อเมื่อพบว่าพนักงานส่งเอกสารคนใหม่โขกหมากรุกได้สูสีกับตน ก็ถูกใจและเอ่ยชม
ลื้อนี่ฉลาดพอกับอั๊ว
จะเป็นไปได้ยังไงครับเถ้าแก่ เถ้าแก่มีสติปัญญาพอจะเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนผมมีปัญญาแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ส่งเอกสารให้เถ้าแก่
นั่นเป็นเพราะลื้อเอาแต่คิดเรื่องหมากในกระดานหมากรุก ขณะที่อั๊วคิดเรื่องหมากในชะตาชีวิตด้วย
เอ๋?
อั๊วจะขยายความด้วยการถามให้ลื้อตอบนะ ลื้อเป็นเมสเซนเจอร์ที่โน่นที่นี่มากี่ปีแล้ว?
เกือบเจ็ดปีครับเถ้าแก่ ตั้งแต่อายุ ๑๘
เจ็ดปีที่ผ่านมาทำไมไม่หาทางเรียนต่อ?
ไม่มีเวลาน่ะสิเถ้าแก่ ผมต้องทำงานเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุ ๑๕ รับจ๊อบทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าชีวิตผมเป็นกระดานหมากรุก ผมก็ถูกริบตัวหมากสำคัญตั้งแต่เริ่มเล่นเกม ถูกบีบให้จนตรอกง่าย
แต่ตอนลื้อเล่นกับอั๊วแล้วเสียเปรียบ ลื้อก็พยายามสู้ขาดใจนี่หว่า และถึงแพ้ แต่ใจลื้อก็ยังอยากเอาชนะ ตั้งต้นเล่นเกมใหม่ไปเรื่อย หลายเกมลื้อพลิกจากจวนแพ้ลุ่ยมาเป็นชนะขาดได้ด้วยซ้ำ ทำไมลื้อไม่เอาความพยายามพลิกเกมหมากรุกมาพลิกเกมชีวิตบ้างล่ะ?
ก็นั่นมันเกมสั้นๆ เล่นแล้วสนุก ไม่ต้องเหนื่อยกาย ไม่ต้องเสียใจกับการเสี่ยงที่สูญเปล่านี่ครับเถ้าแก่ อีกอย่าง ชีวิตไม่ได้พลิกง่ายแบบเกมสั้นนะ ผมต้องต่อสู้กับศัตรูไม่มีตัวตนที่ใครๆเรียกมันว่า ‘ชะตากรรม’ มันเห็นทุกการวางแผนของผม ในขณะที่ผมมองไม่เห็นการวางแผนของมันเลยแม้แต่ตาเดียว!
ก็ลื้อจะไปรู้แผนของมันได้ยังไง ในเมื่อชีวิตที่ผ่านมาลื้อมองไม่เห็นด้วยซ้ำ ว่าอะไรเป็นหมากฝ่ายลื้อ อะไรเป็นหมากฝ่ายชะตากรรม
อะไรเป็นหมากฝ่ายผม?
ทายซิ
ก็คง… สมบัติที่ผมมี ญาติที่ผมรัก เพื่อนที่มีน้ำใจ
ผิด! หมากทั้งหมดที่ลื้อมีคือตัวเอง นอกเหนือจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตลื้อล้วนเป็นตัวหมากฝ่ายชะตากรรมทั้งสิ้น!
เอ่อ… ชักเห็นรางๆ แต่ไม่เข้าใจอ้ะ
ชะตากรรมใช้ทุกสิ่งที่ลื้อมีมาเล่นงานลื้อได้หมด สมบัติอาจนำภัยมาสู่ตัวลื้อเอง ญาติสนิทมีสิทธิ์แอบฆ่าลื้อได้ง่ายกว่าใครตอนทะเลาะกัน แล้วเพื่อนที่มีน้ำใจก็อาจลำเลิกบุญคุณแถมไถเงินลื้อภายหลัง ทั้งชีวิตมีแต่ตัวลื้อเท่านั้น ที่จะทำเพื่อตัวลื้อไปจนตาย ไม่กลับไปกลับมา และไม่ต้องขึ้นตรงกับชะตากรรม อาจฮึดฝืนสู้กับชะตากรรมได้!
เริ่มเข้าใจแล้วครับ ขอสารภาพว่าหลายครั้งผมมองลูกๆของเถ้าแก่ด้วยความอิจฉา ว่าทำบุญอะไรกันมา ไม่เห็นต้องพยายามถีบตัวเองเหมือนผม
ชาติก่อนพวกมันเคยทำบุญอะไรกันมาอั๊วไม่รู้ รู้แต่ชาตินี้พวกมันทำบาปด้วยการขี้เกียจShipหาย และถ้าขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ วันหนึ่งสมบัติก็ต้องShipหายวายป่วงตามความขี้เกียจของพวกมันแน่ ไม่ต่างจากนักหมากรุกที่สักแต่เดินตาต่อตาอย่างเนือยนาย เพื่อความสูญเปล่า และปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามกินฟรีไปเรื่อยๆ
ผมขยันขันแข็ง ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำมาตลอด แต่ก็แพ้ทางชะตากรรมอยู่ดี ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด ล้มเหลวไปหมด
แล้วทีตาเดินในเกมหมากรุกเงี้ย ลื้อรู้ดีไปหมด ว่าวางหมากอย่างไรให้ถูกจุด วางหมากอย่างไรถึงแก้เกมจากเพลี่ยงพล้ำ พลิกกลับมาเป็นเอาเปรียบได้ ทำไมลื้อไม่หาทางวางหมากของชีวิตให้เข้าจุดฉลาด แหวกแนวจากวิธีเดิมๆบ้างล่ะ?
มันไม่ง่ายนะเถ้าแก่
ก็ไม่ง่ายน่ะซี! ในเกมหมากรุกลื้อก็พยายามคิดหาตาฉลาดอยู่ตลอดเวลา แต่ละตามันง่ายนักหรือ? นี่ไง! อั๊วถึงบอกว่าลื้อฉลาดพอกับอั๊วในเกมหมากรุก แต่ต่างกับอั๊วที่ลื้อไม่ใช้ความฉลาดในไปเล่นเกมชีวิตเสียบ้าง!
ฟังแล้วอึ้งเลย
ทั้งโลกเต็มไปด้วยคนแบบลื้อ คือฉลาด มีความสามารถ แต่ยอมแพ้ชะตากรรม หรือไม่ก็หันไปหมกมุ่นกับการละเล่น ปลอบใจตัวเองไปวันๆ ถ้าเอาความฉลาดและความพากเพียรเท่ากับที่ใช้เล่นเกมมาหาอุบายพลิกชีวิต ก็จะได้ทั้งความระทึก ได้ทั้งรางวัลเป็นชีวิตใหม่ของจริง แทนที่จะเป็นแค่คะแนนหลอกๆในเกมเอาสนุก
ตัวหมากที่ผมขาดไปน่าจะเป็นวิธีคิดแบบเถ้าแก่กระมัง
เปล่าเลย! ตรงข้ามด้วยซ้ำ ถ้าลื้อเดินหมากรุกได้ลึกซึ้งขนาดนี้ แปลว่าลื้อน่าจะมีวิธีคิดแบบเถ้าแก่อยู่แล้วล่ะ สิ่งที่ลื้อขาดไปคือการ ‘เริ่มใช้’ วิธีคิดแบบเถ้าแก่ต่างหาก!
น่าจะจริง
อั๊วหาเงินเองตั้งแต่ ๑๕ เท่าลื้อ แต่สิ่งที่อั๊ว ‘หา’ มากกว่าลื้อคือโอกาส! ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน อั๊วสังเกตแทบทุกสิ่งที่อยู่ข้างทาง ว่ามีอะไรเป็นโอกาสของอั๊วบ้าง ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับที่อั๊วดูเกือบทุกตาเดินในกระดานหมากรุก ว่ามีช่องแคบช่องไหนเปิดโอกาสให้อั๊วเข้าทำได้บ้าง
ผมยอมรับ ผมไม่เคยหาโอกาสเพิ่ม และผมก็เพิ่งคิดได้เดี๋ยวนี้ ว่าในเกมหมากรุกนั้น แม้นึกว่าได้ตาเดินที่ดีแล้ว แต่เราก็มีสิทธิ์คิดหาทางลัด หรือเลือกวิธีที่ฉลาดขึ้นกว่าเดิมได้เสมอ
นั่นไง! แค่ลื้อเลิกคิดถึงข้ออ้างให้ยอมจำนน สิ่งที่เหลืออยู่ในหัวลื้อ ก็คือข้อคิดแบบเถ้าแก่!
จะเป็นเถ้าแก่ต้องเล่นเกมชนะชะตากรรมได้กี่ครั้งครับ?
ลื้อแค่ชนะใจตัวเอง เปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองได้ครั้งเดียวก็พอ ลื้อเป็นเถ้าแก่ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ไม่ใช่เพิ่งไปเป็นเอาตอนมีกิจการ!
คุยกันผมรู้สึกว่าเถ้าแก่ปิดตาโง่ในเกมชีวิตไว้หมดแล้ว
ยังหรอก! อั๊วเพิ่งมาฉุกคิดอะไรได้อย่าง ถ้าชีวิตคือเกม ก็คงเหมือนหมากรุก ที่จะมีกระดานใหม่ให้เล่นต่อ ตราบเท่าที่เรายังติดใจอยากเล่น
เอ๋อ?
อั๊วว่าน่าเบื่อตายชัก ถ้ามีชาติหน้าและต้องเกิดใหม่ แค่คิดว่าจะกลับไปทำงานหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่อายุ ๑๕ อีกครั้ง อั๊วก็เข่าอ่อนไปหมดแล้ว
แล้วจะวางหมากยังไงล่ะทีนี้?
อันนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจมากกว่าความฉลาดวางหมาก ตาเดินที่นึกว่าฉลาดที่สุดในชีวิตก็ยังโง่อยู่ดี ถ้าไม่รู้ว่าเดินแล้วจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้ากันแน่
แล้วทำไงถึงรู้และเข้าใจแน่ๆว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าล่ะครับ?
เกมไม่ได้มีไว้ให้เล่นอย่างเดียว แต่มีไว้ให้เลิกด้วย เรารู้แน่ว่าถ้ายังเล่นก็ยังต้องเหนื่อยกับการแพ้ชนะ เท่าๆกับที่รู้ว่าเลิกได้เมื่อไร ความเหนื่อยก็ยุติลงเมื่อนั้น
หมายความว่าต้องเลิกแม้แต่การอยากเป็นเถ้าแก่ด้วยเหรอครับ?
เป็นเถ้าแก่มันไม่ใช่แค่มีชีวิตมั่งคั่งอย่างเถ้าแก่ แต่ต้องทนเหนื่อยกับการเดินขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นมาเป็นเถ้าแก่ด้วย และต่อให้ค้าขายได้กำไรมาทั้งชีวิต วันหนึ่งชีวิตก็ริบกำไรคืนไปหมด… อั๊วเพิ่งได้คำตอบใหม่เมื่อไม่นานนี้ ว่าถ้าไม่อยากทนทุกข์กับการเป็นอะไร ก็ต้องทำใจให้ถึงความไม่อยากเป็นอะไร และถ้าไม่อยากสูญเสียอะไร ก็ต้องทำใจให้ถึงความไม่มีอะไรให้เสีย
คิดอย่างถ้าแก่คือยอมเหนื่อย
เพื่อผลกำไรทางการค้า
คิดอย่างคนฉลาดกว่าเถ้าแก่คือหาทาง
เพื่อไม่ต้องขาดทุนกับการเกิดมา
http://www.dungtrin.com/empty3/05.htm