วันนี้ตื่นตีห้ากว่าๆ ตั้งใจปั่นไปไหว้หลวงพ่อลี่ วัดสละบาป วัดที่เคยบวชเป็นพระรับใช้พระศาสนา ออกจากบ้านเกือบ 7 โมงเช้า ใช้เส้นทางไปทางวัดพระนอนจักร์สีห์ ความจริงแล้ววัดสละบาปห่างจากบ้านผมไม่ถึง 10 กม. แต่ทุกวันที่ออกปั่นตั้งใจว่าจะไม่ให้ต่ำกว่า 40-50 กม. เลยปั่นเลยทางเข้าวัดไปทางท่าข้าม ข้ามแม่น้ำน้อย เลี้ยวขวาไป รง.น้ำตาล ผ่านวัดจุกคลี วัดใหญ่ วัดม่วงชุม ถึงตลาด อ.บางระจัน แปดโมงกว่าๆแล้ว หิวจัง เห็นร้านโจ๊กตรงดิ่งไปเลย จอดรถสั่งโจ๊กรวมใส่ไข่ 1 ครับ ผลที่ได้คือแห้ว 1 ลูก หมดแล้วจ้า แม่ค้าตอบเสียงใส ขายดีมากเลยนะ ผมเลยเปลี่ยนแผนขี่เข้าไปในตลาดเก่า เจอร้านขายข้าวอยู่ริมแม่น้ำ บรรยากาศสุดยอด จอดรถสั่งต้มเลือดหมู + ข้าวเปล่า 1ชุด ระหว่างรอก็นั่งชมวิวริมแม่น้ำน้อยตอนปลายฝน ต้นหนาว น้ำไหลรินช้าๆ แสงแดดอบอุ่นตกกระทบเป็นประกาย กระชังเลี้ยงปลาลอยเป็นทิวแถว ชาวบ้านให้อาหารปลาเป็นกลุ่มๆ ร้านที่ผมกินข้าวก็มีกระชังเลี้ยงปลาอยู่ 4-5 กระชัง เลี้ยงทั้งปลาทับทิม ปลานิล ปลาสวาย เทโพ ตอนแรกนึกว่าเลี้ยงไว้ทำอาหารขาย ถามเขาบอกว่าตอนแรกก็คิดจะเอามากิน แต่พอให้อาหารทุกวัน ปลามันคุ้นเคย ว่ายมาหา เลยกินไม่ลง ถ้าจะกินจะฆ่าจะซื้อที่อื่น เลยกลายเป็นว่าร้านนี้มีตู้ปลาที่ใหญ่เอาการเหมือนกัน อาหารที่เลี้ยงปลาเขาก็เอามาจากเศษอาหาร เศษผักที่เหลือจากการขายอาหารนั่นเอง
ต้มเลือดหมูร้อนๆยกมาเสริฟ พร้อมข้าวจานพูน ต้มเลือดหมูชามนี้ มีทั้งหมูสับ หมูชิ้น เครื่องใน ผักต่างๆ เต็มชาม รสชาดใช้ได้ แม้จะยังเทียบไม่ได้กับ เฮียเล็กเลือดหมูที่สายเอเซียใกล้ๆวัดอัมพวัน เจ้านั้นนับเป็นอาหารจานด่วนที่สุดยอดเจ้าหนึ่งของเมืองสิงห์ กินเสร็จจ่ายตังค์ 40 บาท น้ำฟรี แถมกรอกใส่กระติกไปกินระหว่างทางได้อีก ปั่นเลาะริมน้ำน้อยมาเรื่อยๆ จนถึงวัดสิงห์ ถ้าข้ามสะพานตอนนี้ ก็จะถึงวัดสละบาปเลย แต่ระยะทางยังไม่ได้ตามเป้า เลยปั่นต่อไปอีก จนถึงวัดม่วง ข้ามสะพานตรงนี้ ต้องจูงข้ามเพราะชันมาก ข้ามมาได้ปั่นต่อมายังวัดสาธุการาม เลยไปหน่อย ข้ามสะพานข้ามคลอง ปั่นออกกลางทุ่งมุ่งไปวัดสละบาป
วัดสละบาปแม้จะเคยอยู่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มีเรื่องราวประทับใจหลายเรื่อง อาทิ วัดนี้เป็นกึ่งวัดกึ่งป่า มีสวนมะม่วงเต็มไปหมด ตอนผมบวช ท่านเจ้าอาวาส ให้ผมพักที่กฏิของท่านเพราะผมบวชน้อย ตอนแรกก็ดีใจว่านอนกับเจ้าอาวาสน่าจะสบาย ที่ไหนได้ท่านให้นอนเฝ้ารถของวัดที่ระเบียงหน้ากุฏิ ผมนอนในมุ้งต้องระวังมากๆ เพราะชาวบ้านมาวัดกันแต่เช้ามืด ผมนุ่งห่มจีวรนอนดิ้นไปมา มันคอยจะหลุดลุ่ยออกมาเรื่อย ต้องรีบตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพราะกลัวชาวบ้านเขาจะนึกว่ามีเปรตมานอนที่วัด ตื่นมาก็รีบไปกวาดลานวัด เก็บมะม่วงที่ตกหล่น มะม่วงพันธุ์ดีทั้งนั้น เก็บมาก็ไม่มีใครกินกัน กองพะเนินเทินทึก เน่าเสียเต็มไปหมด ประมาณตีห้าครึ่งก็อาบน้ำ เตรียมไปบิณฑบาต เส้นทางที่ออกเดินก็เป็นทางลูกรัง ระยะทางราวๆ 2 กม. พระที่ไปด้วยกันมี 4-5 รูป ผมอาวุโสน้อยสุดอยู่หลัง ปิดขบวนด้วยเณร อายุราวๆ 15-16 ปี มันทำหน้าที่ ถือปิ่นโต หิ้วของ ที่ชาวบ้านถวายมา การเดินบิณฑบาตมันเป็นอะไรที่มรมานมาก ทั้งลูกรัง หนามโคกกระสุน ทิ่มแทงเท้า ต้องกระย่องกระอย่งไปตลอดทาง แม้จะทรมานอย่างไร ผมก็พยายามออกบิณฯทุกวัน เพราะตระหนักดีว่าเป็นหน้าที่ของสงฆ์ที่จะต้องออกโปรดสัตว์ แม้ว่าจะให้ศีลให้พรอะไรไม่เป็น ชาวบ้านใส่บาตรกันพอสมควร อาหารที่ดีที่สุดที่จะหาได้ถูกเอามาถวายพระ ด้วยจิตใจมุ่งหวังจะให้พระได้กินดีๆ ตัวเองจะมีกินอย่างไรหรือไม่ หาได้สนใจ ใส่บาตรสำคัญกว่า
สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านใส่บาตรกันมากก็คือมะม่วงสุก เนื่องจากมีกันแทบทุกบ้าน ภาระตกที่ไอ้เณรนั่นเอง มันจะต้องหิ้วมะม่วงเป็นสิบๆกิโล เดินทางกว่า 2 กม.กลับวัด ผมช่วยมันส่วนหนึ่งเพราะสงสาร มันปรึกษาผมว่าโยนทิ้งไหมหลวงพี่ ผมบอกไม่ได้โว้ย อาบัติ ยังไงๆก้ต้องไปให้ถึงวัด พอถึงวัดมันก็โยนมะม่วงทั้งหมดทิ้งไว้ที่กองมะม่วงที่ผมเก็บตอนเช้า พร้อมกับนั่งหอบแฮ่กๆอยู่พักใหญ่ๆ รอวันรุ่งขึ้นจะได้ไปหอบมะม่วงมาใหม่ ผมกับไอ้เณรซี้กัน เพราะอายุใกล้เคียงกันและผมไม่เคยรังแกมันเลย มันบวชมาก่อน พอจะท่องบ่นอะไรได้แต่พระอาวุโสกว่าเณร มันเลยกลายเป็นเบ๊ของวัดไปกลายๆ เนื่องจากวัดไม่มีเด็กวัด พระรูปอื่นๆมักชอบรังแกมัน มันเลยชอบผม และคอยช่วยเหลือรับใช้ผมทุกอย่าง มีอยู่วันหนึ่ง พระทั้งวัดถูกนิมนต์ไปงานแต่งงานทั้งหมด ยกเว้นผมกับไอ้เณร อยู่วัด ผมสวดอะไรไม่เป็น ไอ้เณรก็เด็ก เขาเลยไม่นิมนต์ ปัญหามันอยู่ที่ตอนฉันเพล ผมให้พรไม่เป็น เป็นหน้าที่ของไอ้เณรต้องสัพพีเอง แม่ชีนั่งหัวเราะน้ำหมากกระเด็นเลย
วัดสละบาปวันนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ ต้นไม้โตขึ้นมาก ต้นมะม่วงไม่มีแล้ว ผมขี่จักรยานวนหาโบสถ์ที่เคยบวช จำได้ว่าเป็นอาคารเก่าๆไม่มีแม้แต่ผนัง มีแค่พระประธานกับใบเสมาก็บวชพระได้เป็นองค์เหมือนโบสถ์ราคาหลายสิบล้าน สาเหตุที่ผมเลือกบวชที่นี่ ทั้งๆที่บ้านไม่ได้อยู่แถวนี้ เพราะศรัทธาในต้วเจ้าอาวาส หลวงพ่อสาลี่ ท่านเป็นพระดี มีวัตรปฏิบัติที่งดงาม น่าเคารพนับถือ ผมสอบถามพระที่กวาดวัดอยู่ว่าโบสถ์เก่าอยู่ไหน เห็นแต่โบสถ์ใหม่ๆราคาหลายล้านตระหง่านอยู่ ท่านก็ชี้ให้ ผมเลยวนเข้าไปอีก มีพระประธานองค์เก่ายังอยู่ และมีรูปหล่อหลวงพ่อก๊กตั้งอยู่ด้วย ผมกราบด้วยความตื้นตันใจ ผมเคยเป็นพระที่นี่ ได้รับใช้พระศาสนาที่นี่ วันนี้อาคารได้รับการต่อเติมแข็งแรง มีเหล็กดัด ประตูลูกกรง คงเอาไว้กันโจร ที่เดี๋ยวนี้ไม่เว้น แม้แต่วัด แม้แต่ป่าช้า แม้แต่เมรุเผาศพ เคยคุยกับช่างตัดผมคนหนึ่ง แกบอกว่ามีลูกชาย3คน โชคดีที่สุดไม่ติดยาเลยสักคน แกบอกว่าถ้าใครเลี้ยงลูกไม่ติดยาได้ ถือว่าสุดยอดแล้ว แกยังบอกต่อไปว่า ทักษิณจะเลวหรือชั่วหรือไม่ แกไม่เคยรู้เห็น แต่ที่ตรึงใจแกถึงทุกวันนี้ก็คือการปราบยาบ้า ที่ไม่มีใครจะทำได้อีกแล้วในประเทศนี้ ซึ่งผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์
กลับจากวัดสละบาป วัดเล็กๆไร้ชื่อเสียงใดๆ ท่านหลวงพ่อสาลี่มรณะภาพไปนานแล้ว ประวัติวัดนี้สร้างมาหลายร้อยปี เพื่อไถ่บาปจากการฆ่าพ่อของสิงหพาหุ ซึ่งอับอายที่มีพ่อเป็นสิงห์ เลยวางแผนฆ่าพ่อตัวเอง หลังจากสำนึกจึงสร้างวัดหลายวัดเพื่อชดใช้กรรม มีวัดพระนอนจักร์สีห์ วัดประโชติการาม วัดโพธิ์ศรี รวมถึงวัดสละบาปนี้ด้วยซึ่งแต่เดิมชื่อวัดสระบาป พื้นที่ 80 ไร่ของวัดนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ อากาศร่มเย็นสงบ หากท่านใดอยากไปเที่ยวก็น่าจะได้รับควาสงบสุข แต่ถ้าจะแสวงเลข แสวงโชค แสวงหาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ วัดนี้คงไม่อาจตอบโจทย์ได้ ผมปั่นกลับบ้านเวลา เก้าโมงเศษๆ ระยะทาง 37 กม. เอวี 17.7 แม็กซ์ 35.7 เผาไป 425 แคลอรี่
ปั่นจักรยานไปกราบหลวงพ่อก๊ก วัดสละบาปสิงห์บุรี
ต้มเลือดหมูร้อนๆยกมาเสริฟ พร้อมข้าวจานพูน ต้มเลือดหมูชามนี้ มีทั้งหมูสับ หมูชิ้น เครื่องใน ผักต่างๆ เต็มชาม รสชาดใช้ได้ แม้จะยังเทียบไม่ได้กับ เฮียเล็กเลือดหมูที่สายเอเซียใกล้ๆวัดอัมพวัน เจ้านั้นนับเป็นอาหารจานด่วนที่สุดยอดเจ้าหนึ่งของเมืองสิงห์ กินเสร็จจ่ายตังค์ 40 บาท น้ำฟรี แถมกรอกใส่กระติกไปกินระหว่างทางได้อีก ปั่นเลาะริมน้ำน้อยมาเรื่อยๆ จนถึงวัดสิงห์ ถ้าข้ามสะพานตอนนี้ ก็จะถึงวัดสละบาปเลย แต่ระยะทางยังไม่ได้ตามเป้า เลยปั่นต่อไปอีก จนถึงวัดม่วง ข้ามสะพานตรงนี้ ต้องจูงข้ามเพราะชันมาก ข้ามมาได้ปั่นต่อมายังวัดสาธุการาม เลยไปหน่อย ข้ามสะพานข้ามคลอง ปั่นออกกลางทุ่งมุ่งไปวัดสละบาป
วัดสละบาปแม้จะเคยอยู่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มีเรื่องราวประทับใจหลายเรื่อง อาทิ วัดนี้เป็นกึ่งวัดกึ่งป่า มีสวนมะม่วงเต็มไปหมด ตอนผมบวช ท่านเจ้าอาวาส ให้ผมพักที่กฏิของท่านเพราะผมบวชน้อย ตอนแรกก็ดีใจว่านอนกับเจ้าอาวาสน่าจะสบาย ที่ไหนได้ท่านให้นอนเฝ้ารถของวัดที่ระเบียงหน้ากุฏิ ผมนอนในมุ้งต้องระวังมากๆ เพราะชาวบ้านมาวัดกันแต่เช้ามืด ผมนุ่งห่มจีวรนอนดิ้นไปมา มันคอยจะหลุดลุ่ยออกมาเรื่อย ต้องรีบตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพราะกลัวชาวบ้านเขาจะนึกว่ามีเปรตมานอนที่วัด ตื่นมาก็รีบไปกวาดลานวัด เก็บมะม่วงที่ตกหล่น มะม่วงพันธุ์ดีทั้งนั้น เก็บมาก็ไม่มีใครกินกัน กองพะเนินเทินทึก เน่าเสียเต็มไปหมด ประมาณตีห้าครึ่งก็อาบน้ำ เตรียมไปบิณฑบาต เส้นทางที่ออกเดินก็เป็นทางลูกรัง ระยะทางราวๆ 2 กม. พระที่ไปด้วยกันมี 4-5 รูป ผมอาวุโสน้อยสุดอยู่หลัง ปิดขบวนด้วยเณร อายุราวๆ 15-16 ปี มันทำหน้าที่ ถือปิ่นโต หิ้วของ ที่ชาวบ้านถวายมา การเดินบิณฑบาตมันเป็นอะไรที่มรมานมาก ทั้งลูกรัง หนามโคกกระสุน ทิ่มแทงเท้า ต้องกระย่องกระอย่งไปตลอดทาง แม้จะทรมานอย่างไร ผมก็พยายามออกบิณฯทุกวัน เพราะตระหนักดีว่าเป็นหน้าที่ของสงฆ์ที่จะต้องออกโปรดสัตว์ แม้ว่าจะให้ศีลให้พรอะไรไม่เป็น ชาวบ้านใส่บาตรกันพอสมควร อาหารที่ดีที่สุดที่จะหาได้ถูกเอามาถวายพระ ด้วยจิตใจมุ่งหวังจะให้พระได้กินดีๆ ตัวเองจะมีกินอย่างไรหรือไม่ หาได้สนใจ ใส่บาตรสำคัญกว่า
สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านใส่บาตรกันมากก็คือมะม่วงสุก เนื่องจากมีกันแทบทุกบ้าน ภาระตกที่ไอ้เณรนั่นเอง มันจะต้องหิ้วมะม่วงเป็นสิบๆกิโล เดินทางกว่า 2 กม.กลับวัด ผมช่วยมันส่วนหนึ่งเพราะสงสาร มันปรึกษาผมว่าโยนทิ้งไหมหลวงพี่ ผมบอกไม่ได้โว้ย อาบัติ ยังไงๆก้ต้องไปให้ถึงวัด พอถึงวัดมันก็โยนมะม่วงทั้งหมดทิ้งไว้ที่กองมะม่วงที่ผมเก็บตอนเช้า พร้อมกับนั่งหอบแฮ่กๆอยู่พักใหญ่ๆ รอวันรุ่งขึ้นจะได้ไปหอบมะม่วงมาใหม่ ผมกับไอ้เณรซี้กัน เพราะอายุใกล้เคียงกันและผมไม่เคยรังแกมันเลย มันบวชมาก่อน พอจะท่องบ่นอะไรได้แต่พระอาวุโสกว่าเณร มันเลยกลายเป็นเบ๊ของวัดไปกลายๆ เนื่องจากวัดไม่มีเด็กวัด พระรูปอื่นๆมักชอบรังแกมัน มันเลยชอบผม และคอยช่วยเหลือรับใช้ผมทุกอย่าง มีอยู่วันหนึ่ง พระทั้งวัดถูกนิมนต์ไปงานแต่งงานทั้งหมด ยกเว้นผมกับไอ้เณร อยู่วัด ผมสวดอะไรไม่เป็น ไอ้เณรก็เด็ก เขาเลยไม่นิมนต์ ปัญหามันอยู่ที่ตอนฉันเพล ผมให้พรไม่เป็น เป็นหน้าที่ของไอ้เณรต้องสัพพีเอง แม่ชีนั่งหัวเราะน้ำหมากกระเด็นเลย
วัดสละบาปวันนี้ดูดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ ต้นไม้โตขึ้นมาก ต้นมะม่วงไม่มีแล้ว ผมขี่จักรยานวนหาโบสถ์ที่เคยบวช จำได้ว่าเป็นอาคารเก่าๆไม่มีแม้แต่ผนัง มีแค่พระประธานกับใบเสมาก็บวชพระได้เป็นองค์เหมือนโบสถ์ราคาหลายสิบล้าน สาเหตุที่ผมเลือกบวชที่นี่ ทั้งๆที่บ้านไม่ได้อยู่แถวนี้ เพราะศรัทธาในต้วเจ้าอาวาส หลวงพ่อสาลี่ ท่านเป็นพระดี มีวัตรปฏิบัติที่งดงาม น่าเคารพนับถือ ผมสอบถามพระที่กวาดวัดอยู่ว่าโบสถ์เก่าอยู่ไหน เห็นแต่โบสถ์ใหม่ๆราคาหลายล้านตระหง่านอยู่ ท่านก็ชี้ให้ ผมเลยวนเข้าไปอีก มีพระประธานองค์เก่ายังอยู่ และมีรูปหล่อหลวงพ่อก๊กตั้งอยู่ด้วย ผมกราบด้วยความตื้นตันใจ ผมเคยเป็นพระที่นี่ ได้รับใช้พระศาสนาที่นี่ วันนี้อาคารได้รับการต่อเติมแข็งแรง มีเหล็กดัด ประตูลูกกรง คงเอาไว้กันโจร ที่เดี๋ยวนี้ไม่เว้น แม้แต่วัด แม้แต่ป่าช้า แม้แต่เมรุเผาศพ เคยคุยกับช่างตัดผมคนหนึ่ง แกบอกว่ามีลูกชาย3คน โชคดีที่สุดไม่ติดยาเลยสักคน แกบอกว่าถ้าใครเลี้ยงลูกไม่ติดยาได้ ถือว่าสุดยอดแล้ว แกยังบอกต่อไปว่า ทักษิณจะเลวหรือชั่วหรือไม่ แกไม่เคยรู้เห็น แต่ที่ตรึงใจแกถึงทุกวันนี้ก็คือการปราบยาบ้า ที่ไม่มีใครจะทำได้อีกแล้วในประเทศนี้ ซึ่งผมเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นต์
กลับจากวัดสละบาป วัดเล็กๆไร้ชื่อเสียงใดๆ ท่านหลวงพ่อสาลี่มรณะภาพไปนานแล้ว ประวัติวัดนี้สร้างมาหลายร้อยปี เพื่อไถ่บาปจากการฆ่าพ่อของสิงหพาหุ ซึ่งอับอายที่มีพ่อเป็นสิงห์ เลยวางแผนฆ่าพ่อตัวเอง หลังจากสำนึกจึงสร้างวัดหลายวัดเพื่อชดใช้กรรม มีวัดพระนอนจักร์สีห์ วัดประโชติการาม วัดโพธิ์ศรี รวมถึงวัดสละบาปนี้ด้วยซึ่งแต่เดิมชื่อวัดสระบาป พื้นที่ 80 ไร่ของวัดนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ อากาศร่มเย็นสงบ หากท่านใดอยากไปเที่ยวก็น่าจะได้รับควาสงบสุข แต่ถ้าจะแสวงเลข แสวงโชค แสวงหาอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใดๆ วัดนี้คงไม่อาจตอบโจทย์ได้ ผมปั่นกลับบ้านเวลา เก้าโมงเศษๆ ระยะทาง 37 กม. เอวี 17.7 แม็กซ์ 35.7 เผาไป 425 แคลอรี่