Elysium … บนโลกแห่งความอยู่รอด

3  ตุลาคม 2556

ผมชักเริ่มจะติดใจแล้วครับ  วันนี้ผมเลยขออนุญาตตั้งกระทู้เกี่ยวกับภาพยนตร์ที่ได้ไปชมมาอีกสัก 1 เรื่อง  โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ผมได้พาคุณแม่ของผมไปชมมาด้วยครับ  ซึ่งเป็นหนังแนวแอคชั่นไซไฟที่พูดถึงโลกในอนาคต  แต่เรื่องราวที่ผมเขียนในกระทู้นี้อาจจะไม่ใช่บทวิจารณ์หนังนะครับ  อาจเป็นเพียงแค่บทความหัดเขียนที่ผมลองเขียนขึ้นหลังจากที่ได้ชมภาพยนตร์จบลง  แล้วก็อย่างที่บอกไว้ล่ะครับ  เมื่อเข้าไปดูหนังแล้วก็อยากจะให้ได้แง่คิดอะไรที่สะกิดใจบ้าง  ซึ่งเนื้อหาที่ผมเขียนอาจจะไม่มีสาระแต่ก็ได้ในเรื่องของการพัฒนาจินตนาการครับ  





ภาพยนตร์เรื่องเอลลิเซี่ยม (Eiysium) ที่ผมได้ไปชมมานี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกของเราในอนาคต  ประมาณปี ค.ศ.2154 ที่โลกของเราเสื่อมโทรมรกร้างเต็มไปด้วยขยะ  ประชากรล้นโลกมีปัญหาความวุ่นวายต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นจึงมีมนุษย์ผู้ที่มีอันจะกินกลุ่มหนึ่งหนีไปสร้างโลกขึ้นมาใหม่ในอวกาศ  โดยอยู่ไม่ไกลจากโลกของเรามากนัก  เมื่อเราอยู่บนโลกอันแสนจะสับสนวุ่นวายนี้เราก็สามารถมองเห็นโลกใหม่อันงดงามจากบนพื้นโลกที่เรายืนอยู่ได้  โลกหรือดาวดวงใหม่นี้มีชื่อว่า เอลลิเซี่ยม (Eiysium) ตรงตามชื่อเรื่องของภาพยนตร์เลยครับ

หนังเรื่องนี้จริง ๆ แล้วจะบอกว่าเป็นหนังแนวฮีโร่ก็ได้ เพราะว่าในเนื้อเรื่องมีตัวละครเด่นที่เป็นตัวเดินเรื่องอยู่เพียงคนเดียว  ซึ่งก็คือแม็กซ์ที่เป็นพระเอกของเรื่อง (พระเอก แสดงโดย แม็ท เดม่อน)  แล้วกล้องก็ติดตามถ่ายทอดชีวิตของพระเอกคนนี้โดยตลอดทั้งเรื่อง  โดยเรื่องราวเริ่มต้นจากการปูพื้นหลังของตัวละครเอกซึ่งก็คือแม็กซ์  ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้าที่เกิดขึ้นในมาโลกอนาคต  ในยุคซึ่งประชากรล้นโลกจึงต้องมีการแข่งขันแก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบและช่วงชิงสิ่งต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา  พระเอกของเราจึงต้องต่อสู้ชีวิตให้ผ่านความยากลำบากเพื่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้  โดยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เป็นเด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเติบโตขึ้นมาในบ้านเด็กกำพร้าด้วยกัน   ซึ่งทั้งคู่ฝันร่วมกันว่าสักวันหนึ่งเขาจะพาเธอขึ้นไปอยู่บน เอลลิเซี่ยม (Eiysium) ให้ได้

สาเหตุที่ใคร ๆ อยากจะขึ้นไปอยู่บนเอลลิเซี่ยมนั้นก็เป็นเพราะว่า  เอลลิเซี่ยมนั้นคือโลกหรือดวงดาวที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมาใหม่ โดยคนที่จะสามารถขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่บนเอลลิเซี่ยมนี้ได้ต้องเป็นคนที่ร่ารวยและมีฐานะดีเท่านั้น เพราะว่าเอลลิเซี่ยมถูกสร้างขึ้นมาให้ทุกชีวิตมีความสมบูรณ์และมีความเป็นอยู่ที่ดี  มีอากาศดีมีต้นไม้ในระบบนิเวศ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ดีทั้งหมด  เหมาะสมกับการอยู่อาศัยซึ่งต่างจากโลกเดิมในขณะนั้นอย่างสิ้นเชิง  และประการสำคัญที่สุดก็คือ  บนเอลลิเซี่ยมปลอดภัยจากสิ่งต่าง ๆ ที่จะมาทำร้ายมนุษย์  รวมทั้งมีเตียงแพทย์ประจำบ้านที่สามารถรักษาทุกคนให้หายจากทุกโรคไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเป็นโรคร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม  เตียงแพทย์นี้สามารถรักษาอาการให้กลายเป็นมนุษย์ปกติได้ในเวลาไม่กี่นาที  ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่มนุษย์บนโลกมีความต้องการเป็นอย่างยิ่ง  เพราะว่าบนโลกใบเดิมนั้นยังคงมีความเลวร้ายอยู่มากมาย  รวมทั้งมลภาวะเป็นพิษที่ทำให้มนุษย์อาจจะต้องเจ็บป่วยพิการหรือตายได้โดยตลอด

แม็กซ์ใช้ชิวิตอยู่บนโลกอย่างโดดเดี่ยวและไร้ซึ่งอนาคตที่ดี  เนื่องจากว่าเขาถูกเลี้ยงขึ้นมาด้วยระบบสังคมที่ฟอนเฟะบนความเสื่อมโทรม  เพื่อความอยู่รอดในชีวิตจึงทำให้เขามีคดีติดตัวอยู่มากมาย  กลายเป็นคนที่มีประวัติไม่ดีในสังคม  แต่แม็กซ์ก็ยังคงใช้ชิวิตอยู่บนโลกห่วย ๆ ใบนี้อย่างจำใจ  โดยเขาทำงานอยู่ในโรงงานผลิตหุ่นยนต์แห่งหนึ่ง  แล้ววันหนึ่งชีวิตของเขาก็ต้องพลิกผันเมื่อเขาประสบอุบัติเหตุในระหว่างการทำงาน  ทำให้ตัวเขาโดนกัมมันตภาพรังสีขั้นรุนแรงที่ทำให้เขาต้องตายภายใน 5 วัน  ซึ่งจุดนี้เองถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในเรื่อง  เมื่อแม็กซ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะขึ้นทางขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมให้ได้   เขาต้องใช้เวลาที่เหลือเพียงแค่ 5 วันเพื่อต่อสู้กับความตายที่กำลังจะมาถึง  ดังนั้นความเป็นฮีโร่ที่อ้างว่าเขามีดีอยู่ในตัวนั้นจึงต้องถูกนำออกมาใช้ด้วยความจำเป็น

แต่บนเอลลิเซี่ยมนั้นไม่ใช่ว่าจะให้คนอย่างแม็กซ์หรือว่ามนุษย์โลกคนอื่น ๆ ขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย  เพราะว่ามีระบบการป้องกันคนนอกซึ่งก็คือมนุษย์โลกไว้เป็นอย่างดี  โดยมีรัฐมนตรีบนดวงดาวเอลลิเซี่ยมคนหนึ่งที่ชื่อโรดส์ (ผู้ร้าย แสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์) เป็นผู้คุมกฎต่าง ๆ ทั้งหมด  เธอผู้เหี้ยมโหดและเด็ดขาดคนนี้เป็นศัตรูตัวฉกาจหมายเลข 1 ที่คอยขัดขวางไม่ให้แม็กซ์ขึ้นมาบนเอลลิเซี่ยมได้  ส่วนศัตรูอันดับที่ 2 ของแม็กซ์ก็คือเจ้าหน้าที่สายลับของเอลลิเซี่ยมซึ่งทำหน้าที่คอยขัดขวางไม่ใช่มนุษย์โลกคนต่าง ๆ ขึ้นไปยังเอลลิเซี่ยมได้  โดยตัวละครร้ายตัวนี้ในตอนท้ายได้กลายเป็นเสมือนกับอสูรร้ายที่มาต่อสู้ต่อกรกับฮีโร่ของเราโดยเฉพาะ  ตามสูตรของหนังแอคชั่นฮีโร่ของฮอลลีวูดอย่างแท้จริง  

(ซึ่งสุดท้ายแล้วแม็กซ์ พระเอกของเรื่องจะแสดงความเป็นฮีโร่และสามารถขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมได้หรือไม่นั้น ? เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องติดตามเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์เองครับ  ถ้าผมเล่าไปหมดก็คงจะกลายเป็นสปอยล์แน่ ๆ ครับ : รู้สึกไม่สอยล์)








สำหรับธีม (Theme) ของเรื่องนี้ก็คือเรื่องของความอยู่รอด  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ในกรณีต่าง ๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้  ภาพโดยรวมของเรื่องทำให้เห็นว่าเมื่อโลกเกิดความเสื่อมโทรมและเลวร้ายไม่น่าอยู่แล้ว  ทุกคนจึงพยายามหาหนทางที่จะขึ้นไปอยู่บนโลกแห่งใหม่ที่งดงามกว่าให้ได้  ซึ่งก็คือการหาทางขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมนั้นเอง  โดยวัตถุประสงค์หลักประการแรกของทุกคนที่ต้องการขึ้นไปบนเอลลิเซี่ยมนั้นคือการรักษาตัวเองให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เพื่อที่จะรอดพ้นจากความตายด้วยโรคร้ายนั้น ๆ   สำหรับตัวพระเอกซึ่งก็คือแม็กซ์  เมื่อเขารู้ว่ามีชิวิตอยู่ได้แค่ 5 วันก่อนที่เขาจะตาย  เขาจึงต้องหาทางเอาชีวิตรอดให้ได้ ส่วนเพื่อนสนิทของพระเอกก็ต้องการให้ลูกสาวของเธอรอดจากโรคลูคีเมียด้วยการขึ้นไปรักษาบนเอลลิเซี่ยมด้วยเช่นกัน

มีสำนวนไทยโบราณที่พูดเปรียบเทียบถึงการเอาชีวิตรอดไว้อย่างชัดเจนก็คือ “สู้เหมือนหมาจนตรอก” ซึ่งค่อนข้างเห็นภาพได้อย่างชัดเจนมาก  มนุษย์เราเมื่อเจอหนทางมืดมนก็คงต้องทำทุกวิถีทางให้มีชีวิตรอดเช่นกัน  ในประเด็นนี้ผู้เขียนได้จับเอามาเรื่องราวของการดิ้นร้นเพื่อแสวงหาความอยู่รอด  มาผูกเรื่องเป็นประเด็นการนำเสนอได้อย่างแยบคายเป็นอย่างมาก  ส่วนในประเด็นอื่นที่ผมอยากจะพูดถึงจากการได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น อาจจะเป็นประเด็นที่ผมแค่เห็นแล้วอาจจะคิดเอาเองก็เป็นได้  ดังนั้นต่อจากนี้ไปน่าจะเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมที่จินตนาการขึ้นหลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้นเองครับ (อย่าพยายามหาทางวกเข้าดราม่าอย่างเด็ดขาด : รู้สึกกลัวว่าจะมาม่า)

สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือประเด็นเรื่องความแตกต่างทางสังคม  ซึ่งอันนี้ในเรื่องเห็นค่อนข้างชัดเจนเลย  เนื่องจากจะเห็นว่ามีอยู่ 2 โลกเพื่อเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน  โลกใบเดิมที่เลวร้ายเนื่องจากประชากรล้นโลก  ทรัพยากรหมดสิ้นเหลือไว้เพียงซากปรักหักพักและเศษขยะ  คนที่อยู่ก็มีแต่ความเสี่ยงว่าจะป่วยหรือพิการซึ่งดูแล้วโลกใบนี้ไม่น่าอยู่เลยสักนิด  เปรียบเทียบกับโลกหรือดวงดาวใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้น  บนนั้นมีความงดงามเป็นอย่างมาก  มีอากาศดีเพราะมีต้นไม้  มีสิ่งแวดล้อมที่ดีมากมาย คนที่อยู่ก็มีสุขภาพที่ดีจึงน่าอยู่และน่าพักอาศัยเป็นอย่างมาก  ซึ่งเปรียบเทียบกันระหว่างโลกในความเป็นจริงกับโลกในจินตนาการ  โดยที่ในอนาคตข้างหน้าโลกของเราอาจจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ๆ ก็เป็นได้ครับ

คนที่จะสามารถขึ้นไปใช้ชิวิตอยู่บนเอลลิเซี่ยมที่ถือว่าเป็นโลกใบใหม่อันสวยงามได้นั้นต้องเป็นพวกคนรวย  คนที่มีฐานะดีทางสังคม เศรษฐี ผู้ดี ไฮโซ รวมถึงนักการเมืองต่าง ๆ เท่านั้น  แต่สำหรับคนจนผู้ไร้ค่าทางสังคมนั้นคงต้องอยู่บนโลกใบเน่า ๆ นี้เหมือนเดิม  แต่เมื่อมองลึกลงไปอีกจะเห็นว่า  ผู้ที่มีอำนาจคุมกฏเกณฑ์ต่าง ๆ บนโลกทั้ง 2 ใบนี้กลับกลายเป็นคนเพียงแค่กลุ่มเดียว  ที่มักจะปิดกั้นและปิดโอกาสคนทั่วไปในสังคม  เพียงแค่ต้องการเว้นที่ว่างไว้ให้สำหรับพวกพรรคของตนเองเท่านั้นเอง  (ตรูไม่ได้ประชดใครนะ : รู้สึกกลัวมาม่าจังเลย)

อำนาจของผู้คุมกฎเมื่อแสดงออกมาในเชิงสัญลักษณ์แล้วก็คือ “กฎหมาย”  แต่อำนาจของผู้คุมกฎในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับประยุกต์ออกมาในรูปของ “หุ่นยนต์” แทน  หุ่นยนต์เป็นเครื่องจักรที่มนุษย์สร้างขึ้น  โลกในอนาคตหุ่นยนต์ถูกทำหน้าที่ให้เป็นกฎหมายในสังคม  บนโลกมนุษย์มีหุ่นยนต์ตำรวจคอยควบคุมตรวจตราและทำร้ายมนุษย์ที่ทำผิดซึ่งไม่ใช่พวกเดียวกับเขา (พวกใครหว่า?)  ส่วนบนเอลลิเซี่ยมกลับมีหุ่นยนต์ทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยปกป้องรวมทั้งคอยรับใช้ให้แก่คนที่เป็นพรรคพวกของตนเอง  

โดยในเรื่องนี้มีฉากล้อเลียนที่ผมถือว่าเป็นตลกร้ายอยู่ 1 ฉากก็คือ  ตอนที่แม็กซ์ผู้เป็นพระเอกต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ภาคทัณฑ์ที่เป็นหุ่นยนต์  พระเอกเถียงกับหุ่นยนต์อย่างไรพระเอกก็ผิดตลอด  จนสุดท้ายหุ่นยนต์ถามพระเอกว่า “คุณต้องการคุยกับมนุษย์ไหม?”  ซึ่งดูแล้วให้อารมณ์ที่แทงใจเป็นอย่างมาก  คงเหมือนในปัจจุบันที่เราต้องโทรไปตามคอลเซ็นเตอร์เพื่อร้องเรียนเรื่องต่าง ๆ  แล้วได้ยินเสียงอัตโนมัติบอกว่าให้เรากด 1 หรือกด 2 แล้วเสียงอัตโนมัติก็บอกต่อว่า ให้กด 1 หรือกด 2 ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายแล้วก็ได้ยินเสียงอัตโนมัติบอกเราว่า ...

“ให้กด 0 ถ้าท่านต้องการติดต่อกับโอเปอเรเตอร์”  

เมื่อเราได้ยินเราก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งแล้วรีบกด 0 ในทันที  แต่หลังจากที่กด 0 ไปแล้วก็มีแต่ความเงียบ  แล้วสัญญาณการติดต่อต่าง ๆ ก็จะขาดหายตามไปด้วย ... เซ็งเลยอ่ะ  (ตรูฝังใจอะไรเนี่ย? : รู้สึกเครียดแค้น)

เมื่อเกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้นขึ้นอย่างชัดเจน  แน่นอนที่สุดมนุษย์ผู้ที่อยู่ในสังคมนั้น ๆ ก็คงต้องดิ้นร้นหาทางออกเพื่อความอยู่รอดของตนเอง  ในประเด็นนี้ถือว่าเป็นลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของมนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเรามักจะไปแก้ไขกันที่สาเหตุ  โดยที่เราไม่พยายามที่จะไปแก้ไขที่ต้นเหตุเลย  ซึ่งถ้าเรารู้จักคิดได้เราก็ควรจะรีบแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเสียแต่เนิ่น ๆ

ถ้าโลกนี้ไม่น่าอยู่ ทำไมเราไม่ทำให้มันน่าอยู่ล่ะครับ?  เมื่อประชากรล้นโลก ทำไมเราไม่รู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุดล่ะ?  เมื่อมีความแตกต่างทางสังคมเกิดขึ้น ทำไมเราไม่แก้ไขความเลื่อมล้ำทางสังคมนั้นล่ะ?  

ทุกคนต่างก็รู้แต่ทุกคนไม่ทำ  ทุกคนรู้ก็เพราะว่าทุกคนมีสัญชาติญาณของความอยู่รอดติดตัวอยู่  แต่ที่ทุกคนไม่ทำก็เพราะต้องการเอาชีวิตรอดแต่เพียงผู้เดียว  ซึ่งผมดูจบเรื่องแล้วก็มีความรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องเอลลิเซี่ยมนี้กำลังประชดพวกเราอยู่เหมือนกันครับ  ในโลกแห่งความเป็นจริงของเราทุกวันนี้ทำไมไม่มีใครสักคนที่เป็นฮีโร่หรือผู้นำ  ผู้ซึ่งจะยอมเสียสละเอาความอยู่รอดของตัวเอง (1 ชีวิต) มาแลกกับความอยู่รอดของคนในสังคม (มากมายหลายล้านชีวิต) บ้างล่ะครับ?  แล้วเมื่อไหร่ในสังคมของเราจะมีคนแบบนี้เกิดขึ้นบางล่ะครับ?  เอ .. หรือว่ามีแล้วหว่า  ใครอ่ะ?  (เปิดช่องให้เขาดราม่าจังนะ : รู้สึกสร้างกระแส)

สุดท้ายแล้วเมื่อได้รู้ว่าโลกในอนาคตเป็นอย่างไรแล้ว (ตามเนื้อเรื่องในหนังเรื่องนี้นะ) ผมก็ต้องใช้คำพูดของเกรียนออนไลน์ในเชิงประชดประชันที่ว่า ...

“โลกนี้อยู่ยากเนอะ”

เพราะว่าเราก็ไม่สามารถแสดงตนเป็นฮีโร่  ให้เหมือนกับแม็กซ์พระเอกในเรื่องได้ทุกคนหรอกครับ




+++++

ฝากกระทู้ก่อนหน้านี้ด้วยครับ

Runner Runner ... รีบวิ่งหนีไปซะ

http://ppantip.com/topic/31052790
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่