สมัยก่อนที่ยังเป็นนักศึกษาสนใจงานเขียนของหลวงพ่อพุทธทาสเอามาก
แต่ที่สนใจเป้นพิเศษก็คืออุดมการแบบไม่มีตัวกูของกูตอนนั้นกระแสคอมมูวนิสต์มันแรงมาก
ขนาดรอบบ้านเราเขมรลาวญวนและพม่าต่างซึมซับอุดมการณ์ของคานมาร์กเข้าไปกันแล้วทั้งนั้น
ความดีงามอย่างมหัศจรรย์ของระบบคอมมูนิสย์นั้นเกิดจากการวิพากษ์คริสต์ศาสนาจนตกพรึก
แม้หลักอหิงสาธรรมของคานทีนักวิจารย์ก็มีความเห็นว่าเอามาจากคริสต์ศาสนาประเภทหันแก้มอีกข้างให้เพื่อนตบนะ
แม้ท่านคานทีจะเป็นพราหมแต่ในศาสนาพราหมก็มีประเภทรบเถอะอรชุนในภควะคีตา
ประเภทอดทนอดกลั้นนั้นเห็นด้วยน่าจะมาจากคำสอนของพระเยซูมากกว่า
จำได้ว่ามีอยู่สมัยหนึ่งมีบาทหลวงจำนวนหนึ่งได้เข้าไปแลกเปลี่ยนความรู้ทางศาสนากับหลวงพ่อ
หลวงพ่อน่าจะได้คำนี้มาจากบาทหลวงในนัยยะเพื่อพระเจ้ามิใช่เพื่อตัวกูและก็สอดคล้องกับระบบ
ของส่วนรวมไม่มีของส่วนตนโดยทุกคนมีความเท่าเทียมเสมอกันไม่มีนายไม่มีไพร่ สมัยนั้นผมก็เคลิ้มไปกับลัทธินี้เหมือนกัน
มาวันนี้มาหวนกลับมาพิจารณาคำว่าไม่มีตัวกูของกูอีกครั้งกลับมีความรู้สึกว่ามันเป็นเพียงระดับอุดมการณ์เท่านั้น
ไม่ใช่มรรคาแต่อย่างใด อ้าว..แล้วเพราะอะไรจึงคิดว่ามันไม่ใช่มรรคาสู่ความว่างจากอัตตาตัวตน
ก็เพราะวันนี้ได้รู้จักมรรคาสู่ความว่างจากอัตตาตัวตนในพุทธศาสนาที่แท้จริงแล้วนะสิ
เพราะปฐมฌานนั้นว่างจากอกุศลธรรมทั้งปวงส่วนฑุติยฌานนั้นย่อมว่างจากวิตกวิจารย์
ตติยฌานนั้นว่างจากปิติเป็นเอกคตารมย์....ไปจนถึงสัญญาเวยิตทนิโรธจึงเป็นการว่างจากอัตตาตัวกูของกูอย่างแท้จริง
ดังนั้นถ้าพิจารณาคำกล่าวว่าไม่มีตัวกูของกูของหลวงพ่อก็จะพบว่ายังมีตัวกูของกูอยู่คือความคิดไม่มีตัวกูของกูนั้นเอง
ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าไม่มีตัวกูของกูนั้นมาจากอุดมการณ์ทำเพื่อพระเจ้าเป็นหลักการจากคริสต์ธรรมมากกว่าครับ
...ไม่มีตัวกูของกูหรือเพื่อพระเจ้า!
แต่ที่สนใจเป้นพิเศษก็คืออุดมการแบบไม่มีตัวกูของกูตอนนั้นกระแสคอมมูวนิสต์มันแรงมาก
ขนาดรอบบ้านเราเขมรลาวญวนและพม่าต่างซึมซับอุดมการณ์ของคานมาร์กเข้าไปกันแล้วทั้งนั้น
ความดีงามอย่างมหัศจรรย์ของระบบคอมมูนิสย์นั้นเกิดจากการวิพากษ์คริสต์ศาสนาจนตกพรึก
แม้หลักอหิงสาธรรมของคานทีนักวิจารย์ก็มีความเห็นว่าเอามาจากคริสต์ศาสนาประเภทหันแก้มอีกข้างให้เพื่อนตบนะ
แม้ท่านคานทีจะเป็นพราหมแต่ในศาสนาพราหมก็มีประเภทรบเถอะอรชุนในภควะคีตา
ประเภทอดทนอดกลั้นนั้นเห็นด้วยน่าจะมาจากคำสอนของพระเยซูมากกว่า
จำได้ว่ามีอยู่สมัยหนึ่งมีบาทหลวงจำนวนหนึ่งได้เข้าไปแลกเปลี่ยนความรู้ทางศาสนากับหลวงพ่อ
หลวงพ่อน่าจะได้คำนี้มาจากบาทหลวงในนัยยะเพื่อพระเจ้ามิใช่เพื่อตัวกูและก็สอดคล้องกับระบบ
ของส่วนรวมไม่มีของส่วนตนโดยทุกคนมีความเท่าเทียมเสมอกันไม่มีนายไม่มีไพร่ สมัยนั้นผมก็เคลิ้มไปกับลัทธินี้เหมือนกัน
มาวันนี้มาหวนกลับมาพิจารณาคำว่าไม่มีตัวกูของกูอีกครั้งกลับมีความรู้สึกว่ามันเป็นเพียงระดับอุดมการณ์เท่านั้น
ไม่ใช่มรรคาแต่อย่างใด อ้าว..แล้วเพราะอะไรจึงคิดว่ามันไม่ใช่มรรคาสู่ความว่างจากอัตตาตัวตน
ก็เพราะวันนี้ได้รู้จักมรรคาสู่ความว่างจากอัตตาตัวตนในพุทธศาสนาที่แท้จริงแล้วนะสิ
เพราะปฐมฌานนั้นว่างจากอกุศลธรรมทั้งปวงส่วนฑุติยฌานนั้นย่อมว่างจากวิตกวิจารย์
ตติยฌานนั้นว่างจากปิติเป็นเอกคตารมย์....ไปจนถึงสัญญาเวยิตทนิโรธจึงเป็นการว่างจากอัตตาตัวกูของกูอย่างแท้จริง
ดังนั้นถ้าพิจารณาคำกล่าวว่าไม่มีตัวกูของกูของหลวงพ่อก็จะพบว่ายังมีตัวกูของกูอยู่คือความคิดไม่มีตัวกูของกูนั้นเอง
ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าไม่มีตัวกูของกูนั้นมาจากอุดมการณ์ทำเพื่อพระเจ้าเป็นหลักการจากคริสต์ธรรมมากกว่าครับ