สปิริตที่หายไปของแมนยู และทัศนคติของมอยที่จะทำให้ผีแดงกลายเป็นแค่ทีมกลางตารางทั่วไปทีมนึง

ถือเป็นนัดเสียดายเวลานอนอีกนัดภายใต้การทำทีมของมอย ซึ่งผมรู้สึกว่ามันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่า
แมนยูภายใต้การทำทีมของมอย สูญเสียจิตวิญญาณในการพยายามเอาชนะไปแล้ว
แตกต่างกับแมนยูภายใต้การทำทีมของท่านเซอร์ ที่ไม่ว่าจะโดนนำ หรือเสมออยู่ยังไง
หากนกหวีดยังไม่หมดเวลา แฟนๆ ผีก็ยังเชื่อเสมอว่าจะยังตีเสมอได้ หรือจะยังพลิกชนะได้

แต่นัดนี้การตัดสินใจของมอยทำให้รู้ว่าจากนี้ แมนยูก็คงเป็นทีมกลางตารางทีมนึง
ที่เน้นผลการแข่งขันแบบประคองตัวไปเรื่อยๆ มากกว่าพยายามที่จะชนะ

จุดนี้ผมถือว่าทัศนคติแบบนี้ของมอยนี่แหละ ที่มีผลมากกว่าตัวผู้เล่นของทีมตัวเอง
ทีมฝ่ายตรงข้ามไม่เกี่ยวเลย จากนี้เราคงจะเห็นการจัดตัวไปอุดเวลาไปเยือนนอกบ้าน
เจอทีมเก่งครึ่งหลังพอรู้ว่าชนะไม่ได้ ก็ประคองเกมส์ให้เสมอ หรือไม่ก็แพ้ให้น้อยที่สุด นัดหน้าว่ากันใหม่
แล้วมันจะพลอยทำให้นักเตะไม่ฮึดที่จะเอาชนะ เนื่องจากผู้จัดการทีมก็ไม่ได้กระตุ้นอะไร


ทัศนคติแบบนี้ไม่ใช่การสู้ของแมนยูที่ผมเชียร์มาตั้งแต่ปี 1993 เลยแม้แต่น้อย
เพราะถ้าเป็นอย่างนี้แมนยูไม่มีวันชนะบาเยินร์ในปี 1999 แน่นอน
สิ่งเหล่านี้กำลังจะหายไปในยุคของมอย และนี่ต่างหากที่ผมเชื่อว่า
แฟนๆ ผีหลายคนผิดหวังกับการทำทีมของมอยมากกว่าผลการแข่งขัน

จะแพ้ หรือเริ่มต้นไม่ดี ไม่มีใครว่าหรอก หากมอยพยายามสู้ พยายามเปลี่ยนเกมส์
พยายามแก้เกมส์ให้เห็นว่าไม่ยอมแพ้ และต้องการที่จะชนะจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของการแข่งขัน
เพราะนั่นคือสปิริตของมีแมนยู ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่มาแข่งกับแมนยูต้องรู้สึกกลัว
ว่าถ้าประมาทนิดเดียว แมนยูพร้อมจะลงโทษได้ตลอดเวลา

... แต่นี่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้เห็นจากมอยเลยนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา ...


นัดนี้ก่อนจะได้ลูกแรก ก็โคดโชคดีเลยที่ไม่เสียจุดโทษทั้งๆ ที่เคฟเวอรี่เตะขาในเขตโทษเต็มๆ
โชคดีที่สองก็ลูกแรกที่กองหลังสกัดพลาด กลายเป็นตั้งบอลให้กับเวลเบคยิง
แต่สุดท้ายกรรมก็ตามสนอง โดนยิงคืนแบบเดียวกัน คือวิดิชสกัด
แล้วกลายเป็นตั้งบอลให้เค้ายิงแสกหน้าเสมอได้เหมือนกัน

จุดที่เซ็งคือพอยิงนำแล้ว กลายเป็นผ่อนเกมส์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตามที
แต่มอยมีหน้าที่กระตุ้นให้นักเตะบุกเอาประตูที่สองให้ได้ แล้วค่อยผ่อนเกมส์
แต่นี่นำลูกเดียวแล้วปล่อยให้เขาบุกอยู่นั่น

กระทั่งครึ่งหลังยิ่งแย่ไปใหญ่ ดูแล้วนึกว่าแข่งกับบาร์ซ่าอยู่ โดนขึงบุกอย่างเดียว
การแก้เกมส์หลังจากที่เห็นทีมโดนยำตลอดช่วงครึ่งหลังก็ไม่มีอะไร เปลี่ยนหัวฟู
ที่หลังจากโดนใบเหลืองก็ไม่กล้าเข้าบอลเสี่ยงๆ อีก แล้วเอากิกส์ลงมาแทน
ซึ่งตรงนี้ชัดเจนแล้วว่ามอยไม่ต้องการชนะ แต่ต้องการตัวเก๋ามาประคองเกมส์

... สุดท้ายก็สมควรแล้วที่โดนตีเสมอ ...

แต่หลังจากโดนตีเสมอก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงพูดง่ายๆ ว่าพอใจแล้วกับผลเสมอนอกบ้าน
กองกลางตัวรุกมีตั้งเยอะไม่เปลี่ยนลง ซึ่งถ้าเซอร์คุมทีมจะไม่เป็นอย่างนี้แน่ๆ
เราจะเห็นชิชาริโต้ลงมาในนาทีที่ 75 แล้วปรับกลางรับที่บทบาทน้อยที่สุดออก
ใส่คากาวะลงไปเร่งเกมรุกเอาประตูที่สองมาให้ได้

แต่นี่มอยเลือกจะจบเกมส์ตั้งแต่การเปลี่ยนกิกส์ลงไปซะแล้ว ซึ่งตรงนี้ผมเชียร์ให้โดนยิงเพิ่มด้วยซ้ำ
เพราะเล่นแบบนี้ไม่ควรได้แต้มกลับบ้านเลย แถมก่อนหมดเวลาหลังจากโดนยำเหมือนทีมกลางตาราง
เพิ่งได้ขึ้นเล่น UCL ยังไงยังงั้น ซึ่งถ้าดิ้นเปลี่ยนตัวรุกลงมาแลกหมัดสู้ แล้วแพ้จากการพยายามบุก
ผมเชื่อว่าแฟนผีรับได้ เพราะอย่างน้อยก็เป็นการแพ้ที่สปิริตทีมที่บุกจนวินาทีสุดท้ายยังอยู่


แต่ไอ้การกลัวแพ้ขึ้นสมอง อุดอย่างเดียว แถมช่วงทดเวลากลับส่งโจนส์ลงมารับแทนเวลเบคอีก

หมดเลยความเป็นแมนยู นี่มันทีมกลางตารางฟลุ๊คมาแข่ง UCL ชัดๆ
แบบนี้ถึงเข้ารอบสองไปก็ตกรอบอยู่ดี อย่าเข้ารอบเลยดีกว่า
เพราะมันไม่ใช่แมนยูแล้วกับการเปลี่ยนตัวแบบนี้  ช็อตนี้ช็อคความรู้สึกผมมากๆ

หวังว่ากระแสของแฟนบอลจะทำให้มอยเปลี่ยนทัศนคติซะที เพราะแมนยูไม่ใช่เอฟเวอร์ตัน
ที่เล่นเน้นเอาแค่แต้มเดียว หรือประคองเกมส์ให้รอดไปนัดต่อนัด แต่ทีมนี้ที่มีแฟนบอลอยู่ทั่วโลก
มากระดับต้นๆ นั่นก็เพราะสปิริตที่ไม่มีวันพอใจกับผลแพ้หรือเสมอ
ตราบที่นกหวีตยังไม่หมดเวลาต่างหากที่ทำให้คนตามเชียร์มากขนาดนี้

ทัศนคติแบบนี้มันไม่ใช่แมนยูแน่นอน หากคุมทีมแบบนี้อยู่ ผมว่าอนาคตมอยไม่ยาวแน่
และจะส่งผลโดยตรงกับสปิริตของลูกทีม ความกระหายในชัยชนะจะหมดไป
และกลายเป็นทีมกลางตาราง ลุ้นพื้นท่ีบอลยุโรปแบบหืดจับ

ท่านเซอร์เลือกมาก็เถอะ แต่ผมว่าถ้าเป็นอย่างนี้ท่านเลือกผิดแล้วล่ะ !!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่