ครั้งแรกของการสอบ TOEFL IBT ก้าวแรกของการไปเรียนต่อต่างประเทศ

กระทู้นี่เราตั้งใจแชร์ประสบการณ์อันตื่นเต้นเร้าใจ และให้กำลังใจและข้อมูลเล็กๆน้อยๆแก่ผู้ที่กำลังจะสอบค่ะ เข้าใจดีว่าตื่นเต้น มาอ่านกระทู้นี้จะได้หายตื่นเต้น หรือตื่นเต้นมากขึ้นก็ไม่รู้ 555

เนื่องด้วยฝันไว้ตั้งแต่เล็กๆว่าอยากไปเรียนต่างประเทศ แต่มิมีทุนทรัพย์ จึงจำเป็นต้องแข่งขันเข้าชิงทุนกับคนเก่งทั้งหลาย(เศร้า) และปราการด่านแรกก็คือการสอบ TOEFL ค่ะ (อันนี้สำหรับคนที่อยากไปเรียนที่อเมริกานะคะ)
พอสอบเสร็จก็โล่งงงงงงงงงงง นึกเสียดายว่าน่าจะสอบตั้งนานแล้ว มัวแต่ป๊อด 555 เลยอยากจะมาแชร์กับเพื่อนๆค่ะ ว่าอย่าไปกลัว ข้อสอบ...ยากอย่างที่คิดละค่ะ แต่ของอย่างงี้มันอยู่ที่ใจค่ะ สู้ไปเลย
หลังจากเตรียมตัวมาแสนนาน ขอเงินท่านแม่ไปเรียนคอร์ส TOEFL อันแสนแพงมาตั้งแต่ปี 2 ณ ปัจจุบันทำงานมา 1 ปี อ่านๆหยุดๆ เราก็ตัดสินใจสอบ(ได้ซะที)

ลักษณะข้อสอบ
สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยชิน ขอเกริ่นถึงข้อสอบ  TOEFL  IBT เล็กน้อยค่ะ
ข้อสอบจะแบ่งเป็น 4 part ได้แก่ Reading Listening พักเบรค 10 นาทีและต่อด้วย Speaking และ Writing ตามลำดับ ใช้เวลาสิริรวมทั้งสิ้นประมาณ 4 ชั่วโมง เป็นการสอบที่ทรหดที่สุดในชีวิตเลยค่ะ

การเตรียมตัว
จริงๆเราเตรียมตัวไม่ค่อยดีค่ะ เผอิญว่าเราทำงานเป็น consultant ต้องเลิกค่อนข้างดึก เลยไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัว(ข้ออ้างทั้งนั้น 55) เคยไปอ่านคำแนะนำในพันทิปว่าต้องสมัครแล้วจะมีแรงอ่าน เราเลยไปสมัคร fix วันไปเรียบร้อย รู้ตัวอีกที อีกเดือนครึ่ง กรี๊ดดดดดดดดดด ตั้งแต่นั้นเลยทำข้อสอบอย่างเดียวเลยค่ะ 555 เท่าที่เวลามี สิ่งที่ควรทำ เพื่อนๆคงหาได้ในกระทู้อื่นๆแล้ว เอาสิ่งที่ไม่ควรทำบ้างดีกว่า
- ไม่ควรเริ่มต้นซื้อหนังสือยากเกินไป ตอนแรกเราไม่ได้หาข้อมูลไปก่อน ไปถึงร้านหนังสือก็คว้าเลยค่ะ Barron เพราะน่าปกสวย 555 ซึ่งมาค้นพบทีหลังว่าค่อนข้างยากกว่าข้อสอบ ใจเลยฝ่อตั้งแต่เริ่ม
- ไม่ควรบ้าซื้อหนังสือจนเกินความจำเป็น เสียเงิน+เสียเวลาอ่านค่ะ เราเสียเงินไปกับหนังสือเยอะมาก บางเล่มก็อ่านแล้วไม่เวิร์ค เสียดายเงินมาก แนะนำให้ศึกษาก่อนจาก internet หรือถามเพื่อนที่เคยสอบว่าเล่มไหนดี (ที่ควรมีแน่ๆคือ ETS) แล้วหา(โหลด) โปรแกรม software มาทำข้อสอบ เริ่มฝึกกับคอมแต่เนิ่นๆดีกว่าค่ะ จะได้ชิน
- ไม่ควรป๊อดจนกระทั่งไม่กล้าเริ่มอะไร สองปีแรกเราฝึกแต่ reading  กับ listening  ค่ะ ด้วยความที่เปิดไปเจอ speaking และ writing ที่ทั้งยาก และมีเวลาจำกัด  เลยกลัวที่จะเริ่ม เพิ่งจะมาฝึกจริงๆจังๆเดือนสองเดือนสุดท้าย เป็นที่มาของคะแนนเหลวเป๋ว(ซึ่งจะเฉลยที่หลัง) ตอนที่เริ่มฝึกครั้งแรก ก็คิดว่า เราก็(พอ)ทำได้นี่หว่า น่าจะฝึกตั้งนานแล้ว
- ไม่ควรเสียเวลาหา pattern เทคนิคการทำข้อสอบด้วยตัวเอง คนอื่นเค้าสรุปไว้แล้วใน internet แค่รู้จักประยุกต์ใช้ให้เข้ากับตัวเราก็พอ เรามัวแต่เสียเวลาหาเทคนิคนู่นนี่อยู่นาน สุดท้าย ได้ทั้งหมดจาก internet ภายในอาทิตย์เดียว T^T youtube pantip หาเข้าไปค่ะ pattern การพูด  การเขียน สอบที่ไหนดี มีหมด
- ไม่ควรอ้างว่าไม่มีเวลา เพราะถ้ามันสำคัญพอ เดี๋ยวเราจะมีเวลาเอง เราทิ้งการอ่านการฝึกฝนตั้งแต่เริ่มทำงาน อ้างว่าไม่มีเวลา ปรับตัว สุดท้ายต้องมารื้อกันใหม่ อนาถใจที่สุด

เลือกสถานที่สอบ
จริงๆเรื่องนี้แล้วแต่ว่าเน้นเรื่องไหนค่ะ (หา review อ่านได้ไม่ยาก) บางคนเน้นใกล้  เดินทางสะดวก มีที่จอดรถ เจ้าหน้าที่ใจดี บางคน(รวมทั้งเรา)เน้นเสียงรบกวนน้อยค่ะ จึงเลือกสอบที่มหาลัยเกษมบัณฑิต ร่มเกล้า
เขาบอกกันว่าควรไปดูสถานที่กันพลาด กันหลง เพราะมหาลัยนี้มีสองที่ คุณแม่ที่น่ารักก็ลางาน พาไปดูสถานที่ด้วยกันก่อน ปรากฎว่าไปถูกตั้งแต่ต้นค่ะ จริงๆไปไม่ยาก แต่อยากชัวร์ไปดูก่อนก็ดีค่ะ วันจริงจะได้ซิ่งตรงไปเลย ลดความเครียด

วันสอบ (29 กันยา 2013)
เนื่องจากเราเป็นโรคนอนไม่หลับเวลาเครียดหรือตื่นเต้นจัด วันก่อนสอบเลยซัดยานอนหลับของท่านพ่อไปคะ (พ่อเราให้คีโม หมอเลยให้ยานอนหลับมา ปกติคิดว่าหาซื้อไม่ได้นะคะ ต้องหมอสั่งเท่านั้น) วันจริงดันตื่นเร็ว ตั้งแต่ตี 5 ง่วงอยู่ดี - -^
ตามฟอร์มคำ สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ไม่ควรไปถึงเช้าเกิน เพราะรอเหง็กค่ะ กว่าเจ้าหน้าที่จะมาจริงนี่เกือบ 9 โมง กว่าจะสอบจริงนี่เกือบ 10 โมง ไปถึงก่อนเวลาซักครึ่งชั่วโมง 15 นาทีนี่  perfect
- ไม่ควรไปต่อแถวเข้าห้องสอบหลัง native speaker ตอนเราสอบดันไปนั่งใกล้ๆคนเกาหลีที่เรียน inter มาตลอดชีวิต เลยได้นั่งติดกัน ถึงคราว speaking ข้าพเจ้าเด็กโรงเรียนวัดมีจ๋อยค่ะ เพราะเขาจะพูดรัวและดังด้วยความมั่นใจ มันทำลายศักยภาพในการพูด ณ จุดๆนั้นอย่างแรง
- ไม่ควรกินน้ำไปเยอะ เราชอบกินน้ำแก้วใหญ่ตอนตื่นนอน ผลลัพธ์คือ ขนาดว่าเข้าห้องน้ำก่อนสอบแล้วยังอั้นแทบตายตอน listening ปวดสุดๆไปเลยค่ะ ><
- ไม่ควรใส่ขาสั้น หรือลืมเสื้อกันหนาว ผลสอบอาจวิบัติได้ เพราะมันหนาวขั้นหมีขั้วโลกอิจฉา ถึงขนาด take note ได้ช้าลง 30% มีถุงเท้าใส่ถุงเท้า มีถุงมือใส่ถุงมือ ทำอะไรก็ได้ให้อุ่นๆไว้ค่ะ
- ห้าม! ท้อแท้ใจ เราทำ reading ไม่ค่อยทัน เพราะไม่ชินกับเสียงรบกวน (ขนาดว่ามีนิดเดียว) เลยรีบๆตอบข้อท้ายๆ ตอนนั้นใจหายไปครึ่งหนึ่ง เพราะ reading เป็น part เก็บคะแนน แต่ก็คิดว่าช่างมัน ไม่ท้อ ท่องไว้ค่ะ
- ห้าม! กด No ไม่รับ  score ตอนท้าย ดีที่เรามีคนเตือนก่อนเข้าห้องสอบ เพราะเขากดมาแล้ว มันเป็นการ cancel ผลคะแนน สอบได้เท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ถึงปัจจุบัน ดังนั้น save สุดคือ yes รัวๆค่ะ

ช่วงที่รอคะแนน
อนุญาตให้ตื่นเต้นเต็มที่ แต่ไม่ควรโรคจิตเช็คเมล เช็คเว็บ ETS บ่อยๆเช่นเรา ประชุมกับลูกค้าก็เช็ค รอ BTS ก็เช็ค เจ้านายด่ายังเช็ค ไม่จำเป็นค่ะ ผลมันจะมาอีก 10 วัน ไม่ขาดไม่เกิน วันที่ 9 ค่อยเริ่มเช็คยังไม่เสียหลายค่ะ

ผลคะแนน
ทาดาาาาา ในที่สุดมันก็มา ขอเฉลยคะแนนค่ะ reading 29 listening 30 speaking 23 writing 27 total 109
speaking นี่ง่อยมากค่ะ อ่าน comment ของกรรมการก็จริงตามนั้น เพราะถึงเราจะพูดครบ พูดพอดีเวลา แต่ศัพท์กับคำที่ใช้มันจำกัดมาก สิ่งที่เรานึกได้ถ้าต้องสอบครั้งต่อไปคือท่อง collocation กับ vocab ไปเยอะ เพราะต้องยอมรับว่าไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษ เรื่องนี้อ่อนด้อยเป็นธรรมดา T^T

step ต่อไปคือชิงทุนค่ะ กะว่าจะลองสมัครทุน Fulbright แต่ยังไม่มีคณะที่จะไปต่อชัดเจน ไม่อยากเลือกชุ่ยๆแบบตอนเข้ามหาลัย เพื่อนๆมีข้อคิดเห็นอะไรแชร์ได้นะคะ
สำหรับใครที่จะไปสอบหรือคิดจะสอบขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้เรียน inter (จบวิศวะฯลาดกระบังค่ะ) หรือมีเวลาอ่านหนังสือเยอะๆ (เพราะต้องทำงาน ไม่งั้นไม่มีเงินใช้ 555) ใจต้องสู้ค่ะ ทำได้อยู่แล้ว มีคำถาม post ไว้ได้ ถ้าตอบได้จะตอบให้ค่ะ

ติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/janestoriesblog?ref=hl
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่