คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
เพราะ Access Point 1 จุดที่ปล่อยไวไฟออกมามันได้พื้นที่แคบๆครับ และรองรับคนได้อย่างมากก็หลักร้อยคนต่อ 1 Access Point
ดังนั้น ถ้าเกิดสมมุติว่า Access Point 1 ตัว มี Bandwidth 42 Mbps ละกัน(จะได้เทียบกับ3Gได้ง่ายๆหน่อย) แล้วมีคนใช้สัก 50 คน
ก็จะแบ่งความเร็วได้คนละประมาณ 0.84 Mbps (คงไม่มี AP ตัวไหนแบ่งได้เป๊ะขนาดนี้หรอก)
ผิดกับ 3G ที่ Base Station 1 จุด จะกระจายสัญญาณได้กว้างมาก 1-10 กม. (แล้วแต่ความถี่/กำลังส่ง/สิ่งกีดขวางครับ)
รองรับคนได้เป็นหลักพันหลักหมื่น (อันนี้ผมไม่รู้ แต่น่าจะประมาณนี้แหละ)
ดังนั้นถ้า Base Station 1 จุด มี Bandwidth ทั้งหมด 42Mbps แล้วมีคนใช้สัก 1000 คน
จะหารได้ประมาณ 0.042 Mbps ซึ่งน้อยมาก
ดังนั้นถ้าเกิดทุกคนที่ใช้ 3G ใช้อย่างไม่จำกัด แล้วเอาไปโหลดบิท หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็จะอืดมากๆ
เค้าเลยต้องจำกัดเป็น FUP ครับ เพื่อให้คนที่ใช้ 3G ไม่โหลดแบบฟุ่มเฟือยแบนด์วิธ
แต่ถ้าเป็น wifi อันนี้เค้าไม่จำเป็นต้องจำกัดก็ได้ครับ เพราะคนใช้มันน้อยกว่ามาก ทำให้ความเร็วมันหารกันน้อย
ให้โหลดยังไงก็ยังไหวครับ
ดังนั้น ถ้าเกิดสมมุติว่า Access Point 1 ตัว มี Bandwidth 42 Mbps ละกัน(จะได้เทียบกับ3Gได้ง่ายๆหน่อย) แล้วมีคนใช้สัก 50 คน
ก็จะแบ่งความเร็วได้คนละประมาณ 0.84 Mbps (คงไม่มี AP ตัวไหนแบ่งได้เป๊ะขนาดนี้หรอก)
ผิดกับ 3G ที่ Base Station 1 จุด จะกระจายสัญญาณได้กว้างมาก 1-10 กม. (แล้วแต่ความถี่/กำลังส่ง/สิ่งกีดขวางครับ)
รองรับคนได้เป็นหลักพันหลักหมื่น (อันนี้ผมไม่รู้ แต่น่าจะประมาณนี้แหละ)
ดังนั้นถ้า Base Station 1 จุด มี Bandwidth ทั้งหมด 42Mbps แล้วมีคนใช้สัก 1000 คน
จะหารได้ประมาณ 0.042 Mbps ซึ่งน้อยมาก
ดังนั้นถ้าเกิดทุกคนที่ใช้ 3G ใช้อย่างไม่จำกัด แล้วเอาไปโหลดบิท หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็จะอืดมากๆ
เค้าเลยต้องจำกัดเป็น FUP ครับ เพื่อให้คนที่ใช้ 3G ไม่โหลดแบบฟุ่มเฟือยแบนด์วิธ
แต่ถ้าเป็น wifi อันนี้เค้าไม่จำเป็นต้องจำกัดก็ได้ครับ เพราะคนใช้มันน้อยกว่ามาก ทำให้ความเร็วมันหารกันน้อย
ให้โหลดยังไงก็ยังไหวครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไม Wi-Fi ถึงใช้ได้ไม่จำกัด