ถ้าเรื่องจริง ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ใช่เครื่องนับว่าเป็นคนดี



ที่มา..  [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เป็นสื่อเดียวที่กล้าตีข่าว เพราะอะไร หลายสื่อไม่กล้าวิจารย์พระ...

'เสี่ยอู๊ด'เผยปปง.ไม่ได้อายัดเงินแม้แต่ตางค์แดงเดียว
ปปง.อายัดเงินสมเด็จวัดสุทัศน์ฯแต่...ไม่ได้อายัด'เสี่ยอู๊ด'! : เรื่องไตรเทพ ไกรงู ภาพ กุลพันธ์ ศิริพิมพ์อัมพร

              เมื่อวันที่ ๒๐ ก.ย. ๒๕๕๖ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ ๑๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ ก.ย.เพิ่มเติม ๓ คดี ว่าที่ประชุมมีมติให้อายัดทรัพย์ของนายสิทธิกร บุญฉิม หรือเสี่ยอู๊ด ประกอบด้วย เงินฝาก จำนวน ๔ บัญชี รวมมูลค่ากว่า ๒๓ ล้านบาท จากความผิดในคดีฉ้อโกงประชาชนในการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน

              ทันทีที่เสี่ยอู๊ดทราบข่าว เขาได้โพสต์ข้อความผ่าน “facebook.com เสี่ยอู๊ด หรือคุณสิทธิกร บุญฉิม”  ว่า "แท้จริงมิใช่เป็นการอายัดบัญชีชื่อของเสี่ยอู๊ด แต่เป็นการอายัดเงินในบัญชี ๔ ธนาคาร ชื่อของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (พระวิสุธาธิบดี) เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งท่านเป็นผู้ลงนามสั่งการให้ผม "เสี่ยอู๊ด" สร้างพระสมเด็จเหนือหัวจากดอกไม้พระราชทานเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์แทนมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พอเกิดเป็นคดีท่านกลับให้การซัดทอดจนผมต้องติดคุก ๕ ปี แต่เรื่องเงินที่จำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัวท่านยังเก็บฝากไว้ในบัญชีของท่าน จน ปปง.เพิ่งอายัดล่าสุด แต่วงการสื่อกลับไม่มีนักข่าวคนใดกล้าเปิดเผยความจริง"

              ปฐมบทการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวเริ่มจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบาทสมเด็จพระอัฏฐมรามาธิบดินทร์รัชกาลที่ ๘ ได้มีมติข้อ ๖.๓ เรื่องการสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ มีบันทึกในรายงานการประชุมฉบับจริงที่ถูกจัดเก็บไว้ที่สำนักงานเขตพระนครว่า

              “ประธาน (สมเด็จวัดสุทัศน์) แจ้งว่าในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระอัฏฐมรามาธิบดินทร์ (ร.๘) เสด็จสวรรคตครบ ๖๐ ปี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี เห็นสมควรให้มูลนิธิจัดโครงการก่อสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ขึ้น ณ วัดโสดาประดิษฐาราม คาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า ๑๐๐ ล้านบาท โดยจะสร้างพระสมเด็จมอบให้ผู้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ ส่วนการดำเนินงาน ประธานรับว่าจะหาผู้มีประสบการณ์และชำนาญการในเรื่องนี้มาดำเนินงานแทนมูลนิธิทั้งสิ้น”

              จากนั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ลงนามในเอกสารขอความอนุเคราะห์ถึงเสี่ยอู๊ด ให้เป็นผู้ดำเนินการออกทุนทรัพย์จัดสร้างและโฆษณาโครงการพระสมเด็จเหนือหัวแทนมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ โดยข้อความในเอกสารของสมเด็จฯ วัดสุทัศน์ ระบุแจ้งเสี่ยอู๊ดว่า “พระสมเด็จเหนือหัวจัดสร้างจากดอกไม้พระราชทานเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี” พร้อมทั้งมีเอกสารถึงราชเลขาธิการ

              เรื่องขอพระบรมราชานุญาตใช้สถานที่จัดพุทธาภิเษกพระสมเด็จเหนือหัวในเอกสารได้ระบุแจ้งเรื่องการสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ของมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ โดยการสร้างพระสมเด็จเหนือหัวจากดอกไม้พระราชทานเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ และแจ้งการให้ความหมายนามพระสมเด็จเหนือหัวเพื่อให้พุทธศาสนิกชนร่วมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การนั้นสำนักราชเลขาธิการได้ลงรับเอกสารของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ไว้เลขที่ ๑๔๕๑๐ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เวลา ๑๕.๔๔ น
  

              เมื่อการจัดสร้างแล้วเสร็จสมเด็จฯ วัดสุทัศน์ ได้สั่งให้นำองค์พระออกจำหน่ายแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ๑.ส่วนที่จำหน่ายผ่านธนาคาร ๔ แห่ง ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้มีเอกสารขอความร่วมมือจากธนาคาร หลังจำหน่ายแล้วให้โอนเงินเข้าบัญชีพระวิสุทธาธิบดี หรือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ในปัจจุบันเพียงผู้เดียว เพื่อนำไปก่อสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ ส่วนที่ ๒.อนุญาตให้จัดจำหน่าย ณ ร้านทองและไปรษณีย์ทั่วประเทศ สมเด็จฯ วัดสุทัศน์ ได้สั่งการให้นำเงินไปหักเป็นค่าใช้จ่ายที่เสี่ยอู๊ดออกแทนมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ได้ คดีนี้ต่อมาเกิดเรื่องทำให้เสี่ยอู๊ดต้องติดคุก ๕ ปี ตามคำพิพากษาระบุไว้ว่า "เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ให้การว่ามิได้สั่งให้นายสิทธิกรนำดอกไม้พระราชทานไปจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัว"

              ในคดีพระสมเด็จเหนือหัว กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ขออายัดเงินจากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัวทั้ง ๒ ส่วนไว้ ต่อมาสำนักอัยการสูงสุดโดยนายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษได้ลงนามปลดอายัดเงินจากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัวทั้งหมด โดยในเอกสารดังกล่าวมีข้อความสำคัญตอนหนึ่งระบุว่า “เงินจากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัว มิใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด และมิใช่ทรัพย์ที่มีไว้ใช้เพื่อกระทำความผิด”

              ทั้งนี้ เสี่ยอู๊ดทราบข่าวเป็นการภายในว่าในครั้งนั้น ปปง. มิได้คัดค้านการปลดอายัดเงินทั้ง ๒ ส่วน โดยดีเอสไอ ได้มอบเงินจากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัวคืนให้เสี่ยอู๊ด และส่วนหนึ่งให้ไปรษณีย์ไทยไป ภายหลังทราบว่าศาลแพ่งมีคำสั่งให้บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้เงินจากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัวแล้วเช่นกัน



              เสี่ยอู๊ดบอกว่า เงินทั้ง ๔ บัญชีธนาคารจากการจำหน่ายพระสมเด็จเหนือหัว เป็นชื่อบัญชีของพระวิสุทธาธิบดี หรือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อ ปปง. อายัดไว้เพื่อตรวจสอบ ๙๐ วัน ก็พึงเป็นหน้าที่ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จะเป็นผู้ไปชี้แจง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง และตนเองไม่มีหน้าที่ไปชี้แจง หากพ้น ๙๐ วันแล้ว ปปง. จะยึดก็เป็นหน้าที่ของ ปปง. หากไม่ยึดตนก็ขอร้องให้สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นำเงินนี้ไปสร้างอุโบสถให้แล้วเสร็จ หากท่านไม่สร้างอุโบสถก็ขอให้นำเงินมาช่วยตนชำระหนี้การสร้างพระสมเด็จเหนือหัวที่ต้องแบกรับภาระอยู่คนเดียวกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ด้วย

เจ้าทุกข์ไม่ขอเงินคืนแต่เงินไปไหนหมด

              คำพิพากษาคดีการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๓ ระบุมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า “การที่จำเลยโฆษณาว่าสร้างพระสมเด็จเหนือหัวเป็นการสร้างในนามมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และจะนำรายได้จากการจำหน่ายไปก่อสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ตามที่จำเลยเข้าใจ จึงมิใช่เป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ”

              นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาหนึ่งที่น่าสนใจ คือ คำพิพากษาได้ระบุให้ใช้หนี้แก่ผู้เสียหายจำนวน ๙๒๑ คน ตามจำนวนที่ผู้เสี่ยหายแต่ละคนเช่าบูชาพระสมเด็จเหนือหัวรวมเป็นเงินไม่เกิน ๔,๐๕๕,๙๑๖ บาท ซึ่งตลอดระยะเวลา ๕ ปี ที่เสี่ยอู๊ดอยู่ในคุก ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหาย ๙๒๑ คน จะนำพระสมเด็จเหนือหัวมาขอรับเงินคืนแม้กระทั่งรายเดียว


              เมื่อถามว่า "เงินและพระสมเด็จเหนือหัวไปไหนหมด?" เสี่ยอู๊ด ตอบว่า รายได้จากการจัดจำหน่ายผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย และร้านทอง รายได้ส่วนนี้เป็นต้นทุนในการจัดสร้างทั้งหมด ตอนที่อยู่ในคุกได้ฆ่าตัวตาย ก่อนนั้นจึงวางแผนนำเงินที่เหลือไปบริจาคทำบุญทั้งหมด เช่น สร้างโบสถ์และพระประธานวัดสมบูรณาราม อ.บ้านฉาง จ.ระยอง มอบทุนการศึกษาให้เยาวชนที่เรียนดีแต่ยากจน จากทุกอำเภอใน จ.ระยอง มอบราวัลให้พยาบาลดีเด่นในโรงพยาบาลมะเร็ง สร้างอาคารเรียน ห้องคอมพิวเตอร์ให้โรงเรียนวัดสุวรรณรังสรรค์ จ.ระยอง จัดสร้างพระกริ่งมอบให้ตำรวจทุกนายใน ๓ จังหวัดภาคใต้ และสร้างพระกริ่งมูลค่า ๑๓๕ ล้านบาท ถวายหนใต้ระดมทุนช่วยเหลือวัดต่างๆ สร้างหลวงพ่อทวดให้วัดช้าง ๓๐ ล้านบาท รวมทั้งมอบเป็นทุนการศึกษาแก่นิสิตนักศึกษา ๕๗ คน เป็นต้น

              พระสมเด็จเหนือหัวที่เหลือทั้งหมดได้สั่งการออกจากคุกให้ส่งไปถวายวัดต่างๆ และมอบให้องค์กรการกุศลทั่วประเทศประมาณกว่า ๒๕,๐๐๐ แห่ง โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลมะเร็งลพบุรีได้รับมอบมากที่สุด และได้สั่งการออกจากคุกให้นำไปบรรจุไว้ใต้ฐานพระประธานที่ตนเองเคยจัดสร้างไว้ตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งมอบเป็นที่ระลึกให้ผู้ที่นับถือ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่