เป็นเหตุการณ์ที่เราจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
วันนั้นเป็นวันที่ 14 มีนาคม 2556 เรากับพี่สาวและน้องสาว ขับรถออกจากบ้านที่อำเภอแห่งหนึ่งเพื่อจะเข้าไปทำธุระในอำเภอเมือง ระยะทางจากอำเภอบ้านเราถึงตัวอำเภอเมืองประมาณ 50 กิโล ถนนเป็นแบบ 2 เลน รถวิ่งสวนกัน มี 4 เลนในบางช่วงซึ่งเป็นเขตหมู่บ้าน
เราเป็นคนขับ พี่สาวนั่งข้างๆ น้องสาวนั่งข้างหลัง รถฮอนด้าซีอาร์วี เราออกจากบ้านตอนประมาณ 11.00น. เส้นทางนี้เราขับเป็นประจำจึงค่อนข้างชำนาญ เราขับด้วยความเร็วประมาณ 100-120 จนกระทั่งมาถึงประมาณครึ่งทาง ก่อนเข้าหมู่บ้านหนึ่ง มีรถกระบะวิ่งตามหลังมาจ่อท้ายด้วยความเร็วกว่ามาก ไล่บี้เราเราสักพัก เราเลยชะลอให้เค้าแซงไป พอเริ่มเข้าหมู่บ้าน เราก็ชะลออีกเพราะจำได้ว่าก่อนพ้นหมู่บ้านนี้มีซ่อมแซมถนนอยู่ ความเร็วตอนนั้นต่ำกว่า 100 กิโล/ชม
เราขับตรงมาเรื่อยๆ จนถึงช่วงที่ถนน4 เลนเริ่มแคบเข้าเป็น 2 เลนเหมือนเดิม ทางซ้ายมีรถบรรทุกจอดอยู่ ขณะที่เรากำลังจะพ้นรถบรรทุก มีมอเตอร์ไซต์โผล่ออกมาจากทางซ้ายมือ มาแบบไม่เร็วมาก แต่ในระยะกระชั้นชิด สิ่งที่เรามองเห็นก่อนจะชนคือ เป็นผู้ชายขับ และเขาไม่ได้หันมามองทางเราเลย เขามองไปทางซ้ายมืออยู่ เสี้ยววินาทีนั้นสมองเราคิดว่าจะหักหลบหรือจะชน แล้วเราก็ตัดสินใจเหยียบเบรกและชนเพราะกลัวว่าถ้าหักหลบรถจะคว่ำและถ้ามีรถวิ่งสวนมาอีกฝั่งหรือตามหลังมาจะชนรถเราได้
รถเราชนมอเตอร์ไซต์เข้าเต็มๆ ตรงจุดด้านหน้าคนขับ เพราะก่อนจะชนมอไซต์ไม่ได้เบรกหรือชะลอลง กระจกด้านหน้าเราร้าวและยุบเข้ามาทำให้มองไม่เห็น รถเคลื่อนต่อมาอีกนิดถึงเบรกสนิท เรากับพี่สาวและน้องสาวรีบลงจากรถเพื่อจะไปดูคนเจ็บ พี่สาวเรากลัวรถคันอื่นวิ่งมาชนท้ายรถเราเพราะจอดขวางกลางถนนอยู่ เลยบอกให้เราเลื่อนรถเข้าข้างทาง เราจึงเลื่อนรถไปข้างหน้าอีกประมาณ 1-2 เมตรและแอบชิดข้างทาง แต่ก็ทำได้ลำบากเพราะเหมือนรถจะเสียหายมาก ซึ่งที่จริงแล้วไม่ควรเลื่อนรถเพราะเมื่อตำรวจมาวัดจะทำให้คลาดเคลื่อน
เมื่อฉันขับรถชนเด็กคนหนึ่ง...ขาขาด
วันนั้นเป็นวันที่ 14 มีนาคม 2556 เรากับพี่สาวและน้องสาว ขับรถออกจากบ้านที่อำเภอแห่งหนึ่งเพื่อจะเข้าไปทำธุระในอำเภอเมือง ระยะทางจากอำเภอบ้านเราถึงตัวอำเภอเมืองประมาณ 50 กิโล ถนนเป็นแบบ 2 เลน รถวิ่งสวนกัน มี 4 เลนในบางช่วงซึ่งเป็นเขตหมู่บ้าน
เราเป็นคนขับ พี่สาวนั่งข้างๆ น้องสาวนั่งข้างหลัง รถฮอนด้าซีอาร์วี เราออกจากบ้านตอนประมาณ 11.00น. เส้นทางนี้เราขับเป็นประจำจึงค่อนข้างชำนาญ เราขับด้วยความเร็วประมาณ 100-120 จนกระทั่งมาถึงประมาณครึ่งทาง ก่อนเข้าหมู่บ้านหนึ่ง มีรถกระบะวิ่งตามหลังมาจ่อท้ายด้วยความเร็วกว่ามาก ไล่บี้เราเราสักพัก เราเลยชะลอให้เค้าแซงไป พอเริ่มเข้าหมู่บ้าน เราก็ชะลออีกเพราะจำได้ว่าก่อนพ้นหมู่บ้านนี้มีซ่อมแซมถนนอยู่ ความเร็วตอนนั้นต่ำกว่า 100 กิโล/ชม
เราขับตรงมาเรื่อยๆ จนถึงช่วงที่ถนน4 เลนเริ่มแคบเข้าเป็น 2 เลนเหมือนเดิม ทางซ้ายมีรถบรรทุกจอดอยู่ ขณะที่เรากำลังจะพ้นรถบรรทุก มีมอเตอร์ไซต์โผล่ออกมาจากทางซ้ายมือ มาแบบไม่เร็วมาก แต่ในระยะกระชั้นชิด สิ่งที่เรามองเห็นก่อนจะชนคือ เป็นผู้ชายขับ และเขาไม่ได้หันมามองทางเราเลย เขามองไปทางซ้ายมืออยู่ เสี้ยววินาทีนั้นสมองเราคิดว่าจะหักหลบหรือจะชน แล้วเราก็ตัดสินใจเหยียบเบรกและชนเพราะกลัวว่าถ้าหักหลบรถจะคว่ำและถ้ามีรถวิ่งสวนมาอีกฝั่งหรือตามหลังมาจะชนรถเราได้
รถเราชนมอเตอร์ไซต์เข้าเต็มๆ ตรงจุดด้านหน้าคนขับ เพราะก่อนจะชนมอไซต์ไม่ได้เบรกหรือชะลอลง กระจกด้านหน้าเราร้าวและยุบเข้ามาทำให้มองไม่เห็น รถเคลื่อนต่อมาอีกนิดถึงเบรกสนิท เรากับพี่สาวและน้องสาวรีบลงจากรถเพื่อจะไปดูคนเจ็บ พี่สาวเรากลัวรถคันอื่นวิ่งมาชนท้ายรถเราเพราะจอดขวางกลางถนนอยู่ เลยบอกให้เราเลื่อนรถเข้าข้างทาง เราจึงเลื่อนรถไปข้างหน้าอีกประมาณ 1-2 เมตรและแอบชิดข้างทาง แต่ก็ทำได้ลำบากเพราะเหมือนรถจะเสียหายมาก ซึ่งที่จริงแล้วไม่ควรเลื่อนรถเพราะเมื่อตำรวจมาวัดจะทำให้คลาดเคลื่อน