เรื่องของเรื่องคือ เมื่อสองสามวันก่อน แม่บอกเราว่ามีญาติจะไปเข้าค่ายสมาธิสวนโมกข์ ประมาณ10วัน สนใจจะไปมั้ย
น้องชายเราก็จะไปด้วย ปกติเราไม่ใช่คนเข้าวัดเข้าวานั่งสมาธิอะไรอยู่แล้ว (ที่จริงทั้งบ้านก็น้อยครั้งมากที่จะเข้าวัด ปีละครั้งสองครั้งได้)
เราเลยปฎิเสธแม่ไป
ทีนี้วันต่อมา พ่อเราก็โทรมาเรื่องนี้อีก อยากให้เราไปลอง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดว่ามันดีนะ
มันเป็นประสบการณ์ นานๆทีจะมีญาติไป ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปต้องรอไปอีกห้าปีนะ จะชวนเพื่อนไปก็ได้
หว่านล้อมเรานานมาก เกือบสี่สิบนาทีได้ ซึ่งแรกๆเราก็บอกไปว่า คงไม่อ่ะ
จนกลายเป็นบอกไปเลยว่า ไม่ไป แต่พ่อก็ไม่หยุดชวนจนเราเหนื่อยเลยบอกพ่อว่า ขอคิดดูก่อน พ่อถึงยอมวางสาย
คือ เราไม่ชอบกิจกรรมแนวนี้จริงๆอ่ะ ไม่อยากไปจริงๆ
และทีนี้ เมื่อกี้ แม่ก็โทรมาอีก ถามว่าจะไปมั้ย ค่ายมันแบ่งเป็นค่ายผู้ใหญ่กับค่ายเด็ก
ญาติเราต้องไปอยู่ค่ายผู้ใหญ่แยกกับน้องชายเราที่ต้องไปอยู่ค่ายเด็ก ค่ายเด็กแค่3วันเอง
น้องสาวเราก็จะไปด้วย ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อย
ประเด็นคือเราไม่อยากไปไง จะสิบวัน สามวัน สองชั่วโมง ยังไงก็ไม่อยากไป
เราก็เลยอ้างไปด้วยว่าจะเตรียมสอบTOEIC เอาไว้ยื่นตอนฝึกงาน(สอบจริงๆนะคะ)
แม่เราก็ยังยืนยันว่าไปเป็นเพื่อนน้องหน่อย
เราเลยบอกว่าก็มีน้องชายไปเป็นเพื่อนน้องสาวไง แม่ก็บอกว่ามันไม่เหมือนกัน
เราก็พอเข้าใจนะ แต่เราก็ปฎิเสธแม่ไปอีกที เพราะไม่อยากไปจริงๆ จะว่าเราปิดใจหรืออะไรก็ได้
กิจกรรมแนวนี้ไม่เคยแว่บมาให้หัวเราเลย เราเริ่มอารมณ์เสียแล้วเพราะโดนถามเรื่องนี้มาติดๆกันทั้งที่ก็บอกแล้วว่าไม่ไปๆๆ
เราก็บอกแม่ว่า เราไม่ได้นับถือศาสนาพุทธด้วยซ้ำ (ซึ่งเราไม่ได้นับถือพุทธจริงๆ จะว่าเป็นAtheistก็ไม่เชิง
คือเราไม่ได้นับถือศาสนาใดเป็นหลัก แต่ก็เคารพทุกศาสนามา ไม่ต่อต้านไม่ทำอะไรหัวรุนแรง คำสอนของศาสนาไหนถูกใจเราก็เก็บมาใช้)
แม่เราขึ้นเลยค่ะ พูดมาได้ยังไง ไม่นับถือศาสนาอะไรแล้วก็ไม่เคยนับถือใครด้วยใช่มั้ย
แล้วก็วางสายไป เราก็งง เฮ่ย แค่นี้มันเรืองใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ
เราพยายามโทรกลับแม่ก็ไม่รับ เราเลยโทรหาพ่อ บอกว่าทำไมต้องถามเซ้าซี้
บอกแล้วว่าไม่ไปๆ ถามตั้งสามรอบ พ่อก็บอกว่ามันต่างกัน
รอบแรก ญาติฝากแม่ชวน
รอบสอง พ่อรู้ข่าวจากแม่ เลยชวนอีก
รอบสาม มันมีค่ายเด็กแบบสามวัน เลยชวนอีก
คือ สำหรับเรา เราตอบไปชัดเจนมากว่าไม่ไป เราคิดว่าทั้งสามครั้ง คือการชวนไปสวนโมกข์เหมือนกัน
แต่พ่อเรามองว่าไม่เหมือน บอกว่าทำไมเราไม่รู้จักแยกแยะ แต่ละครั้งที่ชวนไป มันต่างกรรมต่างวาระ
แล้วพ่อก็บอกว่า จะพูดไปทำไมเรื่องไม่นับถือศาสนาพุทธ เรื่องแบบนี้เอาไว้พูดกับเพื่อน
เราก็บอก ก็มันเรื่องจริงนี่ แล้วพ่อก็บอกค่ายเด็กแค่สามวัน
นึกว่าเราไม่อยากไปนานๆสิบวัน เผื่อมีแบบสามวันแล้วจะอยากไป
เราอยากไปเป็นเพื่อนน้องนะ แต่แบบ สามวัน กับการนั่งสมาธิ เราไม่ชอบจริงๆอ่ะ
อีกอย่างเราอายุตั้ง20 เค้าคงไม่ให้ไปอยู่ในค่ายเด็กหรอก เราก็บอกพ่อไปแบบนี้
พ่อบอกว่าเราไม่ยอมทำอะไรที่ไม่ชอบ เอาแต่เรื่องบันเทิงๆ ถ้าให้ดูหนังกับน้องก็คงไป
ถ้าให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนน้องก็คงไป แต่พอเป็นเรื่องที่ไม่อยากทำก็ไม่ยอม
เราก็แบบคิดในใจ นี่มันค่ายนั่งสมาธิ ถ้าเราไปแบบไม่เต็มใจไปนั่งหน้าหงิกเป็นตูดเค้าไม่ไล่ออกจากค่ายเรอะ?
คือถ้าเป็นเรื่องอื่นเราไม่ว่าเลย เราทำได้เราทำให้ แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เราไม่เอาจริงๆอ่ะ
อาจจะเป็นเพราะคุยทางโทรศัพท์ทำให้เข้าใจกันยาก ยิ่งคุยยิ่งยุ่ง ยิ่งคุยยิ่งแย่
คุยนานมากจนเราเหนื่อยแล้วบอกขอโทษพ่อไป จะได้จบ
พ่อก็รู้แหละแล้วบอกให้เราไปปรับความคิดและวิธีพูด เรื่องวิธีพูด เรายอมรับ เวลาอารมณ์เสียเราพูดค่อนข้างแรง
เราพยายามจะโทรเคลียร์กับแม่ แต่แม่ไม่รับสาย เราเลยใช้เบอร์อื่นโทรไป แม่ก็รับ
บอกเราเห็นแก่ตัว ที่ไม่ไปเป็นเพื่อนน้อง เราก็ยกเรื่องที่น้องชายก็ไปอยู่แล้ว(น้องชายน้องสาวเป็นฝาแฝดค่ะ อายุเท่ากัน)
เราก็บอกแม่อีกว่าเราไม่อยากไปจริงๆ แล้วแม่เราก็บอกเรื่องที่เราไม่นับถือพุทธมาต่อว่าแล้วนี่ไม่นับถืออะไรเลยใช่มั้ย
เราไม่อยากให้เรื่องบานปลายเลยบอกอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย
แต่แม่ก็บอกทำไมจะไม่พูดล่ะ เราเป็นคนพูดออกมาจากปากเองนี่
เราเลยเริ่มขึ้นบ้าง เลยบอกก็กำลังดูๆศาสนาคริสต์กับอิสลามไว้อยู่
แม่ก็บอกจะนับถือศาสนาอะไรก็เชิญ แม่ไม่อยากยุ่ง
เราก็บอกว่า เราไม่เข้าใจ แค่เรื่องนับถืออะไรทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่เราคนเดียวนะ เพื่อนเราก็เป็น
แม่เราก็บอกว่าเรา อวดเก่ง อยากทำตัวแตกต่าง
ลามไปถึงเรื่องเรากะจะไม่ไปพิธีรับปริญญา(เรื่องนี้เคยคุยเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว เราบอกว่าเราไม่อยากไป
เพราะเราไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ ไม่ชอบแต่งหน้าหนาๆ รอนาน ร้อน แต่งชุดครุยถ่ายรูปเราคงทำ แต่ไม่ไปวันจริง
กะจะให้มหาลัยส่งมาให้ทางไปรษณีย์ ซึ่งตอนคุยเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร )
แม่บอกถ้าจะทำตัวแตกต่างก็เก่งให้ได้เหมือนเพื่อนจริงๆเถอะ
ชอบคิดว่าเอาตัวเองรอด โดยไม่ต้องพึ่งใคร ถ้าไม่เก่งจริง ก็ทำตามคนส่วนใหญ่เขาไปเถอะ
เราก็งงว่าทำไม ทำไมต้องทำอะไรทุกอย่างตามที่ทำคนทำกันมา
ทำไมต้องนับถือพุทธเพราะที่บ้านนับถือต่อกันมา (บ้านเราไม่เข้าวัด แต่เวลารวมญาติกันที
พวกญาติผู้ใหญ่ก็มักจะตระเวนทำบุญกัน ซึ่งเราก็ไปด้วย ไม่ได้อะไร ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรด้วย)
ทำไมต้องไปรับปริญญาทั้งที่สำหรับเรา จะส่งไปรษณีย์มาให้ก็ได้ ก็เป็นใบปริญญาเหมือนกัน
แม่บอกเราเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ จะมาทำตัวแตกต่างเหมือนเพื่อน เพื่อนก็น้อย ว่าเราแคบ
บอกว่าเราไม่ใช่พวกเฟรนด์ลี่ไปทำความรู้จักใครก่อน บอกว่าเราไม่รู้จักสนใจความรู้สึกคนรอบข้าง
เราเริ่มเพลียแล้ว เลยถามว่าน้องสาวจะไปจริงๆเหรอ แม่บอกมันเลยจุดนั้นมาแล้ว ไม่ต้องไปแล้ว แล้วก็วางสาย
เราอึ้งมากที่บอกว่าเราเป็นคนไม่แคร์ความรู้สึกคนรอบข้าง ซึ่งเราก็แบบ ปกติเราไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายเลย อ่านนิยาย ดูหนัง ไม่เคยร้องเลย
แต่เรื่องที่เราร้องไห้บ่อยที่สุด ก็เรื่องครอบครัวนี่แหละ
เราเหมือนมีเรื่องกระทบกระทั่งกับพ่อแม่อยู่เรื่อยๆ ทุกสองสามเดือน เราร้องไห้ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
คุยกับพ่อก็ร้อง คุยกับแม่ก็ร้อง ทั้งเสียใจทั้งโกรธ เรายอมรับอย่างหนึ่งเรื่องที่เราพูดแรง
แต่เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องบังคับให้ไป
ถึงพ่อจะบอกว่าไม่ได้บังคับ แต่คือ เรารู้สึกถ้าไม่บังคับพอเราบอกว่าไม่ไป มันน่าจะจบตั้งแต่แรกแล้ว
นี่ยังมีรอบสองรอบสามตามมาอีก เราไม่เข้าใจเลย เหมือนจะมาถามความสมัครใจ
แต่ดูจะไม่ยอมรับคำปฎิเสธ จะพูดจนกว่าเราจะบอกว่าไป
เราจะทำยังไงดี? เราเบื่อที่จะทะเลาะกับเค้าแล้ว ทั้งเครียดทั้งเหนื่อย คุยทีไรก็รู้สึกแย่ทุกที
ขออนุญาตแท็กห้องศาสนานะคะ เพราะมีเรื่องศาสนามาเอี่ยวด้วยนิดหน่อย
ทะเลาะกับพ่อแม่อีกแล้ว เราเป็นคนที่แย่ขนาดนั้น?
น้องชายเราก็จะไปด้วย ปกติเราไม่ใช่คนเข้าวัดเข้าวานั่งสมาธิอะไรอยู่แล้ว (ที่จริงทั้งบ้านก็น้อยครั้งมากที่จะเข้าวัด ปีละครั้งสองครั้งได้)
เราเลยปฎิเสธแม่ไป
ทีนี้วันต่อมา พ่อเราก็โทรมาเรื่องนี้อีก อยากให้เราไปลอง ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดว่ามันดีนะ
มันเป็นประสบการณ์ นานๆทีจะมีญาติไป ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปต้องรอไปอีกห้าปีนะ จะชวนเพื่อนไปก็ได้
หว่านล้อมเรานานมาก เกือบสี่สิบนาทีได้ ซึ่งแรกๆเราก็บอกไปว่า คงไม่อ่ะ
จนกลายเป็นบอกไปเลยว่า ไม่ไป แต่พ่อก็ไม่หยุดชวนจนเราเหนื่อยเลยบอกพ่อว่า ขอคิดดูก่อน พ่อถึงยอมวางสาย
คือ เราไม่ชอบกิจกรรมแนวนี้จริงๆอ่ะ ไม่อยากไปจริงๆ
และทีนี้ เมื่อกี้ แม่ก็โทรมาอีก ถามว่าจะไปมั้ย ค่ายมันแบ่งเป็นค่ายผู้ใหญ่กับค่ายเด็ก
ญาติเราต้องไปอยู่ค่ายผู้ใหญ่แยกกับน้องชายเราที่ต้องไปอยู่ค่ายเด็ก ค่ายเด็กแค่3วันเอง
น้องสาวเราก็จะไปด้วย ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อย
ประเด็นคือเราไม่อยากไปไง จะสิบวัน สามวัน สองชั่วโมง ยังไงก็ไม่อยากไป
เราก็เลยอ้างไปด้วยว่าจะเตรียมสอบTOEIC เอาไว้ยื่นตอนฝึกงาน(สอบจริงๆนะคะ)
แม่เราก็ยังยืนยันว่าไปเป็นเพื่อนน้องหน่อย
เราเลยบอกว่าก็มีน้องชายไปเป็นเพื่อนน้องสาวไง แม่ก็บอกว่ามันไม่เหมือนกัน
เราก็พอเข้าใจนะ แต่เราก็ปฎิเสธแม่ไปอีกที เพราะไม่อยากไปจริงๆ จะว่าเราปิดใจหรืออะไรก็ได้
กิจกรรมแนวนี้ไม่เคยแว่บมาให้หัวเราเลย เราเริ่มอารมณ์เสียแล้วเพราะโดนถามเรื่องนี้มาติดๆกันทั้งที่ก็บอกแล้วว่าไม่ไปๆๆ
เราก็บอกแม่ว่า เราไม่ได้นับถือศาสนาพุทธด้วยซ้ำ (ซึ่งเราไม่ได้นับถือพุทธจริงๆ จะว่าเป็นAtheistก็ไม่เชิง
คือเราไม่ได้นับถือศาสนาใดเป็นหลัก แต่ก็เคารพทุกศาสนามา ไม่ต่อต้านไม่ทำอะไรหัวรุนแรง คำสอนของศาสนาไหนถูกใจเราก็เก็บมาใช้)
แม่เราขึ้นเลยค่ะ พูดมาได้ยังไง ไม่นับถือศาสนาอะไรแล้วก็ไม่เคยนับถือใครด้วยใช่มั้ย
แล้วก็วางสายไป เราก็งง เฮ่ย แค่นี้มันเรืองใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ
เราพยายามโทรกลับแม่ก็ไม่รับ เราเลยโทรหาพ่อ บอกว่าทำไมต้องถามเซ้าซี้
บอกแล้วว่าไม่ไปๆ ถามตั้งสามรอบ พ่อก็บอกว่ามันต่างกัน
รอบแรก ญาติฝากแม่ชวน
รอบสอง พ่อรู้ข่าวจากแม่ เลยชวนอีก
รอบสาม มันมีค่ายเด็กแบบสามวัน เลยชวนอีก
คือ สำหรับเรา เราตอบไปชัดเจนมากว่าไม่ไป เราคิดว่าทั้งสามครั้ง คือการชวนไปสวนโมกข์เหมือนกัน
แต่พ่อเรามองว่าไม่เหมือน บอกว่าทำไมเราไม่รู้จักแยกแยะ แต่ละครั้งที่ชวนไป มันต่างกรรมต่างวาระ
แล้วพ่อก็บอกว่า จะพูดไปทำไมเรื่องไม่นับถือศาสนาพุทธ เรื่องแบบนี้เอาไว้พูดกับเพื่อน
เราก็บอก ก็มันเรื่องจริงนี่ แล้วพ่อก็บอกค่ายเด็กแค่สามวัน
นึกว่าเราไม่อยากไปนานๆสิบวัน เผื่อมีแบบสามวันแล้วจะอยากไป
เราอยากไปเป็นเพื่อนน้องนะ แต่แบบ สามวัน กับการนั่งสมาธิ เราไม่ชอบจริงๆอ่ะ
อีกอย่างเราอายุตั้ง20 เค้าคงไม่ให้ไปอยู่ในค่ายเด็กหรอก เราก็บอกพ่อไปแบบนี้
พ่อบอกว่าเราไม่ยอมทำอะไรที่ไม่ชอบ เอาแต่เรื่องบันเทิงๆ ถ้าให้ดูหนังกับน้องก็คงไป
ถ้าให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนน้องก็คงไป แต่พอเป็นเรื่องที่ไม่อยากทำก็ไม่ยอม
เราก็แบบคิดในใจ นี่มันค่ายนั่งสมาธิ ถ้าเราไปแบบไม่เต็มใจไปนั่งหน้าหงิกเป็นตูดเค้าไม่ไล่ออกจากค่ายเรอะ?
คือถ้าเป็นเรื่องอื่นเราไม่ว่าเลย เราทำได้เราทำให้ แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เราไม่เอาจริงๆอ่ะ
อาจจะเป็นเพราะคุยทางโทรศัพท์ทำให้เข้าใจกันยาก ยิ่งคุยยิ่งยุ่ง ยิ่งคุยยิ่งแย่
คุยนานมากจนเราเหนื่อยแล้วบอกขอโทษพ่อไป จะได้จบ
พ่อก็รู้แหละแล้วบอกให้เราไปปรับความคิดและวิธีพูด เรื่องวิธีพูด เรายอมรับ เวลาอารมณ์เสียเราพูดค่อนข้างแรง
เราพยายามจะโทรเคลียร์กับแม่ แต่แม่ไม่รับสาย เราเลยใช้เบอร์อื่นโทรไป แม่ก็รับ
บอกเราเห็นแก่ตัว ที่ไม่ไปเป็นเพื่อนน้อง เราก็ยกเรื่องที่น้องชายก็ไปอยู่แล้ว(น้องชายน้องสาวเป็นฝาแฝดค่ะ อายุเท่ากัน)
เราก็บอกแม่อีกว่าเราไม่อยากไปจริงๆ แล้วแม่เราก็บอกเรื่องที่เราไม่นับถือพุทธมาต่อว่าแล้วนี่ไม่นับถืออะไรเลยใช่มั้ย
เราไม่อยากให้เรื่องบานปลายเลยบอกอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย
แต่แม่ก็บอกทำไมจะไม่พูดล่ะ เราเป็นคนพูดออกมาจากปากเองนี่
เราเลยเริ่มขึ้นบ้าง เลยบอกก็กำลังดูๆศาสนาคริสต์กับอิสลามไว้อยู่
แม่ก็บอกจะนับถือศาสนาอะไรก็เชิญ แม่ไม่อยากยุ่ง
เราก็บอกว่า เราไม่เข้าใจ แค่เรื่องนับถืออะไรทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่เราคนเดียวนะ เพื่อนเราก็เป็น
แม่เราก็บอกว่าเรา อวดเก่ง อยากทำตัวแตกต่าง
ลามไปถึงเรื่องเรากะจะไม่ไปพิธีรับปริญญา(เรื่องนี้เคยคุยเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว เราบอกว่าเราไม่อยากไป
เพราะเราไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆ ไม่ชอบแต่งหน้าหนาๆ รอนาน ร้อน แต่งชุดครุยถ่ายรูปเราคงทำ แต่ไม่ไปวันจริง
กะจะให้มหาลัยส่งมาให้ทางไปรษณีย์ ซึ่งตอนคุยเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร )
แม่บอกถ้าจะทำตัวแตกต่างก็เก่งให้ได้เหมือนเพื่อนจริงๆเถอะ
ชอบคิดว่าเอาตัวเองรอด โดยไม่ต้องพึ่งใคร ถ้าไม่เก่งจริง ก็ทำตามคนส่วนใหญ่เขาไปเถอะ
เราก็งงว่าทำไม ทำไมต้องทำอะไรทุกอย่างตามที่ทำคนทำกันมา
ทำไมต้องนับถือพุทธเพราะที่บ้านนับถือต่อกันมา (บ้านเราไม่เข้าวัด แต่เวลารวมญาติกันที
พวกญาติผู้ใหญ่ก็มักจะตระเวนทำบุญกัน ซึ่งเราก็ไปด้วย ไม่ได้อะไร ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านอะไรด้วย)
ทำไมต้องไปรับปริญญาทั้งที่สำหรับเรา จะส่งไปรษณีย์มาให้ก็ได้ ก็เป็นใบปริญญาเหมือนกัน
แม่บอกเราเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ จะมาทำตัวแตกต่างเหมือนเพื่อน เพื่อนก็น้อย ว่าเราแคบ
บอกว่าเราไม่ใช่พวกเฟรนด์ลี่ไปทำความรู้จักใครก่อน บอกว่าเราไม่รู้จักสนใจความรู้สึกคนรอบข้าง
เราเริ่มเพลียแล้ว เลยถามว่าน้องสาวจะไปจริงๆเหรอ แม่บอกมันเลยจุดนั้นมาแล้ว ไม่ต้องไปแล้ว แล้วก็วางสาย
เราอึ้งมากที่บอกว่าเราเป็นคนไม่แคร์ความรู้สึกคนรอบข้าง ซึ่งเราก็แบบ ปกติเราไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายเลย อ่านนิยาย ดูหนัง ไม่เคยร้องเลย
แต่เรื่องที่เราร้องไห้บ่อยที่สุด ก็เรื่องครอบครัวนี่แหละ
เราเหมือนมีเรื่องกระทบกระทั่งกับพ่อแม่อยู่เรื่อยๆ ทุกสองสามเดือน เราร้องไห้ทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
คุยกับพ่อก็ร้อง คุยกับแม่ก็ร้อง ทั้งเสียใจทั้งโกรธ เรายอมรับอย่างหนึ่งเรื่องที่เราพูดแรง
แต่เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องบังคับให้ไป
ถึงพ่อจะบอกว่าไม่ได้บังคับ แต่คือ เรารู้สึกถ้าไม่บังคับพอเราบอกว่าไม่ไป มันน่าจะจบตั้งแต่แรกแล้ว
นี่ยังมีรอบสองรอบสามตามมาอีก เราไม่เข้าใจเลย เหมือนจะมาถามความสมัครใจ
แต่ดูจะไม่ยอมรับคำปฎิเสธ จะพูดจนกว่าเราจะบอกว่าไป
เราจะทำยังไงดี? เราเบื่อที่จะทะเลาะกับเค้าแล้ว ทั้งเครียดทั้งเหนื่อย คุยทีไรก็รู้สึกแย่ทุกที
ขออนุญาตแท็กห้องศาสนานะคะ เพราะมีเรื่องศาสนามาเอี่ยวด้วยนิดหน่อย