[นวนิยาย]....Loneliness....บท ๓(๒)

กระทู้สนทนา
นิยายอาจให้อารมณ์ บรรยากาศ แปลกๆหน่อย  ไม่รู้จะถูกจริตคนอ่านบ้างหรือเปล่า  หุหุหุหุ

ขอบคุณทุกท่านในการสละเวลาอ่านครับ

Loneliness                     :    เรื่อง

???? ????????                :    เขียน



ตอนที่ ๑
http://ppantip.com/topic/30905320

ตอนที่ ๒ (๑)
http://ppantip.com/topic/30930596

ตอนที่ ๒ (๒)
http://ppantip.com/topic/30951284

ตอนที่ ๓ (๑)
http://ppantip.com/topic/31052922

...ความเดิม...


.... สุดท้ายเธอตัดสินใจยุติการลังเลด้วยการหลับตา ตัดเรื่องนี้ออกไปจากสมองชั่วคราว ผมไม่เร่งรัดเธอ ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เธอย่อมเป็นคนเลือกว่าตัวเธอเองพร้อมบอกกล่าวเรื่องนี้ให้ผมทราบแล้วหรือยัง

ผมเลือกหยิบกระเป๋าเป้มาวางบนตัก เปิดออก ดึงปึกกระดาษต้นฉบับบทความของนักเขียนที่เตรียมตีพิมพ์ลงนิตยสาร การกระทำของผมช่วยให้รสาหันเหจากเรื่องหนักอกได้

“ฉันทำให้เธอเสียเวลางานหรือเปล่า”

“ไม่เลย งานเราก็อย่างที่เห็น ทำได้ทุกที่ เราจัดการเวลาได้ ไม่มีปัญหา”

“ไม่แปลกใจที่เธอทำงานด้านนี้”

“อย่างนั้นหรือ”

รสาพลิกตัวตะแคงหันหน้ามา “แต่ฉันคิดว่าเธอจะกลายนักเขียนเต็มตัว ออกเรื่องสั้น หรือนิยายสักเรื่อง มากกว่าตรวจต้นฉบับของคนอื่น”

“ก็มีที่เราเขียนบทความบ้าง หากเจอประเด็น หรือว่าเรื่องที่น่าสน”

สายตาของเธอเหมือนบอกผมว่าเธออยากให้ผมพูดต่อไป อาจเพราะเธอไร้พลังเกินกว่าจะตอบโต้ตามการสนทนาทั่วไป เธอต้องการเป็นผู้ฟังมากกว่า

“ที่จริงเพื่อนร่วมหุ้นของเราก็เสนอให้เขียนเรื่องสั้น หรือนิยายลงนิตยสารเหมือนกัน เขาว่าพร้อมรวมเล่มให้ แต่เราเลือกไม่ทำ เพราะยังไม่มีเรื่องให้เขียน จะพูดให้ชัด คือยังไม่มีแรงกระตุ้นให้อยากเขียน หากฝืนก็คงเป็นได้แค่ผลงานจืดชืดไร้ชีวิต ไม่ก็งานเสแสร้งระดับห่วยเท่านั้น”

“จำได้ว่าเธอเคยเขียนนิยายตอนอยู่มหาวิทยาลัย”

“ใช่ เคยเขียนส่งประกวดด้วย เป็นการจัดขององค์การนิสิต เราเขียนนิยายเกี่ยวกับความเชื่อ ศรัทธาทางศาสนา ที่เกี่ยวพันกับการหลอกตัวเองของคนในสังคม ไม่ได้คาดหวังอะไร เพียงแค่อยากลองเข้าไปพบเจอประสบการณ์ของสิ่งที่เรียกว่าประกวด และก็ได้ประสบการณ์มากจริงๆ แม้ว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่เคยวาดภาพไว้”

สายตาเธอบ่งบอกว่ารอฟัง

“เรื่องของเราได้เข้ารอบ ผู้จัดประกวดเชิญให้เข้าไปรับฟังคำแนะนำและวิพากษ์วิจารณ์จากกรรมการ ที่เป็นทั้งนิสิตรุ่นพี่ อาจารย์ และนักเขียนในตลาด งานเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โต นอกจากเจ้าของผลงาน มีผู้เข้าร่วมอีกไม่เท่าไร งานนี้จัดก่อนการประกาศรางวัลสองวัน นั่นอาจหมายถึงมีการตัดสินรางวัลกันภายในแล้ว หรือบางทีอาจจะยัง เราคิดเอาเองในตอนนั้น เพราะไม่ได้ใส่ใจว่าได้รางวัลหรือเปล่า มารู้เอาหลังจากนั้นว่าเราได้ที่สอง รองจากนิยายรักดูดดื่มที่บรรยายรายละเอียดฉากเซ็กซ์จนครบถ้วนทั้งร้อยแปดลีลา”

“ทำไมเธอไม่สนใจรางวัล”

“เพราะไม่ได้คาดหวัง หรือคิดว่านั่นเป็นเป้าหมาย จุดหมายของการเข้าร่วมมาจากความอยากรู้ วันได้รับเชิญเข้าฟังคำวิจารณ์ เราตื่นเต้น แต่เมื่อจบลง เรามีแต่ความว่างเปล่า สมองกลวง ไม่มีอะไรได้กลับมาเลย ว่างเปล่าเหมือนบ่อน้ำใหญ่แต่ไม่มีน้ำสักหยด”

“เกิดอะไรขึ้น”

“เรานั่งเก้าอี้แถวหน้า วาดหวังฟังคำแนะนำสุดประเสริฐ แผนที่สำหรับการมุ่งสู่การเขียนชั้นเลิศกำลังมาถึง พอได้เวลา กรรมการนั่งบนเวทีห้าคน มีทั้งยังหนุ่มและมีอายุ เริ่มต้นแสดงความยินดีต่อผู้เข้ารอบ จากนั้นเอ่ยถึงผลงานแต่ละชิ้น”

“ฟังดูดีนี่”

“กรรมการหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนวิพากษ์ผลงานเรา เขาบอกว่าชอบงานของเรา...”

“ไม่น่ามีอะไรแย่”

“เราจำคำของเขาได้ เขาพูดว่า ‘ผมชอบงานของคุณนะ ไม่ได้หวือหวา แต่ก็มีกลิ่นไอซับซ้อนเข้าสู่เบื้องลึกของจิตวิญญาณมนุษย์ ภาวะจริตลึกล้ำ ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ดูละม้ายเต็มไปด้วยสารัตถะแห่งอภิปรัชญา มันสัมผัสได้ ทำให้แช่มชื่น แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความหดหู่ ตื่นเต้น แต่รอคอย ค้นหาและเฝ้ามอง ไม่รู้สิ มันยากอธิบายออกมาเป็นคำพูดจริงๆ’

“กรรมการอีกคนบอกว่า ‘ลักษณะตัวละครของคุณมีความแปลกแต่น่าสนใจ บางครั้งมองเหมือนสำเร็จรูป แต่เคล้าไปด้วยความคลุมเครือ แต่นั่นกลับเป็นเสน่ห์นะ เพราะมันคล้ายสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง นำไปสู่สิ่งที่กว้างไกลกว่านั้น คุณทั้งหลายคงทราบว่าดิฉันหมายถึงอะไร แม้บทสนทนาอาจมีแปลกแปร่ง แต่โดยรวมดิฉันว่ามันครบถ้วนลงตัวมากทีเดียว’”

รสาเอื้อมมือทำท่าขอน้ำ ผมหยิบแก้วน้ำให้เธอดื่ม วางกลับที่เดิม

ผมว่าต่อ “ฟังแล้วสมองเราว่างเปล่า ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเหมือนก่อนได้ฟัง คำวิจารณ์เลื่อนลอย เอาอะไรไปใช้ไม่ได้เลย หรือเพราะว่าเรายังเข้าไม่ถึงจินตนาการของคนพวกนั้นก็ได้ แต่กระทั่งวันนี้ เมื่อนึกย้อนไป ก็เหมือนเดิม คำวิจารณ์ยังไร้ค่าสำหรับเราเหมือนวันก่อน”

เธอหัวเราะเล็กๆ “เธอไม่เห็นเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง”

“ไร้สาระเกินกว่าจะเล่า”

“ไม่คิดจะเขียนอีกหรือ เรื่องสั้น นิยาย หรืออะไรพวกนี้ ฉันว่าเธอน่าจะลองเขียนนิยายสักเรื่องนะ”

“ก็คิด แต่เราว่านิยายเหมือนงานช้าง ต้องใช้พลังมากหากจะสร้างขึ้น”

“ยังขาดแรงบันดาลใจ?”

“พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด”

เธอพลิกตัวไปนอนหงาย มองเพดาน แต่ยากจะบอกว่ากำลังเห็นภาพอะไร

“ชีวิตฉันก็ซับซ้อน ไม่รู้ว่าเพียงพอสำหรับเธอไหม แต่หากเรื่องราวของฉันเป็นประโยชน์ เอาไปใช้ได้เลย ฉันดีใจถ้าเธอทำอย่างนั้น”

“ขอบใจ แต่เราคงต้องรู้เพิ่มเติมให้มากกว่านี้”

เธอเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา

“นั่นสินะ”

**
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่