เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้คือตัวอย่างที่ดีขอคำว่า“เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร” คือดูไปไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตของคนๆหนึ่งมันจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ได้(และความ irony อย่างหนึ่งของหนังคือ T.E. Lawrence พระเอกของเรื่องนี่จะพูดอยู่ตลอดเวลาว่าเขาอยากเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้อยากเป็นมนุษย์ที่วิเศษวิโศ extraordinary มาจากไหน)
สนุก,ตื่นเต้น,ลึกซึ้ง,และอลังการ เป็นหนังเรื่องที่สองในชีวิตต่อจาก The Godfather ที่พอดูจบแล้วแทบจะลงไปหมอบกราบต่อหน้าจอหนัง หนังเรื่องนี้นี่มัน 228 minutes of pure perfection ชัดๆ เซอร์ David Lean (แมร่ง)เป็นอภิมหาปรมาจารย์แห่งโลกภาพยนตร์อย่างแท้จริง(จะมีใครหาว่าพูดเว่อร์ก็ช่างเหอะ แต่เชื่อว่าคนทำหนังร้อยทั้งร้อยยินยอมขายวิญญาณให้ปีศาจเพื่อแลกกับความสามารถที่จะทำมาสเตอร์พีซระดับเดียวกับ Lawrence of Arabia ออกมาได้)
ปู่ Peter O’Toole สมัยยังหนุ่มในบท T.E. Lawrence หน้าสวย + แสดงหนังดีมาก ยิ่งคาแรคเตอร์ของ Lawrence ในหนังเรื่องนี้(รวมถึงตัว Lawrence ในประวัติศาสตร์)นั่นถือได้ว่าเป็นตัวละครที่มีความ complex มาก ฉะนั้นถ้านักแสดงไม่เก่งจริง มิติตื้นลึกบางหนาตัวละครตัวนี้จะออกมาเป๋และเข้าถึงได้ยากในสายตาของคุณดูทันที(พูดแล้วก็แอบรู้สึกรักพี่เสียดายน้องอยู่เหมือนกันที่ตอนปีค.ศ. 1963 ปู่ O’Toole ชวดรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปให้ Gregory Peck จากเรื่อง To Kill a Mockingbird เพราะปีนั้น O’Toole และ Peck ท็อปฟอร์มกันทั้งคู่จริงๆ)
งานภาพของ Freddie Young ตากล้องของหนังสามารถจับภาพทะเลทรายอาหรับออกมาได้สวยที่สุดในโลก(ถ้าใครคิดว่าหนังอย่าง The English Patient นี่ถ่ายภาพทะเลทรายออกมาได้สวยแล้ว กรุณาไปหา Lawrence of Arabia มาดูด่วนๆ...แล้วค่อยมาขอบคุณผมที่หลัง) และแน่นอน หนัง Epic ของ David Lean จะไม่มีทางเป็นหนัง Epic ที่แท้จริงได้หากไร้ซึ่งสกอร์อันงดงามของ Maurice Jarre
9.5/10
เข้าไปคุยกันต่อที่เพจของผมได้เลยนะครับ
>>>
https://www.facebook.com/appleoneoone
ตัวอย่างหนัง
[CR] Lawrence of Arabia (1962) ...รีวิวหนัง Epic ระดับตำนานของผกก. David Lean / หนึ่งใน Top 5 หนังในดวงใจของข้าพเจ้า
เนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้คือตัวอย่างที่ดีขอคำว่า“เรื่องจริงยิ่งกว่าละคร” คือดูไปไม่อยากจะเชื่อว่าชีวิตของคนๆหนึ่งมันจะยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ได้(และความ irony อย่างหนึ่งของหนังคือ T.E. Lawrence พระเอกของเรื่องนี่จะพูดอยู่ตลอดเวลาว่าเขาอยากเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้อยากเป็นมนุษย์ที่วิเศษวิโศ extraordinary มาจากไหน)
สนุก,ตื่นเต้น,ลึกซึ้ง,และอลังการ เป็นหนังเรื่องที่สองในชีวิตต่อจาก The Godfather ที่พอดูจบแล้วแทบจะลงไปหมอบกราบต่อหน้าจอหนัง หนังเรื่องนี้นี่มัน 228 minutes of pure perfection ชัดๆ เซอร์ David Lean (แมร่ง)เป็นอภิมหาปรมาจารย์แห่งโลกภาพยนตร์อย่างแท้จริง(จะมีใครหาว่าพูดเว่อร์ก็ช่างเหอะ แต่เชื่อว่าคนทำหนังร้อยทั้งร้อยยินยอมขายวิญญาณให้ปีศาจเพื่อแลกกับความสามารถที่จะทำมาสเตอร์พีซระดับเดียวกับ Lawrence of Arabia ออกมาได้)
ปู่ Peter O’Toole สมัยยังหนุ่มในบท T.E. Lawrence หน้าสวย + แสดงหนังดีมาก ยิ่งคาแรคเตอร์ของ Lawrence ในหนังเรื่องนี้(รวมถึงตัว Lawrence ในประวัติศาสตร์)นั่นถือได้ว่าเป็นตัวละครที่มีความ complex มาก ฉะนั้นถ้านักแสดงไม่เก่งจริง มิติตื้นลึกบางหนาตัวละครตัวนี้จะออกมาเป๋และเข้าถึงได้ยากในสายตาของคุณดูทันที(พูดแล้วก็แอบรู้สึกรักพี่เสียดายน้องอยู่เหมือนกันที่ตอนปีค.ศ. 1963 ปู่ O’Toole ชวดรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปให้ Gregory Peck จากเรื่อง To Kill a Mockingbird เพราะปีนั้น O’Toole และ Peck ท็อปฟอร์มกันทั้งคู่จริงๆ)
งานภาพของ Freddie Young ตากล้องของหนังสามารถจับภาพทะเลทรายอาหรับออกมาได้สวยที่สุดในโลก(ถ้าใครคิดว่าหนังอย่าง The English Patient นี่ถ่ายภาพทะเลทรายออกมาได้สวยแล้ว กรุณาไปหา Lawrence of Arabia มาดูด่วนๆ...แล้วค่อยมาขอบคุณผมที่หลัง) และแน่นอน หนัง Epic ของ David Lean จะไม่มีทางเป็นหนัง Epic ที่แท้จริงได้หากไร้ซึ่งสกอร์อันงดงามของ Maurice Jarre
9.5/10
เข้าไปคุยกันต่อที่เพจของผมได้เลยนะครับ >>> https://www.facebook.com/appleoneoone
ตัวอย่างหนัง