3 ตุลาคม 2556
ผมชักเริ่มจะติดใจแล้วครับ วันนี้ผมเลยขออนุญาตตั้งกระทู้เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ได้ไปชมมาอีกสัก 1 เรื่อง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ผมได้พาคุณแม่ของผมไปชมมาด้วยครับ ซึ่งเป็นหนังแนวแอคชั่นไซไฟที่พูดถึงโลกในอนาคต แต่เรื่องราวที่ผมเขียนในกระทู้นี้อาจจะไม่ใช่บทวิจารณ์หนังนะครับ อาจเป็นเพียงแค่บทความหัดเขียนที่ผมลองเขียนขึ้นหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์จบลง แล้วก็อย่างที่บอกไว้ล่ะครับ เมื่อเข้าไปดูหนังแล้วก็อยากจะให้ได้แง่คิดอะไรที่สะกิดใจบ้าง ซึ่งเนื้อหาที่ผมเขียนอาจจะไม่มีสาระแต่ก็ได้ในเรื่องของการพัฒนาจินตนาการครับ
ภาพยนตร์เรื่องเอลลิเซี่ยม (Eiysium) ที่ผมได้ไปชมมานี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกของเราในอนาคต ประมาณปี ค.ศ.2154 ที่โลกของเราเสื่อมโทรมรกร้างเต็มไปด้วยขยะ ประชากรล้นโลกมีปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นจึงมีมนุษย์ผู้ที่มีอันจะกินกลุ่มหนึ่งหนีไปสร้างโลกขึ้นมาใหม่ในอวกาศ โดยอยู่ไม่ไกลจากโลกของเรามากนัก เมื่อเราอยู่บนโลกอันแสนจะสับสนวุ่นวายนี้เราก็สามารถมองเห็นโลกใหม่อันงดงามจากบนพื้นโลกที่เรายืนอยู่ได้ โลกหรือดาวดวงใหม่นี้มีชื่อว่า เอลลิเซี่ยม (Eiysium) ตรงตามชื่อเรื่องของภาพยนตร์เลยครับ
หนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้วจะบอกว่าเป็นหนังแนวฮีโร่ก็ได้ เพราะว่าในเนื้อเรื่องมีตัวละครเด่นที่เป็นตัวเดินเรื่องอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งก็คือแม็กซ์ที่เป็นพระเอกของเรื่อง (พระเอก แสดงโดย แม็ท เดม่อน) แล้วกล้องก็ติดตามถ่ายทอดชีวิตของพระเอกคนนี้โดยตลอดทั้งเรื่อง โดยเรื่องราวเริ่มต้นจากการปูพื้นหลังของตัวละครเอกซึ่งก็คือแม็กซ์ ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้าที่เกิดขึ้นในมาโลกอนาคต ในยุคซึ่งประชากรล้นโลกจึงต้องมีการแข่งขันแก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบและช่วงชิงสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา พระเอกของเราจึงต้องต่อสู้ชีวิตให้ผ่านความยากลำบากเพื่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ โดยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน ซึ่งทั้งคู่ฝันร่วมกันว่าสักวันหนึ่งเขาจะพาเธอขึ้นไปอยู่บน เอลลิเซี่ยม (Eiysium) ให้ได้
สาเหตุที่ใคร ๆ อยากจะขึ้นไปอยู่บนเอลลิเซี่ยมนั้นก็เป็นเพราะว่า เอลลิเซี่ยมนั้นคือโลกหรือดวงดาวที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่ โดยคนที่จะสามารถขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บนเอลลิเซี่ยมนี้ได้ต้องเป็นคนที่ร่ารวยและมีฐานะดีเท่านั้น เพราะว่าเอลลิเซี่ยมถูกสร้างขึ้นมาให้ทุกชีวิตมีความสมบูรณ์และมีความเป็นอยู่ที่ดี มีอากาศดีมีต้นไม้ในระบบนิเวศ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ดีทั้งหมด เหมาะสมกับการอยู่อาศัยซึ่งต่างจากโลกเดิมในขณะนั้นอย่างสิ้นเชิง และประการสำคัญที่สุดก็คือ บนเอลลิเซี่ยมปลอดภัยจากสิ่งต่าง ๆ ที่จะมาทำร้ายมนุษย์ รวมทั้งมีเตียงแพทย์ประจำบ้านที่สามารถรักษาทุกคนให้หายจากทุกโรคไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเป็นโรคร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม เตียงแพทย์นี้สามารถรักษาอาการให้กลายเป็นมนุษย์ปกติได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มนุษย์บนโลกมีความต้องการเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าบนโลกใบเดิมนั้นยังคงมีความเลวร้ายอยู่มากมาย รวมทั้งมลภาวะเป็นพิษที่ทำให้มนุษย์อาจจะต้องเจ็บป่วยพิการหรือตายได้โดยตลอด
แม็กซ์ใช้ชิวิตอยู่บนโลกอย่างโดดเดี่ยวและไร้ซึ่งอนาคตที่ดี เนื่องจากว่าเขาถูกเลี้ยงขึ้นมาด้วยระบบสังคมที่ฟอนเฟะบนความเสื่อมโทรม เพื่อความอยู่รอดในชีวิตจึงทำให้เขามีคดีติดตัวอยู่มากมาย กลายเป็นคนที่มีประวัติไม่ดีในสังคม แต่แม็กซ์ก็ยังคงใช้ชิวิตอยู่บนโลกห่วย ๆ ใบนี้อย่างจำใจ โดยเขาทำงานอยู่ในโรงงานผลิตหุ่นยนต์แห่งหนึ่ง แล้ววันหนึ่งชีวิตของเขาก็ต้องพลิกผันเมื่อเขาประสบอุบัติเหตุในระหว่างการทำงาน ทำให้ตัวเขาโดนกัมมันตภาพรังสีขั้นรุนแรงที่ทำให้เขาต้องตายภายใน 5 วัน ซึ่งจุดนี้เองถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในเรื่อง เมื่อแม็กซ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะขึ้นทางขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมให้ได้ เขาต้องใช้เวลาที่เหลือเพียงแค่ 5 วันเพื่อต่อสู้กับความตายที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นความเป็นฮีโร่ที่อ้างว่าเขามีดีอยู่ในตัวนั้นจึงต้องถูกนำออกมาใช้ด้วยความจำเป็น
แต่บนเอลลิเซี่ยมนั้นไม่ใช่ว่าจะให้คนอย่างแม็กซ์หรือว่ามนุษย์โลกคนอื่น ๆ ขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย เพราะว่ามีระบบการป้องกันคนนอกซึ่งก็คือมนุษย์โลกไว้เป็นอย่างดี โดยมีรัฐมนตรีบนดวงดาวเอลลิเซี่ยมคนหนึ่งที่ชื่อโรดส์ (ผู้ร้าย แสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์) เป็นผู้คุมกฎต่าง ๆ ทั้งหมด เธอผู้เหี้ยมโหดและเด็ดขาดคนนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจหมายเลข 1 ที่คอยขัดขวางไม่ให้แม็กซ์ขึ้นมาบนเอลลิเซี่ยมได้ ส่วนศัตรูอันดับที่ 2 ของแม็กซ์ก็คือเจ้าหน้าที่สายลับของเอลลิเซี่ยมซึ่งทำหน้าที่คอยขัดขวางไม่ใช่มนุษย์โลกคนต่าง ๆ ขึ้นไปยังเอลลิเซี่ยมได้ โดยตัวละครร้ายตัวนี้ในตอนท้ายได้กลายเป็นเสมือนกับอสูรร้ายที่มาต่อสู้ต่อกรกับฮีโร่ของเราโดยเฉพาะ ตามสูตรของหนังแอคชั่นฮีโร่ของฮอลลีวูดอย่างแท้จริง
(ซึ่งสุดท้ายแล้วแม็กซ์ พระเอกของเรื่องจะแสดงความเป็นฮีโร่และสามารถขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมได้หรือไม่นั้น ? เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องติดตามเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์เองครับ ถ้าผมเล่าไปหมดก็คงจะกลายเป็นสปอยล์แน่ ๆ ครับ : รู้สึกไม่สอยล์)
สำหรับธีม (Theme) ของเรื่องนี้ก็คือเรื่องของความอยู่รอด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ในกรณีต่าง ๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้ ภาพโดยรวมของเรื่องทำให้เห็นว่าเมื่อโลกเกิดความเสื่อมโทรมและเลวร้ายไม่น่าอยู่แล้ว ทุกคนจึงพยายามหาหนทางที่จะขึ้นไปอยู่บนโลกแห่งใหม่ที่งดงามกว่าให้ได้ ซึ่งก็คือการหาทางขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมนั้นเอง โดยวัตถุประสงค์หลักประการแรกของทุกคนที่ต้องการขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมนั้นคือการรักษาตัวเองให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เพื่อที่จะรอดพ้นจากความตายด้วยโรคร้ายนั้น ๆ สำหรับตัวพระเอกซึ่งก็คือแม็กซ์ เมื่อเขารู้ว่ามีชิวิตอยู่ได้แค่ 5 วันก่อนที่เขาจะตาย เขาจึงต้องหาทางเอาชีวิตรอดให้ได้ ส่วนเพื่อนสนิทของพระเอกก็ต้องการให้ลูกสาวของเธอรอดจากโรคลูคีเมียด้วยการขึ้นไปรักษาบนเอลลิเซี่ยมด้วยเช่นกัน
มีสำนวนไทยโบราณที่พูดเปรียบเทียบถึงการเอาชีวิตรอดไว้อย่างชัดเจนก็คือ “สู้เหมือนหมาจนตรอก” ซึ่งค่อนข้างเห็นภาพได้อย่างชัดเจนมาก มนุษย์เราเมื่อเจอหนทางมืดมนก็คงต้องทำทุกวิถีทางให้มีชีวิตรอดเช่นกัน ในประเด็นนี้ผู้เขียนได้จับเอามาเรื่องราวของการดิ้นร้นเพื่อแสวงหาความอยู่รอด มาผูกเรื่องเป็นประเด็นการนำเสนอได้อย่างแยบคายเป็นอย่างมาก ส่วนในประเด็นอื่นที่ผมอยากจะพูดถึงจากการได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น อาจจะเป็นประเด็นที่ผมแค่เห็นแล้วอาจจะคิดเอาเองก็เป็นได้ ดังนั้นต่อจากนี้ไปน่าจะเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมที่จินตนาการขึ้นหลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้นเองครับ (อย่าพยายามหาทางวกเข้าดราม่าอย่างเด็ดขาด : รู้สึกกลัวว่าจะมาม่า)
สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือประเด็นเรื่องความแตกต่างทางสังคม ซึ่งอันนี้ในเรื่องเห็นค่อนข้างชัดเจนเลย เนื่องจากจะเห็นว่ามีอยู่ 2 โลกเพื่อเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน โลกใบเดิมที่เลวร้ายเนื่องจากประชากรล้นโลก ทรัพยากรหมดสิ้นเหลือไว้เพียงซากปรักหักพักและเศษขยะ คนที่อยู่ก็มีแต่ความเสี่ยงว่าจะป่วยหรือพิการซึ่งดูแล้วโลกใบนี้ไม่น่าอยู่เลยสักนิด เปรียบเทียบกับโลกหรือดวงดาวใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น บนนั้นมีความงดงามเป็นอย่างมาก มีอากาศดีเพราะมีต้นไม้ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีมากมาย คนที่อยู่ก็มีสุขภาพที่ดีจึงน่าอยู่และน่าพักอาศัยเป็นอย่างมาก ซึ่งเปรียบเทียบกันระหว่างโลกในความเป็นจริงกับโลกในจินตนาการ โดยที่ในอนาคตข้างหน้าโลกของเราอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ๆ ก็เป็นได้ครับ
คนที่จะสามารถขึ้นไปใช้ชิวิตอยู่บนเอลลิเซี่ยมที่ถือว่าเป็นโลกใบใหม่อันสวยงามได้นั้นต้องเป็นพวกคนรวย คนที่มีฐานะดีทางสังคม เศรษฐี ผู้ดี ไฮโซ รวมถึงนักการเมืองต่าง ๆ เท่านั้น แต่สำหรับคนจนผู้ไร้ค่าทางสังคมนั้นคงต้องอยู่บนโลกใบเน่า ๆ นี้เหมือนเดิม แต่เมื่อมองลึกลงไปอีกจะเห็นว่า ผู้ที่มีอำนาจคุมกฏเกณฑ์ต่าง ๆ บนโลกทั้ง 2 ใบนี้กลับกลายเป็นคนเพียงแค่กลุ่มเดียว ที่มักจะปิดกั้นและปิดโอกาสคนทั่วไปในสังคม เพียงแค่ต้องการเว้นที่ว่างไว้ให้สำหรับพวกพรรคของตนเองเท่านั้นเอง (ตรูไม่ได้ประชดใครนะ : รู้สึกกลัวมาม่าจังเลย)
อำนาจของผู้คุมกฎเมื่อแสดงออกมาในเชิงสัญลักษณ์แล้วก็คือ “กฎหมาย” แต่อำนาจของผู้คุมกฎในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับประยุกต์ออกมาในรูปของ “หุ่นยนต์” แทน หุ่นยนต์เป็นเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างขึ้น โลกในอนาคตหุ่นยนต์ถูกทำหน้าที่ให้เป็นกฎหมายในสังคม บนโลกมนุษย์มีหุ่นยนต์ตำรวจคอยควบคุมตรวจตราและทำร้ายมนุษย์ที่ทำผิดซึ่งไม่ใช่พวกเดียวกับเขา (พวกใครหว่า?) ส่วนบนเอลลิเซี่ยมกลับมีหุ่นยนต์ทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยปกป้องรวมทั้งคอยรับใช้ให้แก่คนที่เป็นพรรคพวกของตนเอง
โดยในเรื่องนี้มีฉากล้อเลียนที่ผมถือว่าเป็นตลกร้ายอยู่ 1 ฉากก็คือ ตอนที่แม็กซ์ผู้เป็นพระเอกต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ภาคทัณฑ์ที่เป็นหุ่นยนต์ พระเอกเถียงกับหุ่นยนต์อย่างไรพระเอกก็ผิดตลอด จนสุดท้ายหุ่นยนต์ถามพระเอกว่า “คุณต้องการคุยกับมนุษย์ไหม?” ซึ่งดูแล้วให้อารมณ์ที่แทงใจเป็นอย่างมาก คงเหมือนในปัจจุบันที่เราต้องโทรไปตามคอลเซ็นเตอร์เพื่อร้องเรียนเรื่องต่าง ๆ แล้วได้ยินเสียงอัตโนมัติบอกว่าให้เรากด 1 หรือกด 2 แล้วเสียงอัตโนมัติก็บอกต่อว่า ให้กด 1 หรือกด 2 ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายแล้วก็ได้ยินเสียงอัตโนมัติบอกเราว่า ...
“ให้กด 0 ถ้าท่านต้องการติดต่อกับโอเปอเรเตอร์”
เมื่อเราได้ยินเราก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งแล้วรีบกด 0 ในทันที แต่หลังจากที่กด 0 ไปแล้วก็มีแต่ความเงียบ แล้วสัญญาณการติดต่อต่าง ๆ ก็จะขาดหายตามไปด้วย ... เซ็งเลยอ่ะ (ตรูฝังใจอะไรเนี่ย? : รู้สึกเครียดแค้น)
เมื่อเกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้นขึ้นอย่างชัดเจน แน่นอนที่สุดมนุษย์ผู้ที่อยู่ในสังคมนั้น ๆ ก็คงต้องดิ้นร้นหาทางออกเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ในประเด็นนี้ถือว่าเป็นลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของมนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเรามักจะไปแก้ไขกันที่สาเหตุ โดยที่เราไม่พยายามที่จะไปแก้ไขที่ต้นเหตุเลย ซึ่งถ้าเรารู้จักคิดได้เราก็ควรจะรีบแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเสียแต่เนิ่น ๆ
ถ้าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทำไมเราไม่ทำให้มันน่าอยู่ล่ะครับ? เมื่อประชากรล้นโลก ทำไมเราไม่รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุดล่ะ? เมื่อมีความแตกต่างทางสังคมเกิดขึ้น ทำไมเราไม่แก้ไขความเลื่อมล้ำทางสังคมนั้นล่ะ?
ทุกคนต่างก็รู้แต่ทุกคนไม่ทำ ทุกคนรู้ก็เพราะว่าทุกคนมีสัญชาติญาณของความอยู่รอดติดตัวอยู่ แต่ที่ทุกคนไม่ทำก็เพราะต้องการเอาชีวิตรอดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งผมดูจบเรื่องแล้วก็มีความรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องเอลลิเซี่ยมนี้กำลังประชดพวกเราอยู่เหมือนกันครับ ในโลกแห่งความเป็นจริงของเราทุกวันนี้ทำไมไม่มีใครสักคนที่เป็นฮีโร่หรือผู้นำ ผู้ซึ่งจะยอมเสียสละเอาความอยู่รอดของตัวเอง (1 ชีวิต) มาแลกกับความอยู่รอดของคนในสังคม (มากมายหลายล้านชีวิต) บ้างล่ะครับ? แล้วเมื่อไหร่ในสังคมของเราจะมีคนแบบนี้เกิดขึ้นบางล่ะครับ? เอ .. หรือว่ามีแล้วหว่า ใครอ่ะ? (เปิดช่องให้เขาดราม่าจังนะ : รู้สึกสร้างกระแส)
สุดท้ายแล้วเมื่อได้รู้ว่าโลกในอนาคตเป็นอย่างไรแล้ว (ตามเนื้อเรื่องในหนังเรื่องนี้นะ) ผมก็ต้องใช้คำพูดของเกรียนออนไลน์ในเชิงประชดประชันที่ว่า ...
“โลกนี้อยู่ยากเนอะ”
เพราะว่าเราก็ไม่สามารถแสดงตนเป็นฮีโร่ ให้เหมือนกับแม็กซ์พระเอกในเรื่องได้ทุกคนหรอกครับ
+++++
ฝากกระทู้ก่อนหน้านี้ด้วยครับ
Runner Runner ... รีบวิ่งหนีไปซะ
http://ppantip.com/topic/31052790
Elysium … บนโลกแห่งความอยู่รอด
ผมชักเริ่มจะติดใจแล้วครับ วันนี้ผมเลยขออนุญาตตั้งกระทู้เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ได้ไปชมมาอีกสัก 1 เรื่อง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ผมได้พาคุณแม่ของผมไปชมมาด้วยครับ ซึ่งเป็นหนังแนวแอคชั่นไซไฟที่พูดถึงโลกในอนาคต แต่เรื่องราวที่ผมเขียนในกระทู้นี้อาจจะไม่ใช่บทวิจารณ์หนังนะครับ อาจเป็นเพียงแค่บทความหัดเขียนที่ผมลองเขียนขึ้นหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์จบลง แล้วก็อย่างที่บอกไว้ล่ะครับ เมื่อเข้าไปดูหนังแล้วก็อยากจะให้ได้แง่คิดอะไรที่สะกิดใจบ้าง ซึ่งเนื้อหาที่ผมเขียนอาจจะไม่มีสาระแต่ก็ได้ในเรื่องของการพัฒนาจินตนาการครับ
ภาพยนตร์เรื่องเอลลิเซี่ยม (Eiysium) ที่ผมได้ไปชมมานี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกของเราในอนาคต ประมาณปี ค.ศ.2154 ที่โลกของเราเสื่อมโทรมรกร้างเต็มไปด้วยขยะ ประชากรล้นโลกมีปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นจึงมีมนุษย์ผู้ที่มีอันจะกินกลุ่มหนึ่งหนีไปสร้างโลกขึ้นมาใหม่ในอวกาศ โดยอยู่ไม่ไกลจากโลกของเรามากนัก เมื่อเราอยู่บนโลกอันแสนจะสับสนวุ่นวายนี้เราก็สามารถมองเห็นโลกใหม่อันงดงามจากบนพื้นโลกที่เรายืนอยู่ได้ โลกหรือดาวดวงใหม่นี้มีชื่อว่า เอลลิเซี่ยม (Eiysium) ตรงตามชื่อเรื่องของภาพยนตร์เลยครับ
หนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้วจะบอกว่าเป็นหนังแนวฮีโร่ก็ได้ เพราะว่าในเนื้อเรื่องมีตัวละครเด่นที่เป็นตัวเดินเรื่องอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งก็คือแม็กซ์ที่เป็นพระเอกของเรื่อง (พระเอก แสดงโดย แม็ท เดม่อน) แล้วกล้องก็ติดตามถ่ายทอดชีวิตของพระเอกคนนี้โดยตลอดทั้งเรื่อง โดยเรื่องราวเริ่มต้นจากการปูพื้นหลังของตัวละครเอกซึ่งก็คือแม็กซ์ ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้าที่เกิดขึ้นในมาโลกอนาคต ในยุคซึ่งประชากรล้นโลกจึงต้องมีการแข่งขันแก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบและช่วงชิงสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา พระเอกของเราจึงต้องต่อสู้ชีวิตให้ผ่านความยากลำบากเพื่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ โดยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน ซึ่งทั้งคู่ฝันร่วมกันว่าสักวันหนึ่งเขาจะพาเธอขึ้นไปอยู่บน เอลลิเซี่ยม (Eiysium) ให้ได้
สาเหตุที่ใคร ๆ อยากจะขึ้นไปอยู่บนเอลลิเซี่ยมนั้นก็เป็นเพราะว่า เอลลิเซี่ยมนั้นคือโลกหรือดวงดาวที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่ โดยคนที่จะสามารถขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บนเอลลิเซี่ยมนี้ได้ต้องเป็นคนที่ร่ารวยและมีฐานะดีเท่านั้น เพราะว่าเอลลิเซี่ยมถูกสร้างขึ้นมาให้ทุกชีวิตมีความสมบูรณ์และมีความเป็นอยู่ที่ดี มีอากาศดีมีต้นไม้ในระบบนิเวศ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ดีทั้งหมด เหมาะสมกับการอยู่อาศัยซึ่งต่างจากโลกเดิมในขณะนั้นอย่างสิ้นเชิง และประการสำคัญที่สุดก็คือ บนเอลลิเซี่ยมปลอดภัยจากสิ่งต่าง ๆ ที่จะมาทำร้ายมนุษย์ รวมทั้งมีเตียงแพทย์ประจำบ้านที่สามารถรักษาทุกคนให้หายจากทุกโรคไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเป็นโรคร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม เตียงแพทย์นี้สามารถรักษาอาการให้กลายเป็นมนุษย์ปกติได้ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มนุษย์บนโลกมีความต้องการเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าบนโลกใบเดิมนั้นยังคงมีความเลวร้ายอยู่มากมาย รวมทั้งมลภาวะเป็นพิษที่ทำให้มนุษย์อาจจะต้องเจ็บป่วยพิการหรือตายได้โดยตลอด
แม็กซ์ใช้ชิวิตอยู่บนโลกอย่างโดดเดี่ยวและไร้ซึ่งอนาคตที่ดี เนื่องจากว่าเขาถูกเลี้ยงขึ้นมาด้วยระบบสังคมที่ฟอนเฟะบนความเสื่อมโทรม เพื่อความอยู่รอดในชีวิตจึงทำให้เขามีคดีติดตัวอยู่มากมาย กลายเป็นคนที่มีประวัติไม่ดีในสังคม แต่แม็กซ์ก็ยังคงใช้ชิวิตอยู่บนโลกห่วย ๆ ใบนี้อย่างจำใจ โดยเขาทำงานอยู่ในโรงงานผลิตหุ่นยนต์แห่งหนึ่ง แล้ววันหนึ่งชีวิตของเขาก็ต้องพลิกผันเมื่อเขาประสบอุบัติเหตุในระหว่างการทำงาน ทำให้ตัวเขาโดนกัมมันตภาพรังสีขั้นรุนแรงที่ทำให้เขาต้องตายภายใน 5 วัน ซึ่งจุดนี้เองถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในเรื่อง เมื่อแม็กซ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะขึ้นทางขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมให้ได้ เขาต้องใช้เวลาที่เหลือเพียงแค่ 5 วันเพื่อต่อสู้กับความตายที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นความเป็นฮีโร่ที่อ้างว่าเขามีดีอยู่ในตัวนั้นจึงต้องถูกนำออกมาใช้ด้วยความจำเป็น
แต่บนเอลลิเซี่ยมนั้นไม่ใช่ว่าจะให้คนอย่างแม็กซ์หรือว่ามนุษย์โลกคนอื่น ๆ ขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย เพราะว่ามีระบบการป้องกันคนนอกซึ่งก็คือมนุษย์โลกไว้เป็นอย่างดี โดยมีรัฐมนตรีบนดวงดาวเอลลิเซี่ยมคนหนึ่งที่ชื่อโรดส์ (ผู้ร้าย แสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์) เป็นผู้คุมกฎต่าง ๆ ทั้งหมด เธอผู้เหี้ยมโหดและเด็ดขาดคนนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจหมายเลข 1 ที่คอยขัดขวางไม่ให้แม็กซ์ขึ้นมาบนเอลลิเซี่ยมได้ ส่วนศัตรูอันดับที่ 2 ของแม็กซ์ก็คือเจ้าหน้าที่สายลับของเอลลิเซี่ยมซึ่งทำหน้าที่คอยขัดขวางไม่ใช่มนุษย์โลกคนต่าง ๆ ขึ้นไปยังเอลลิเซี่ยมได้ โดยตัวละครร้ายตัวนี้ในตอนท้ายได้กลายเป็นเสมือนกับอสูรร้ายที่มาต่อสู้ต่อกรกับฮีโร่ของเราโดยเฉพาะ ตามสูตรของหนังแอคชั่นฮีโร่ของฮอลลีวูดอย่างแท้จริง
(ซึ่งสุดท้ายแล้วแม็กซ์ พระเอกของเรื่องจะแสดงความเป็นฮีโร่และสามารถขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมได้หรือไม่นั้น ? เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องติดตามเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์เองครับ ถ้าผมเล่าไปหมดก็คงจะกลายเป็นสปอยล์แน่ ๆ ครับ : รู้สึกไม่สอยล์)
สำหรับธีม (Theme) ของเรื่องนี้ก็คือเรื่องของความอยู่รอด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ในกรณีต่าง ๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้ ภาพโดยรวมของเรื่องทำให้เห็นว่าเมื่อโลกเกิดความเสื่อมโทรมและเลวร้ายไม่น่าอยู่แล้ว ทุกคนจึงพยายามหาหนทางที่จะขึ้นไปอยู่บนโลกแห่งใหม่ที่งดงามกว่าให้ได้ ซึ่งก็คือการหาทางขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมนั้นเอง โดยวัตถุประสงค์หลักประการแรกของทุกคนที่ต้องการขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมนั้นคือการรักษาตัวเองให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เพื่อที่จะรอดพ้นจากความตายด้วยโรคร้ายนั้น ๆ สำหรับตัวพระเอกซึ่งก็คือแม็กซ์ เมื่อเขารู้ว่ามีชิวิตอยู่ได้แค่ 5 วันก่อนที่เขาจะตาย เขาจึงต้องหาทางเอาชีวิตรอดให้ได้ ส่วนเพื่อนสนิทของพระเอกก็ต้องการให้ลูกสาวของเธอรอดจากโรคลูคีเมียด้วยการขึ้นไปรักษาบนเอลลิเซี่ยมด้วยเช่นกัน
มีสำนวนไทยโบราณที่พูดเปรียบเทียบถึงการเอาชีวิตรอดไว้อย่างชัดเจนก็คือ “สู้เหมือนหมาจนตรอก” ซึ่งค่อนข้างเห็นภาพได้อย่างชัดเจนมาก มนุษย์เราเมื่อเจอหนทางมืดมนก็คงต้องทำทุกวิถีทางให้มีชีวิตรอดเช่นกัน ในประเด็นนี้ผู้เขียนได้จับเอามาเรื่องราวของการดิ้นร้นเพื่อแสวงหาความอยู่รอด มาผูกเรื่องเป็นประเด็นการนำเสนอได้อย่างแยบคายเป็นอย่างมาก ส่วนในประเด็นอื่นที่ผมอยากจะพูดถึงจากการได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น อาจจะเป็นประเด็นที่ผมแค่เห็นแล้วอาจจะคิดเอาเองก็เป็นได้ ดังนั้นต่อจากนี้ไปน่าจะเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมที่จินตนาการขึ้นหลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้นเองครับ (อย่าพยายามหาทางวกเข้าดราม่าอย่างเด็ดขาด : รู้สึกกลัวว่าจะมาม่า)
สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือประเด็นเรื่องความแตกต่างทางสังคม ซึ่งอันนี้ในเรื่องเห็นค่อนข้างชัดเจนเลย เนื่องจากจะเห็นว่ามีอยู่ 2 โลกเพื่อเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน โลกใบเดิมที่เลวร้ายเนื่องจากประชากรล้นโลก ทรัพยากรหมดสิ้นเหลือไว้เพียงซากปรักหักพักและเศษขยะ คนที่อยู่ก็มีแต่ความเสี่ยงว่าจะป่วยหรือพิการซึ่งดูแล้วโลกใบนี้ไม่น่าอยู่เลยสักนิด เปรียบเทียบกับโลกหรือดวงดาวใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น บนนั้นมีความงดงามเป็นอย่างมาก มีอากาศดีเพราะมีต้นไม้ มีสิ่งแวดล้อมที่ดีมากมาย คนที่อยู่ก็มีสุขภาพที่ดีจึงน่าอยู่และน่าพักอาศัยเป็นอย่างมาก ซึ่งเปรียบเทียบกันระหว่างโลกในความเป็นจริงกับโลกในจินตนาการ โดยที่ในอนาคตข้างหน้าโลกของเราอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ๆ ก็เป็นได้ครับ
คนที่จะสามารถขึ้นไปใช้ชิวิตอยู่บนเอลลิเซี่ยมที่ถือว่าเป็นโลกใบใหม่อันสวยงามได้นั้นต้องเป็นพวกคนรวย คนที่มีฐานะดีทางสังคม เศรษฐี ผู้ดี ไฮโซ รวมถึงนักการเมืองต่าง ๆ เท่านั้น แต่สำหรับคนจนผู้ไร้ค่าทางสังคมนั้นคงต้องอยู่บนโลกใบเน่า ๆ นี้เหมือนเดิม แต่เมื่อมองลึกลงไปอีกจะเห็นว่า ผู้ที่มีอำนาจคุมกฏเกณฑ์ต่าง ๆ บนโลกทั้ง 2 ใบนี้กลับกลายเป็นคนเพียงแค่กลุ่มเดียว ที่มักจะปิดกั้นและปิดโอกาสคนทั่วไปในสังคม เพียงแค่ต้องการเว้นที่ว่างไว้ให้สำหรับพวกพรรคของตนเองเท่านั้นเอง (ตรูไม่ได้ประชดใครนะ : รู้สึกกลัวมาม่าจังเลย)
อำนาจของผู้คุมกฎเมื่อแสดงออกมาในเชิงสัญลักษณ์แล้วก็คือ “กฎหมาย” แต่อำนาจของผู้คุมกฎในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับประยุกต์ออกมาในรูปของ “หุ่นยนต์” แทน หุ่นยนต์เป็นเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างขึ้น โลกในอนาคตหุ่นยนต์ถูกทำหน้าที่ให้เป็นกฎหมายในสังคม บนโลกมนุษย์มีหุ่นยนต์ตำรวจคอยควบคุมตรวจตราและทำร้ายมนุษย์ที่ทำผิดซึ่งไม่ใช่พวกเดียวกับเขา (พวกใครหว่า?) ส่วนบนเอลลิเซี่ยมกลับมีหุ่นยนต์ทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยปกป้องรวมทั้งคอยรับใช้ให้แก่คนที่เป็นพรรคพวกของตนเอง
โดยในเรื่องนี้มีฉากล้อเลียนที่ผมถือว่าเป็นตลกร้ายอยู่ 1 ฉากก็คือ ตอนที่แม็กซ์ผู้เป็นพระเอกต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ภาคทัณฑ์ที่เป็นหุ่นยนต์ พระเอกเถียงกับหุ่นยนต์อย่างไรพระเอกก็ผิดตลอด จนสุดท้ายหุ่นยนต์ถามพระเอกว่า “คุณต้องการคุยกับมนุษย์ไหม?” ซึ่งดูแล้วให้อารมณ์ที่แทงใจเป็นอย่างมาก คงเหมือนในปัจจุบันที่เราต้องโทรไปตามคอลเซ็นเตอร์เพื่อร้องเรียนเรื่องต่าง ๆ แล้วได้ยินเสียงอัตโนมัติบอกว่าให้เรากด 1 หรือกด 2 แล้วเสียงอัตโนมัติก็บอกต่อว่า ให้กด 1 หรือกด 2 ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายแล้วก็ได้ยินเสียงอัตโนมัติบอกเราว่า ...
“ให้กด 0 ถ้าท่านต้องการติดต่อกับโอเปอเรเตอร์”
เมื่อเราได้ยินเราก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งแล้วรีบกด 0 ในทันที แต่หลังจากที่กด 0 ไปแล้วก็มีแต่ความเงียบ แล้วสัญญาณการติดต่อต่าง ๆ ก็จะขาดหายตามไปด้วย ... เซ็งเลยอ่ะ (ตรูฝังใจอะไรเนี่ย? : รู้สึกเครียดแค้น)
เมื่อเกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้นขึ้นอย่างชัดเจน แน่นอนที่สุดมนุษย์ผู้ที่อยู่ในสังคมนั้น ๆ ก็คงต้องดิ้นร้นหาทางออกเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ในประเด็นนี้ถือว่าเป็นลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของมนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเรามักจะไปแก้ไขกันที่สาเหตุ โดยที่เราไม่พยายามที่จะไปแก้ไขที่ต้นเหตุเลย ซึ่งถ้าเรารู้จักคิดได้เราก็ควรจะรีบแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเสียแต่เนิ่น ๆ
ถ้าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทำไมเราไม่ทำให้มันน่าอยู่ล่ะครับ? เมื่อประชากรล้นโลก ทำไมเราไม่รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุดล่ะ? เมื่อมีความแตกต่างทางสังคมเกิดขึ้น ทำไมเราไม่แก้ไขความเลื่อมล้ำทางสังคมนั้นล่ะ?
ทุกคนต่างก็รู้แต่ทุกคนไม่ทำ ทุกคนรู้ก็เพราะว่าทุกคนมีสัญชาติญาณของความอยู่รอดติดตัวอยู่ แต่ที่ทุกคนไม่ทำก็เพราะต้องการเอาชีวิตรอดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งผมดูจบเรื่องแล้วก็มีความรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องเอลลิเซี่ยมนี้กำลังประชดพวกเราอยู่เหมือนกันครับ ในโลกแห่งความเป็นจริงของเราทุกวันนี้ทำไมไม่มีใครสักคนที่เป็นฮีโร่หรือผู้นำ ผู้ซึ่งจะยอมเสียสละเอาความอยู่รอดของตัวเอง (1 ชีวิต) มาแลกกับความอยู่รอดของคนในสังคม (มากมายหลายล้านชีวิต) บ้างล่ะครับ? แล้วเมื่อไหร่ในสังคมของเราจะมีคนแบบนี้เกิดขึ้นบางล่ะครับ? เอ .. หรือว่ามีแล้วหว่า ใครอ่ะ? (เปิดช่องให้เขาดราม่าจังนะ : รู้สึกสร้างกระแส)
สุดท้ายแล้วเมื่อได้รู้ว่าโลกในอนาคตเป็นอย่างไรแล้ว (ตามเนื้อเรื่องในหนังเรื่องนี้นะ) ผมก็ต้องใช้คำพูดของเกรียนออนไลน์ในเชิงประชดประชันที่ว่า ...
“โลกนี้อยู่ยากเนอะ”
เพราะว่าเราก็ไม่สามารถแสดงตนเป็นฮีโร่ ให้เหมือนกับแม็กซ์พระเอกในเรื่องได้ทุกคนหรอกครับ
+++++
ฝากกระทู้ก่อนหน้านี้ด้วยครับ
Runner Runner ... รีบวิ่งหนีไปซะ
http://ppantip.com/topic/31052790