คืนนี้เป็นตอนสำคัญของ สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย อีกตอนหนึ่งเลยที่ต้องติดตาม
มาลองอ่านเนื้อเรื่องคืนนี้กันก่อน
บ้านในชุมชนจานเดี่ยวที่ส่วนใหญ่สร้างจากไม้ มันได้กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ไม้ติดไฟท่อนใหญ่หล่นโครมลงมา เปลวไฟผุดลุกขึ้นรอบๆ มันคือบริเวณกลางซอยทางเดินเข้าชุมชน ผู้คนมากมายวิ่งสวนกันไปมาอย่างโกลาหล
ควัน และเปลวไฟ กระจายไปทั่วจนยากที่จะประเมินว่า ไฟได้ลามไปถึงไหนบ้างแล้ว เสียงสัญญาณไซเรนดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงผู้ใหญ่เงาะดังขึ้น
“พ่อแม่พี่น้องออกมาช่วยกันดับไฟเร็ว ใครมีน้ำ มีกระป๋องขนกันออกมาด่วนเลย เร็วเข้าโว้ย ใครซักคนไปโทร.แจ้งตำรวจดับเพลิงหน่อยโว้ย...”
น้าเบิ้มวิ่งโซเซถือกระป๋องน้ำออกมา ช่วยกันจ้าละหวั่น
“ก้อย” น้าเบิ้ม ตะโกนลั่น “...ก้อย...ใครดูยายก้อยทีโว้ย ยังอยู่ในบ้านอยู่รึเปล่า”
ก้อยถือคันชักไวโอลินเดินซัดเซอยู่ท่ามกลางความชุลมุนของผู้คน สีหน้าตื่นกลัวชัดแจ้ง
“หรั่ง...หรั่ง หรั่งอยู่ไหน หรั่งมารึยัง...”
ชาวบ้านช่วยกันสาดน้ำเข้ากองไฟ เป็นที่ชุลมุน
แพรวาเดินออกมาที่หน้าสถานีโทรทัศน์สีช่องเจ็ด หรั่งเดินตามมาไม่ห่าง ทีมงานสองสามคนเดินมาส่งหน้าสถานี
ทีมงาน 1 บอกขึ้นว่า “พี่ต้องขอโทษแทนพิธีกรด้วยนะ ปากพี่เขาเป็นงี้เองแหละ จริงๆ เขาไม่ได้คิดอะไรหรอก”
แพรวายิ้มเยื้อน “ไม่เป็นไรค่ะ น้องแพรเข้าใจ”
ทีมงาน 2 บอกต่อ “ยังไงก็ต้องขอบคุณ และ ขอชื่นชมน้องแพรด้วยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงผู้ประกาศจากรายการ ข่าวเด็ด7สี จากจอทีวีด้านหลังดังเข้ามาตั้งแต่ 4 คน เดินมา
“ช่วงนี้ของแทรกข่าวด่วนนะคะ...มีรายงานเข้ามาว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นที่ชุมชนจานเดี่ยวย่านถนนพระรามเก้า”
หรั่งเหลียวขวับไปจ้องที่จอทีวีนั้น ตั้งแต่ได้ยินคำว่าเพลิงไหม้ ในจอทีวีเป็นกราฟฟิค ตัวหนังสือคำว่า “เพลิงไหม้” ปรากฏบนรูปเปลวเพลิง
“เพลิงได้เผาไหม้มาเป็นเวลากว่าสามสิบนาทีแล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำงานค่อนข้างลำบาก เนื่องจากว่าไม่สามารถนำรถดับเพลิงเข้าไปใกล้ต้นเพลิงได้”
หรั่งยืนฟังหน้าเครียดโครตๆ
“รายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมด เราจะติดตามนำเสนอเป็นระยะๆ ตลอดคืนนี้”
แพรวาหันมาหาหรั่ง สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง
“มีอะไรเหรอ นายหรั่ง”
ริมถนนทางเข้าชุมชนจานเดี่ยว รถดับเพลิงสามคันจอดเบียดกันอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถเข้าไปถึงในชุมชนได้ สายส่งน้ำถูกลากจากรถเข้าไปยังบริเวณเพลิงไหม้
ชาวบ้านมากมายขนเครื่องใช้ส่วนตัวออกมากองตามสองข้างถนนหนทางนั้น ตำรวจจราจรสองสามนายพยายามควบคุมการจราจรและบรรดาไทยมุงให้กระจายตัวออกไป
รถแพรวาแล่นเร็วเลี้ยวเข้ามาต่อท้ายรถดับเพลิง หรั่งก้าวลงจากที่นั่งคนขับรถ...เขาหันไปตะโกนบอกแพรวา
“คุณขับรถกลับบ้านเองนะครับ ...ผมขอโทษด้วย”
หรั่งวิ่งตรงเข้าไปในชุมชนอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปด้านใน ส่วนที่ด้านหลังของหรั่ง แพรวาลงจากรถ มองตามหรั่งไปอย่างกังวล
ครู่ต่อมาหรั่ง วิ่งผ่านฝูงชนที่กำลังวุ่นวายกับการขนของหนีไฟ และการดับไฟ หรั่งวิ่งมาจนเจอเช็ง
“ไอ้เช็ง”
“ไอ้หรั่ง ไปไหนมา”
“ก้อยล่ะ”
“ทางนี้เว้ย”
เช็งวิ่งนำหน้าหรั่งไป หรั่งวิ่งตามเช็ง ทั้งคู่มาเจอกับก้อยที่นั่งยองๆอยู่กับพื้นในมือของเธอกอดคันชักไวโอลินไว้แน่น
“ก้อย...ก้อยเป็นไงบ้าง”
“หรั่ง...ไฟ”
ก้อยขวัญเสียอย่างหนัก ร้องไห้ ตกใจ จนพูดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไรนะก้อย ไม่เป็นไร”
หรั่งกอดก้อยไว้จนแน่น
“ไวโอลินของก้อย มันหายไปแล้ว”
“ช่างมันเถอะก้อย...ไอ้เช็ง กูฝากก้อยไว้หน่อยนะ”
หรั่งลุกขึ้น ละจากก้อยไป เขาตรงไปที่กระป๋องน้ำใกล้ตัว ใช้น้ำราดหัวและตัวแล้วจึงวิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปในเปลวไฟ
เท่ห์กำลังสาดน้ำดับไฟอยู่ไม่ไกลกันนัก
“ไอ้หรั่ง จะไปไหน”
ไม่มีใครเรียกหรั่งได้ทัน
มองจากมุมสูงลงมา การดับไฟยังดำเนินต่อไปอย่างยากเย็น
หรั่งวิ่งฝ่ากองไฟ เข้ามาในห้องนอนของเขา เขาแหงนหน้ามองดู ผนังเพดานผืนนั้น เปลวไฟลามไปจนทั่ว เหลือรูปภาพของแพรวาอยู่บ้างไม่มากนัก หรั่งกระชากทั้งแผงให้ร่วงลงมา เขารีบแกะเอารูปทั้งหมดที่ยังเหลือ รวมทั้งซากที่พอจะดึงออกมาจากผนังนั้นได้
หรั่งสำรวจอย่างว่องไว กวาดตามองหากล่องเก็บของสำคัญของเขา แล้วกระชากตู้เสื้อผ้าทั้งตู้ล้มลง จนเปลวไฟลุกติดตู้เสื้อผ้า
จังหวะที่หรั่งผงะถอยหลังหนี สายตาหันไปเห็นกล่องไม้ใบนั้นตกอยู่ที่พื้น เขาพุ่งเข้าไปหามัน หยิบมันขึ้นมาดู
ฝากล่องไม้นั้นเปิดอยู่...หรั่งควานหาของในกล่องที่ตกอยู่ตามพื้น เขาหยิบได้รูปสามสี่ใบ นามบัตร การ์ด และล็อคเก็ตไวโอลิน
ไม้ติดไฟท่อนใหญ่ ล้มลงใส่ หรั่งเอี้ยวตัวหลบ เปลวไฟโหมกระหน่ำหนักขึ้น หรั่งถอดเสื้อที่เปียก ห่อของเหล่านั้น แล้ววิ่งฝ่ากองไฟออกไป ก่อนที่ร่างกายจะทนต่อการขาดอากาศไม่ไหว
หรั่งออกมาแล้ว ขยับตัวนั่งลงข้างๆ ก้อย ตรงบริเวณไม่ไกลจากเพลิงไหม้ เขายื่นไวโอลินใส่มือก้อย มันกรอบและโค้งงอเพราะเปลวไฟ
“มันเหลืออยู่แค่นี้เอง ก้อย”
ก้อยรับซากไวโอลินนั้นมาลูบคลำ อย่างเสียดาย
“ก้อยคงไม่มีโอกาสเล่นไวโอลินอีกแล้ว”
“มีสิ ก้อยต้องได้เล่น...หรั่งจะหาไวโอลินตัวใหม่ให้นะก้อย”
“ของใหม่ มันไม่ผูกพันใจเรา เท่ากับของที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิดนะหรั่ง”
หรั่งพูดไม่ออก
บรรยากาศรอบข้างยังเต็มไปด้วยความหดหู่ โสกเศร้า เสียงอื้ออึงของผู้คน ทั้งเอะอะโวยวาย ทั้งร้องไห้คร่ำครวญ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ยังทำงานอย่างหนัก เพื่อระงับเปลวไฟให้ดับสนิท
ไกลออกไป เห็นโบ้ คร่ำครวญเสียดายเครื่องดนตรีที่เสียหายไปในกองเพลิง
“โฮโฮโฮ...ทรัมโบน...กลองแต๊ก...กลองใหญ่...บารีโทน...ทำไมต้องทำกับโบ้อย่างนี้ โฮโฮ
โฮ....”
ในมือของโบ้มีซากปรักหักพัง ที่ดำเป็นตอของเครื่องดนตรีสี่ห้าชิ้น มีเพียงทรัมเป็ตติดตัวเขาเท่านั้น ที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของเปลวเพลิง
หรั่งและก้อยนั่งพิงกันนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับจะไว้อาลัยให้กับบ้านที่เพิ่งจะสูญหายไปในกองเพลิงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
https://www.facebook.com/Generalman2013
คืนนี้เป็นตอนสำคัญของ สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย อีกตอนหนึ่งเลยที่ต้องติดตาม
มาลองอ่านเนื้อเรื่องคืนนี้กันก่อน
บ้านในชุมชนจานเดี่ยวที่ส่วนใหญ่สร้างจากไม้ มันได้กลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ไม้ติดไฟท่อนใหญ่หล่นโครมลงมา เปลวไฟผุดลุกขึ้นรอบๆ มันคือบริเวณกลางซอยทางเดินเข้าชุมชน ผู้คนมากมายวิ่งสวนกันไปมาอย่างโกลาหล
ควัน และเปลวไฟ กระจายไปทั่วจนยากที่จะประเมินว่า ไฟได้ลามไปถึงไหนบ้างแล้ว เสียงสัญญาณไซเรนดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงผู้ใหญ่เงาะดังขึ้น
“พ่อแม่พี่น้องออกมาช่วยกันดับไฟเร็ว ใครมีน้ำ มีกระป๋องขนกันออกมาด่วนเลย เร็วเข้าโว้ย ใครซักคนไปโทร.แจ้งตำรวจดับเพลิงหน่อยโว้ย...”
น้าเบิ้มวิ่งโซเซถือกระป๋องน้ำออกมา ช่วยกันจ้าละหวั่น
“ก้อย” น้าเบิ้ม ตะโกนลั่น “...ก้อย...ใครดูยายก้อยทีโว้ย ยังอยู่ในบ้านอยู่รึเปล่า”
ก้อยถือคันชักไวโอลินเดินซัดเซอยู่ท่ามกลางความชุลมุนของผู้คน สีหน้าตื่นกลัวชัดแจ้ง
“หรั่ง...หรั่ง หรั่งอยู่ไหน หรั่งมารึยัง...”
ชาวบ้านช่วยกันสาดน้ำเข้ากองไฟ เป็นที่ชุลมุน
แพรวาเดินออกมาที่หน้าสถานีโทรทัศน์สีช่องเจ็ด หรั่งเดินตามมาไม่ห่าง ทีมงานสองสามคนเดินมาส่งหน้าสถานี
ทีมงาน 1 บอกขึ้นว่า “พี่ต้องขอโทษแทนพิธีกรด้วยนะ ปากพี่เขาเป็นงี้เองแหละ จริงๆ เขาไม่ได้คิดอะไรหรอก”
แพรวายิ้มเยื้อน “ไม่เป็นไรค่ะ น้องแพรเข้าใจ”
ทีมงาน 2 บอกต่อ “ยังไงก็ต้องขอบคุณ และ ขอชื่นชมน้องแพรด้วยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงผู้ประกาศจากรายการ ข่าวเด็ด7สี จากจอทีวีด้านหลังดังเข้ามาตั้งแต่ 4 คน เดินมา
“ช่วงนี้ของแทรกข่าวด่วนนะคะ...มีรายงานเข้ามาว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นที่ชุมชนจานเดี่ยวย่านถนนพระรามเก้า”
หรั่งเหลียวขวับไปจ้องที่จอทีวีนั้น ตั้งแต่ได้ยินคำว่าเพลิงไหม้ ในจอทีวีเป็นกราฟฟิค ตัวหนังสือคำว่า “เพลิงไหม้” ปรากฏบนรูปเปลวเพลิง
“เพลิงได้เผาไหม้มาเป็นเวลากว่าสามสิบนาทีแล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงทำงานค่อนข้างลำบาก เนื่องจากว่าไม่สามารถนำรถดับเพลิงเข้าไปใกล้ต้นเพลิงได้”
หรั่งยืนฟังหน้าเครียดโครตๆ
“รายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมด เราจะติดตามนำเสนอเป็นระยะๆ ตลอดคืนนี้”
แพรวาหันมาหาหรั่ง สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง
“มีอะไรเหรอ นายหรั่ง”
ริมถนนทางเข้าชุมชนจานเดี่ยว รถดับเพลิงสามคันจอดเบียดกันอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถเข้าไปถึงในชุมชนได้ สายส่งน้ำถูกลากจากรถเข้าไปยังบริเวณเพลิงไหม้
ชาวบ้านมากมายขนเครื่องใช้ส่วนตัวออกมากองตามสองข้างถนนหนทางนั้น ตำรวจจราจรสองสามนายพยายามควบคุมการจราจรและบรรดาไทยมุงให้กระจายตัวออกไป
รถแพรวาแล่นเร็วเลี้ยวเข้ามาต่อท้ายรถดับเพลิง หรั่งก้าวลงจากที่นั่งคนขับรถ...เขาหันไปตะโกนบอกแพรวา
“คุณขับรถกลับบ้านเองนะครับ ...ผมขอโทษด้วย”
หรั่งวิ่งตรงเข้าไปในชุมชนอย่างไม่คิดชีวิต เขาวิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปด้านใน ส่วนที่ด้านหลังของหรั่ง แพรวาลงจากรถ มองตามหรั่งไปอย่างกังวล
ครู่ต่อมาหรั่ง วิ่งผ่านฝูงชนที่กำลังวุ่นวายกับการขนของหนีไฟ และการดับไฟ หรั่งวิ่งมาจนเจอเช็ง
“ไอ้เช็ง”
“ไอ้หรั่ง ไปไหนมา”
“ก้อยล่ะ”
“ทางนี้เว้ย”
เช็งวิ่งนำหน้าหรั่งไป หรั่งวิ่งตามเช็ง ทั้งคู่มาเจอกับก้อยที่นั่งยองๆอยู่กับพื้นในมือของเธอกอดคันชักไวโอลินไว้แน่น
“ก้อย...ก้อยเป็นไงบ้าง”
“หรั่ง...ไฟ”
ก้อยขวัญเสียอย่างหนัก ร้องไห้ ตกใจ จนพูดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไรนะก้อย ไม่เป็นไร”
หรั่งกอดก้อยไว้จนแน่น
“ไวโอลินของก้อย มันหายไปแล้ว”
“ช่างมันเถอะก้อย...ไอ้เช็ง กูฝากก้อยไว้หน่อยนะ”
หรั่งลุกขึ้น ละจากก้อยไป เขาตรงไปที่กระป๋องน้ำใกล้ตัว ใช้น้ำราดหัวและตัวแล้วจึงวิ่งฝ่าผู้คนเข้าไปในเปลวไฟ
เท่ห์กำลังสาดน้ำดับไฟอยู่ไม่ไกลกันนัก
“ไอ้หรั่ง จะไปไหน”
ไม่มีใครเรียกหรั่งได้ทัน
มองจากมุมสูงลงมา การดับไฟยังดำเนินต่อไปอย่างยากเย็น
หรั่งวิ่งฝ่ากองไฟ เข้ามาในห้องนอนของเขา เขาแหงนหน้ามองดู ผนังเพดานผืนนั้น เปลวไฟลามไปจนทั่ว เหลือรูปภาพของแพรวาอยู่บ้างไม่มากนัก หรั่งกระชากทั้งแผงให้ร่วงลงมา เขารีบแกะเอารูปทั้งหมดที่ยังเหลือ รวมทั้งซากที่พอจะดึงออกมาจากผนังนั้นได้
หรั่งสำรวจอย่างว่องไว กวาดตามองหากล่องเก็บของสำคัญของเขา แล้วกระชากตู้เสื้อผ้าทั้งตู้ล้มลง จนเปลวไฟลุกติดตู้เสื้อผ้า
จังหวะที่หรั่งผงะถอยหลังหนี สายตาหันไปเห็นกล่องไม้ใบนั้นตกอยู่ที่พื้น เขาพุ่งเข้าไปหามัน หยิบมันขึ้นมาดู
ฝากล่องไม้นั้นเปิดอยู่...หรั่งควานหาของในกล่องที่ตกอยู่ตามพื้น เขาหยิบได้รูปสามสี่ใบ นามบัตร การ์ด และล็อคเก็ตไวโอลิน
ไม้ติดไฟท่อนใหญ่ ล้มลงใส่ หรั่งเอี้ยวตัวหลบ เปลวไฟโหมกระหน่ำหนักขึ้น หรั่งถอดเสื้อที่เปียก ห่อของเหล่านั้น แล้ววิ่งฝ่ากองไฟออกไป ก่อนที่ร่างกายจะทนต่อการขาดอากาศไม่ไหว
หรั่งออกมาแล้ว ขยับตัวนั่งลงข้างๆ ก้อย ตรงบริเวณไม่ไกลจากเพลิงไหม้ เขายื่นไวโอลินใส่มือก้อย มันกรอบและโค้งงอเพราะเปลวไฟ
“มันเหลืออยู่แค่นี้เอง ก้อย”
ก้อยรับซากไวโอลินนั้นมาลูบคลำ อย่างเสียดาย
“ก้อยคงไม่มีโอกาสเล่นไวโอลินอีกแล้ว”
“มีสิ ก้อยต้องได้เล่น...หรั่งจะหาไวโอลินตัวใหม่ให้นะก้อย”
“ของใหม่ มันไม่ผูกพันใจเรา เท่ากับของที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิดนะหรั่ง”
หรั่งพูดไม่ออก
บรรยากาศรอบข้างยังเต็มไปด้วยความหดหู่ โสกเศร้า เสียงอื้ออึงของผู้คน ทั้งเอะอะโวยวาย ทั้งร้องไห้คร่ำครวญ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ยังทำงานอย่างหนัก เพื่อระงับเปลวไฟให้ดับสนิท
ไกลออกไป เห็นโบ้ คร่ำครวญเสียดายเครื่องดนตรีที่เสียหายไปในกองเพลิง
“โฮโฮโฮ...ทรัมโบน...กลองแต๊ก...กลองใหญ่...บารีโทน...ทำไมต้องทำกับโบ้อย่างนี้ โฮโฮ
โฮ....”
ในมือของโบ้มีซากปรักหักพัง ที่ดำเป็นตอของเครื่องดนตรีสี่ห้าชิ้น มีเพียงทรัมเป็ตติดตัวเขาเท่านั้น ที่รอดพ้นจากเงื้อมมือของเปลวเพลิง
หรั่งและก้อยนั่งพิงกันนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวกับจะไว้อาลัยให้กับบ้านที่เพิ่งจะสูญหายไปในกองเพลิงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
https://www.facebook.com/Generalman2013