ตามที่ผู้เขียนได้เคยเขียนข่าวเรื่อง
"ญิฮาดด้วยเซ็กส์" หรือ Sexual Jihad ไปเมื่อราวกลางเดือนนี้ ตอนนี้ก็จะขอนำเสนอเรื่องราวเพิ่มเติม
----
เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมานักวิชาการอิสลามนิกายวะฮาบีย์ ได้มีคำฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) ประกาศให้หญิงสาวชาวอาหรับเดินทางยังแผ่นดินซีเรีย เพื่อสนองอามรณ์ใคร่ให้กับกลุ่มกบฏซีเรีย และกลุ่มก่อการร้ายโค่นล้มรัฐบาลซีเรียในนาม
“ญิฮาดุนกะห์” (ฮิญาดด้วยเซ็กส์) หรือ
“การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าด้วยการตอบสนองความใคร่แก่บรรดานักรบฝ่ายกบฏซีเรีย”
(หมายเหตุ: วะฮาบีย์หรือซะละฟีย์ เป็นมัซฮับหนึ่งในอิสลามที่ถูกเรียกด้วยการล้อชื่อพ่อของมุฮัมมัด บินอับดิลวะฮาบ(วะฮาบ) ด้วยกลุ่มที่ไม่ชอบมุฮัมมัด บินอับดิลวะฮาบ เพราะกลุ่มวาฮาบีย์ อ้างว่ามีแต่กลุ่มตนเท่านั้นที่ยึดหลักของอัลกุรอานและฮาดิษเป็นหลัก เป็นกลุ่มที่แพร่หลายทั่วโลกในเวลาปัจจุบันโดยเฉพาะในคาบสมุทรอาหรับ)
หลังจากคำฟัตวาดังกล่าวได้ถูกประกาศออกมา บรรดานักวิชาการอิสลามนิกายวะฮาบีย์จากประเทศต่างๆ ของโลกอาหรับ โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย ก็ได้ออกมาสนับสนุนคำประกาศดังกล่าว โดยประกาศให้บรรดาสตรี หญิงม่าย มุ่งหน้าเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อทำการญิฮาดุนนิกะห์ หรือญิฮาดด้วยเซ็กส์
เท่านั้นยังไม่พอ จากนั้น นักวิชาการของวะฮาบีย์ชื่อดังชาวซาอุดิอาระเบียอีกคนหนึ่ง ชื่อ
เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ ก็ได้ออกมาประกาศคำฟัตวาเพิ่มเติมอีกว่า
“แม้แต่หญิงสาวที่สามีแล้ว ก็สามารถเข้าร่วมในการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ครั้งนี้ได้ด้วย เอาเข้าไป!
แค่นั้นยังไม่พอ! ล่าสุดนักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีย์รีย์ นามว่า
เชค นาศีร อัลอัมร์ ก็ได้ประกาศคำฟัตวาใหม่อีกว่า
“การญิฮาดุนนิกะห์” กับมะฮฺรอม (ผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เช่น แม่ พี่สาว น้องสาว เป็นต้น) ก็เป็นสิ่งที่อนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์ได้ ในกรณีถ้าหากนักรบกลุ่มกบฏซีเรียไม่สามารถหาหญิงสาวเพื่อสนองอารมณ์ใคร่ได้”
พูดง่ายๆก็คือ คราวนี้ถึงกับอนุญาตให้ผู้หญิงที่เป็น
แม่ หรือพี่สาวน้องสาว นอนด้วยก็ยังได้
---
ตั้งแต่คำประกาศฟัตวาเรื่องญิฮาดด้วยเซ็กส์นี้ได้ถูกดำเนินการ เรื่องราวอันมืดมนของผู้หญิงจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศตูนีเซียที่ถูกเกณฑ์ไปบำเรอนักรบกบฏซีเรีย ก็ได้มีการรายงานมาอย่างต่อเนื่อง
มีหญิงสาวตูนิเซียคนหนึ่งที่เดินทางกลับมาจากซีเรียเพื่อไปร่วมใน “ญิฮาดุนนิกะห์” เป็นภรรยาชั่วคราวให้เหล่านักรบกบฏซีเรียนับร้อยคน ปรากฏว่าติดเชื้อเอดส์ และตั้งครรภ์ ทำให้ประชาชนชาวตูนิเซียเริ่มเห็นภัยอันตรายของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ และช่องทีวีดาวเทียมที่เป็นของวะฮาบีย์ในตูนิเซียมากขึ้น
---
เด็กสาวอายุ 19 ปี ที่เพิ่งกลับจากประเทศซีเรีย หลังจากไปเป็น “นางบำเรอ” ให้กับนักรบกบฏซีเรียนานหนึ่งปี พร้อมกับตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนและติดเชื้อเอดส์
เธอได้เล่าถึงขั้นตอนต่างๆ กว่าจะถูกส่งตัวเข้าไปในประเทศซีเรีย และยังได้เล่าถึงสภาพของหญิงสาวคนอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ในซีเรียขณะนี้ ซึ่งจากคำบอกเล่าทำให้ทราบว่า ณ เวลานี้มีหญิงสาวชาวตูนิเซียอีกจำนวนมากที่กลายเป็นนางบำเรอของนักรบกบฏซีเรีย และติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือ การกลับมายังตูนิเซียของพวกเธอเหล่านั้น คือภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงของสังคมในตูนิเซียทีเดียว
หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้รายงานต่อไปว่า หญิงสาวคนนี้ได้เล่าต่อไปอีกว่า หลังจากเธอได้ฟังข่าวเหตุการณ์ต่างๆ ในซีเรียถึงความป่าเถื่อนของรัฐบาลซีเรีย และความลำบากของนักรบที่ต่อสู้กับรัฐบาลซีเรีย เธอตัดสินใจจากบ้านแผ่นดินเกิดตูนิเซียเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ผ่านประเทศลิเบีย และเข้าสู่ตุรกี และเดินทางไปยังเมืองอเลปโปซีเรีย
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า ขบวนการ “ญับฮะตุลนุศเราะฮฺ” ขบวนการ “ปลดปล่อยเมืองชาม” และอีกหลายๆ ขบวนการที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ หรือพวกวะฮาบีย์ พวกเขาทุกคนไม่มีมารยาทของมุสลิมเลยสักคน พวกเขาไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติการแต่งงานชั่วคราวที่ต้องปฏิบัติเลย (การจะมีเซ็กส์กันชั่วคราวแบบนี้ยังต้องมีการทำพิธีแต่งงานชั่วคราว แล้วค่อยหย่า่ เพื่อไม่ให้ผิดต่อบัญญัติอิสลาม)
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า เธอและหญิงสาวอีกจำนวนหนึ่งถูกนำตัวไปยังตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้น่าจะเป็นโรงพยาบาล เมื่อเข้าไปข้างในได้มีชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับพวกเธอ และได้แนะนำตัวว่าเป็นชาวตูนิเซียนามว่า อะบูอัยยูบ เขาได้กล่าวต่อเธอว่า “หัวหน้าของสถานที่นี้เป็นชาวเยเมนเป็นหัวหน้าค่ายของนักรบมีชื่อว่านายพลอัมร์ และเขาคือชายคนแรกที่เธอได้ทำการ “ญิฮาดุนนิกะฆห์” ด้วยในคืนนั้น
เธอได้เล่าอีกว่า หลังจากคืนนั้นผ่านไป เธอจำไม่ได้ว่านักรบจำนวนกี่คนที่ได้รุมกระทำกับเธอ ทว่าสิ่งที่เธอจำได้ดีในเวลานั้นคือ ความบริสุทธิ์แห่งการเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวเธอกำลังถูกบรรดาสัตว์ร้ายเดรัจฉานเหล่านั้นรุมย่ำยี เป้าหมายของพวกเขาเพียงเพื่อย่ำยีสตรีเท่านั้น เธอได้เล่าเรื่องราวข้างต้นพร้อมกับอาการหวาดผวาว่า “บรรดานักรบเหล่านั้น หลังจากที่พวกเขาได้บุกโจมตีชาวซีเรีย พวกเขาก็จะกลับมาบุกโจมตีพวกเราอย่างบ้าคลั่งในตึกแห่งนั้น”
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า “ไม่มีการทำพิธีแต่งงานตามหลักศาสนา ไม่มีโอกาสให้เลือกชายใด จนถึงตอนนี้หนูยังไม่ทราบเลยว่า พ่อของเด็กในท้องของหนู คือชาวปากีสถาน ชาวอัฟกานิสถาน ชาวลิเบีย ชาวตูนิเซีย ชาวอิรัก ชาวเชเชน ชาวซาอุดิอาระเบีย หรือชาวโซมาเลีย และก็ไม่ทราบเช่นกันว่าได้รับเชื้อเอชไอวีมาจากชายคนใด”
----
ในรายงานนี้ ยังพูดถึงนักวิชาการด้านสังคม และด้านสาธารณสุขที่ได้กล่าวย้ำเหมือนกันต่อความรุนแรง ความป่าเถื่อนของชาวนิกายวะฮาบีย์ ซึ่งนับวันพวกนี้จะนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่สามารถพามวลมุสลิมไปสู่การเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายมากขึ้นทุกวัน กิริยามารยาท การเป็นอยู่ในสังคมของพวกเขา โดยเฉพาะการปฏิบัติกับบรรดาสตรี เป็นการปฏิบัติที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์
มีนักเขียนชื่อดังชาวตูนิเซียคนหนึ่ง ถือว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ของพวกวะฮาบีย์ในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” คือ “การทำลายล้างความบริสุทธิ์ เกียรติยศ และความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติ”
---
โฆษกรัฐบาลตูนิเซีย กล่าวว่า “การลวงหลอกสตรีไปเป็นนางบำเรอทางเพศในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” ไม่ได้มีเฉพาะสตรีชาวตูนิเซียเพียงประเทศเดียว ในประเทศอาหรับหลายประเทศพวกวะฮาบีย์ก็มีการดำเนินการเช่นเดียวกัน”
ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลตูนิเซียได้ทำการจับกุมบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ และบรรดาสาวกที่มีส่วนในการโฆษณาชวนเชื่อฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในประเทศตูนิเซีย ทว่าสื่อต่างๆ ของตูนิเซียรายงานว่า ยังมีอีกหลายช่องทางที่ทำงานกันอย่างลับๆ ลวงหลอกสตรีตูนิเซียไปยังประเทศซีเรีย นอกเหนือจากนั้นนักวิชาการของวะฮาบีย์อีกจำนวนมากที่ยังคงกระทำความผิดนี้ เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับมากเกินที่จะหยุดการทำงานนี้ได้
---
มีรายงานว่า การไปทำฮิญาดเซ็กส์มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?
ฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) “ญิฮาดุนนิกะห์” ที่บรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ได้ประกาศออกมานั้น คือ ถ้าหากสตรีคนใดสามารถทำให้ตัวเองเดินทางไปยังแผ่นดินซีเรีย และปฏิบัติภารกิจสนองอารมณ์ใคร่แก่บรรดานักรบกบฏซีเรีย ผลบุญที่เธอจะได้รับเทียบเท่ากับการ “ญิฮาด” (ต่อสู้ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) เคียงคู่นักรบเหล่านั้น” ซึ่งฟัตวานี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนมหาศาลจากบรรดานักวิชาการมุสลิมนิกายวะฮาบีย์ในซาอุดิอาระเบียและกาตาร์
ด้วยเหตุนี้เองบางส่วนของสตรีที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ เพียงเพื่อต้องการเงินทองจำนวนหนึ่ง โดยการทำงานเพียงระยะสั้นๆ บ้างเดิมทีก็เป็นโสเภณี และผู้หญิงหากิน
----
เลวร้ายไปกว่านั้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีเด็กสาวคนหนึ่งชาวซีเรียอายุเพียง 15 ปี ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งซีเรียว่า
“พ่อของหนูเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียและได้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏซีเรีย เมื่อไม่นานมานี้พ่อของหนูได้กลับมาที่บ้านพร้อมกับนักรบกบฏอีก 3 คน พ่อของหนูได้บังคับให้หนูทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับนักรบชายทั้งสามคนนั้น
หนูขัดขืนแต่ก็ต่อสู้ไม่ไหวจึงต้องตกเป็นเหยื่อ “ญิฮาดุนนิกะห์” ของนักรบชายทั้งสามจนสลบไป
แต่ทันทีที่หนูฟื้นจากสลบหนูก็ได้พบกับพ่อ พ่อได้กล่าวกับหนูว่า ถ้าลูกทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับพ่อ หนูจะได้เข้าสรวงสวรรค์ ทันใดนั้นพ่อก็ข่มขืนหนูทันที และนับแต่วันนั้นหนูก็ไม่ได้เจอพ่ออีกเลย”
---
ช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติในซีเรีย บรรดาสตรีเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ แต่ทว่าหลังจากมีฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ออกมาโดยนักวิชาการวะฮาบีย์ ก็เลยทำให้บรรดาสตรีอาหรับเดินทางเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ท่ามกลางบรรดานักรบกบฏซีเรียเป็นจำนวนไม่น้อยเลยในเวลานี้
---
เท่านั้นยังไม่พอ นักวิชาการนิกายวะฮาบีย์ยังได้มีคำสั่งฟัตวาอีกว่า “บรรดาสตรีชาวซีเรียที่ถูกจับตัวได้ ถือเป็นเฉลยศึกสงคราม อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอได้ตามหลักการศาสนา”
ในเวลานี้ บรรดาสตรีชาวซีเรียถูกบรรดานักรบกบฏข่มขืนกระทำชำเราไม่เว้นแต่ละวัน นักวิชาการวะฮาบีย์ได้อ้างว่า “สตรีคนใดก็ตามที่ได้พลีตัวเองเพื่อสนองความใคร่ให้กับบรรดานักรบที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เธอคือผู้ที่เปรียบเสมือนได้ก้าวเท้าเข้าไปสู่สนามรบแล้ว”
---
เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ คือหนึ่งจากบรรดานักวิชาการของวะฮาบีย์ ที่ได้ออกมาเชิญชวนบรรดาสตรีโลกอาหรับเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อสองความใคร่ทางเพศแก่บรรดานักรบกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” โดยเขาได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวหลายครั้งเพื่อชวนเชิญสตรีโลกอาหรับ โดยได้กล่าวว่า “การญิฮาดที่ดีที่สุดสำหรับบรรดาสตรีในเวลานี้ที่ต่อรัฐบาลนายบาชัร อัลอัซซาด คือการ “ญิฮาดุนนิกะห์” อีกทั้งได้รับประกันสรวงสวรรค์สำหรับพวกนางไว้เสร็จสรรพ และยังได้มีการระบุอายุห้ามต่ำกว่า 14 ปีอีกด้วย
เคยมีนักวิชาการท่านหนึ่งได้ถามกับเชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ว่า “โอ้... เชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ ถ้าท่านมีความเชื่อต่อการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียจริงๆ ทำไมท่านไม่ส่งภรรยา ลูกสาว น้องสาว พี่สาว หรือหลานสาวของท่านไปแผ่นดินซีเรีย เพื่อทำการญิฮาดดุนนิกะห์บ้างล่ะ?”
การประกาศฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียแก่บรรดาสตรี นำไปสู่การผิดประเวณีอย่างกว้างขวางในหมู่นักรบกบฏซีเรีย ถึงขั้นมีการบังคับชาวซีเรียที่มีลูกสาวให้นำตัวลูกสาวของตนมาปฏิบัติภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ถ้าไม่เช่นนั้นถือว่าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางศาสนา ความเสียหายไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทว่ามันได้ลุกลามไปในหมู่รักร่วมเพศที่เป็นนักรบกบฏซีเรียอีกด้วย
อ่านทั้งหมดที่
http://immjournal.com/analysis/751-yehadnekah.html#sthash.QNSgdtBK.dpuf
www.immjournal.com/analysis/752-yehadnekah.html#sthash.WHOtq4lC.dpuf
(ภาพบรรดาหญิงสาวชาวตูนีเซียที่เิดินทางไปทำ "ญิฮาดุนนิกะห์" หรือญิฮาดด้วยเซ็กส์)
(หมายเหตุ: บทความนี้ผมได้รับการแนะนำมาจากเพื่อนชาวมุสลิมคนหนึ่ง)
เครดิต
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=610495702329283&set=a.494296587282529.117037.494206543958200&type=1
การแต่งงานเพื่อการญิฮาด (ภาคต่อ)
ตามที่ผู้เขียนได้เคยเขียนข่าวเรื่อง "ญิฮาดด้วยเซ็กส์" หรือ Sexual Jihad ไปเมื่อราวกลางเดือนนี้ ตอนนี้ก็จะขอนำเสนอเรื่องราวเพิ่มเติม
----
เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมานักวิชาการอิสลามนิกายวะฮาบีย์ ได้มีคำฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) ประกาศให้หญิงสาวชาวอาหรับเดินทางยังแผ่นดินซีเรีย เพื่อสนองอามรณ์ใคร่ให้กับกลุ่มกบฏซีเรีย และกลุ่มก่อการร้ายโค่นล้มรัฐบาลซีเรียในนาม “ญิฮาดุนกะห์” (ฮิญาดด้วยเซ็กส์) หรือ “การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าด้วยการตอบสนองความใคร่แก่บรรดานักรบฝ่ายกบฏซีเรีย”
(หมายเหตุ: วะฮาบีย์หรือซะละฟีย์ เป็นมัซฮับหนึ่งในอิสลามที่ถูกเรียกด้วยการล้อชื่อพ่อของมุฮัมมัด บินอับดิลวะฮาบ(วะฮาบ) ด้วยกลุ่มที่ไม่ชอบมุฮัมมัด บินอับดิลวะฮาบ เพราะกลุ่มวาฮาบีย์ อ้างว่ามีแต่กลุ่มตนเท่านั้นที่ยึดหลักของอัลกุรอานและฮาดิษเป็นหลัก เป็นกลุ่มที่แพร่หลายทั่วโลกในเวลาปัจจุบันโดยเฉพาะในคาบสมุทรอาหรับ)
หลังจากคำฟัตวาดังกล่าวได้ถูกประกาศออกมา บรรดานักวิชาการอิสลามนิกายวะฮาบีย์จากประเทศต่างๆ ของโลกอาหรับ โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย ก็ได้ออกมาสนับสนุนคำประกาศดังกล่าว โดยประกาศให้บรรดาสตรี หญิงม่าย มุ่งหน้าเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อทำการญิฮาดุนนิกะห์ หรือญิฮาดด้วยเซ็กส์
เท่านั้นยังไม่พอ จากนั้น นักวิชาการของวะฮาบีย์ชื่อดังชาวซาอุดิอาระเบียอีกคนหนึ่ง ชื่อ เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ ก็ได้ออกมาประกาศคำฟัตวาเพิ่มเติมอีกว่า “แม้แต่หญิงสาวที่สามีแล้ว ก็สามารถเข้าร่วมในการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ครั้งนี้ได้ด้วย เอาเข้าไป!
แค่นั้นยังไม่พอ! ล่าสุดนักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีย์รีย์ นามว่า เชค นาศีร อัลอัมร์ ก็ได้ประกาศคำฟัตวาใหม่อีกว่า “การญิฮาดุนนิกะห์” กับมะฮฺรอม (ผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เช่น แม่ พี่สาว น้องสาว เป็นต้น) ก็เป็นสิ่งที่อนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์ได้ ในกรณีถ้าหากนักรบกลุ่มกบฏซีเรียไม่สามารถหาหญิงสาวเพื่อสนองอารมณ์ใคร่ได้”
พูดง่ายๆก็คือ คราวนี้ถึงกับอนุญาตให้ผู้หญิงที่เป็นแม่ หรือพี่สาวน้องสาว นอนด้วยก็ยังได้
---
ตั้งแต่คำประกาศฟัตวาเรื่องญิฮาดด้วยเซ็กส์นี้ได้ถูกดำเนินการ เรื่องราวอันมืดมนของผู้หญิงจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศตูนีเซียที่ถูกเกณฑ์ไปบำเรอนักรบกบฏซีเรีย ก็ได้มีการรายงานมาอย่างต่อเนื่อง
มีหญิงสาวตูนิเซียคนหนึ่งที่เดินทางกลับมาจากซีเรียเพื่อไปร่วมใน “ญิฮาดุนนิกะห์” เป็นภรรยาชั่วคราวให้เหล่านักรบกบฏซีเรียนับร้อยคน ปรากฏว่าติดเชื้อเอดส์ และตั้งครรภ์ ทำให้ประชาชนชาวตูนิเซียเริ่มเห็นภัยอันตรายของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ และช่องทีวีดาวเทียมที่เป็นของวะฮาบีย์ในตูนิเซียมากขึ้น
---
เด็กสาวอายุ 19 ปี ที่เพิ่งกลับจากประเทศซีเรีย หลังจากไปเป็น “นางบำเรอ” ให้กับนักรบกบฏซีเรียนานหนึ่งปี พร้อมกับตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนและติดเชื้อเอดส์
เธอได้เล่าถึงขั้นตอนต่างๆ กว่าจะถูกส่งตัวเข้าไปในประเทศซีเรีย และยังได้เล่าถึงสภาพของหญิงสาวคนอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ในซีเรียขณะนี้ ซึ่งจากคำบอกเล่าทำให้ทราบว่า ณ เวลานี้มีหญิงสาวชาวตูนิเซียอีกจำนวนมากที่กลายเป็นนางบำเรอของนักรบกบฏซีเรีย และติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือ การกลับมายังตูนิเซียของพวกเธอเหล่านั้น คือภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงของสังคมในตูนิเซียทีเดียว
หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้รายงานต่อไปว่า หญิงสาวคนนี้ได้เล่าต่อไปอีกว่า หลังจากเธอได้ฟังข่าวเหตุการณ์ต่างๆ ในซีเรียถึงความป่าเถื่อนของรัฐบาลซีเรีย และความลำบากของนักรบที่ต่อสู้กับรัฐบาลซีเรีย เธอตัดสินใจจากบ้านแผ่นดินเกิดตูนิเซียเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ผ่านประเทศลิเบีย และเข้าสู่ตุรกี และเดินทางไปยังเมืองอเลปโปซีเรีย
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า ขบวนการ “ญับฮะตุลนุศเราะฮฺ” ขบวนการ “ปลดปล่อยเมืองชาม” และอีกหลายๆ ขบวนการที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ หรือพวกวะฮาบีย์ พวกเขาทุกคนไม่มีมารยาทของมุสลิมเลยสักคน พวกเขาไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติการแต่งงานชั่วคราวที่ต้องปฏิบัติเลย (การจะมีเซ็กส์กันชั่วคราวแบบนี้ยังต้องมีการทำพิธีแต่งงานชั่วคราว แล้วค่อยหย่า่ เพื่อไม่ให้ผิดต่อบัญญัติอิสลาม)
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า เธอและหญิงสาวอีกจำนวนหนึ่งถูกนำตัวไปยังตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้น่าจะเป็นโรงพยาบาล เมื่อเข้าไปข้างในได้มีชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับพวกเธอ และได้แนะนำตัวว่าเป็นชาวตูนิเซียนามว่า อะบูอัยยูบ เขาได้กล่าวต่อเธอว่า “หัวหน้าของสถานที่นี้เป็นชาวเยเมนเป็นหัวหน้าค่ายของนักรบมีชื่อว่านายพลอัมร์ และเขาคือชายคนแรกที่เธอได้ทำการ “ญิฮาดุนนิกะฆห์” ด้วยในคืนนั้น
เธอได้เล่าอีกว่า หลังจากคืนนั้นผ่านไป เธอจำไม่ได้ว่านักรบจำนวนกี่คนที่ได้รุมกระทำกับเธอ ทว่าสิ่งที่เธอจำได้ดีในเวลานั้นคือ ความบริสุทธิ์แห่งการเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวเธอกำลังถูกบรรดาสัตว์ร้ายเดรัจฉานเหล่านั้นรุมย่ำยี เป้าหมายของพวกเขาเพียงเพื่อย่ำยีสตรีเท่านั้น เธอได้เล่าเรื่องราวข้างต้นพร้อมกับอาการหวาดผวาว่า “บรรดานักรบเหล่านั้น หลังจากที่พวกเขาได้บุกโจมตีชาวซีเรีย พวกเขาก็จะกลับมาบุกโจมตีพวกเราอย่างบ้าคลั่งในตึกแห่งนั้น”
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า “ไม่มีการทำพิธีแต่งงานตามหลักศาสนา ไม่มีโอกาสให้เลือกชายใด จนถึงตอนนี้หนูยังไม่ทราบเลยว่า พ่อของเด็กในท้องของหนู คือชาวปากีสถาน ชาวอัฟกานิสถาน ชาวลิเบีย ชาวตูนิเซีย ชาวอิรัก ชาวเชเชน ชาวซาอุดิอาระเบีย หรือชาวโซมาเลีย และก็ไม่ทราบเช่นกันว่าได้รับเชื้อเอชไอวีมาจากชายคนใด”
----
ในรายงานนี้ ยังพูดถึงนักวิชาการด้านสังคม และด้านสาธารณสุขที่ได้กล่าวย้ำเหมือนกันต่อความรุนแรง ความป่าเถื่อนของชาวนิกายวะฮาบีย์ ซึ่งนับวันพวกนี้จะนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่สามารถพามวลมุสลิมไปสู่การเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายมากขึ้นทุกวัน กิริยามารยาท การเป็นอยู่ในสังคมของพวกเขา โดยเฉพาะการปฏิบัติกับบรรดาสตรี เป็นการปฏิบัติที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์
มีนักเขียนชื่อดังชาวตูนิเซียคนหนึ่ง ถือว่าการปฏิบัติการครั้งนี้ของพวกวะฮาบีย์ในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” คือ “การทำลายล้างความบริสุทธิ์ เกียรติยศ และความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติ”
---
โฆษกรัฐบาลตูนิเซีย กล่าวว่า “การลวงหลอกสตรีไปเป็นนางบำเรอทางเพศในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” ไม่ได้มีเฉพาะสตรีชาวตูนิเซียเพียงประเทศเดียว ในประเทศอาหรับหลายประเทศพวกวะฮาบีย์ก็มีการดำเนินการเช่นเดียวกัน”
ก่อนหน้านี้ทางรัฐบาลตูนิเซียได้ทำการจับกุมบรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ และบรรดาสาวกที่มีส่วนในการโฆษณาชวนเชื่อฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในประเทศตูนิเซีย ทว่าสื่อต่างๆ ของตูนิเซียรายงานว่า ยังมีอีกหลายช่องทางที่ทำงานกันอย่างลับๆ ลวงหลอกสตรีตูนิเซียไปยังประเทศซีเรีย นอกเหนือจากนั้นนักวิชาการของวะฮาบีย์อีกจำนวนมากที่ยังคงกระทำความผิดนี้ เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับมากเกินที่จะหยุดการทำงานนี้ได้
---
มีรายงานว่า การไปทำฮิญาดเซ็กส์มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย?
ฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) “ญิฮาดุนนิกะห์” ที่บรรดานักวิชาการวะฮาบีย์ได้ประกาศออกมานั้น คือ ถ้าหากสตรีคนใดสามารถทำให้ตัวเองเดินทางไปยังแผ่นดินซีเรีย และปฏิบัติภารกิจสนองอารมณ์ใคร่แก่บรรดานักรบกบฏซีเรีย ผลบุญที่เธอจะได้รับเทียบเท่ากับการ “ญิฮาด” (ต่อสู้ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) เคียงคู่นักรบเหล่านั้น” ซึ่งฟัตวานี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนมหาศาลจากบรรดานักวิชาการมุสลิมนิกายวะฮาบีย์ในซาอุดิอาระเบียและกาตาร์
ด้วยเหตุนี้เองบางส่วนของสตรีที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ เพียงเพื่อต้องการเงินทองจำนวนหนึ่ง โดยการทำงานเพียงระยะสั้นๆ บ้างเดิมทีก็เป็นโสเภณี และผู้หญิงหากิน
----
เลวร้ายไปกว่านั้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีเด็กสาวคนหนึ่งชาวซีเรียอายุเพียง 15 ปี ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งซีเรียว่า
“พ่อของหนูเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียและได้เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏซีเรีย เมื่อไม่นานมานี้พ่อของหนูได้กลับมาที่บ้านพร้อมกับนักรบกบฏอีก 3 คน พ่อของหนูได้บังคับให้หนูทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับนักรบชายทั้งสามคนนั้น
หนูขัดขืนแต่ก็ต่อสู้ไม่ไหวจึงต้องตกเป็นเหยื่อ “ญิฮาดุนนิกะห์” ของนักรบชายทั้งสามจนสลบไป
แต่ทันทีที่หนูฟื้นจากสลบหนูก็ได้พบกับพ่อ พ่อได้กล่าวกับหนูว่า ถ้าลูกทำ “ญิฮาดุนนิกะห์” กับพ่อ หนูจะได้เข้าสรวงสวรรค์ ทันใดนั้นพ่อก็ข่มขืนหนูทันที และนับแต่วันนั้นหนูก็ไม่ได้เจอพ่ออีกเลย”
---
ช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติในซีเรีย บรรดาสตรีเป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ แต่ทว่าหลังจากมีฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ออกมาโดยนักวิชาการวะฮาบีย์ ก็เลยทำให้บรรดาสตรีอาหรับเดินทางเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ท่ามกลางบรรดานักรบกบฏซีเรียเป็นจำนวนไม่น้อยเลยในเวลานี้
---
เท่านั้นยังไม่พอ นักวิชาการนิกายวะฮาบีย์ยังได้มีคำสั่งฟัตวาอีกว่า “บรรดาสตรีชาวซีเรียที่ถูกจับตัวได้ ถือเป็นเฉลยศึกสงคราม อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเธอได้ตามหลักการศาสนา”
ในเวลานี้ บรรดาสตรีชาวซีเรียถูกบรรดานักรบกบฏข่มขืนกระทำชำเราไม่เว้นแต่ละวัน นักวิชาการวะฮาบีย์ได้อ้างว่า “สตรีคนใดก็ตามที่ได้พลีตัวเองเพื่อสนองความใคร่ให้กับบรรดานักรบที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรีย เธอคือผู้ที่เปรียบเสมือนได้ก้าวเท้าเข้าไปสู่สนามรบแล้ว”
---
เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ คือหนึ่งจากบรรดานักวิชาการของวะฮาบีย์ ที่ได้ออกมาเชิญชวนบรรดาสตรีโลกอาหรับเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อสองความใคร่ทางเพศแก่บรรดานักรบกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรียในนาม “ญิฮาดุนนิกะห์” โดยเขาได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวหลายครั้งเพื่อชวนเชิญสตรีโลกอาหรับ โดยได้กล่าวว่า “การญิฮาดที่ดีที่สุดสำหรับบรรดาสตรีในเวลานี้ที่ต่อรัฐบาลนายบาชัร อัลอัซซาด คือการ “ญิฮาดุนนิกะห์” อีกทั้งได้รับประกันสรวงสวรรค์สำหรับพวกนางไว้เสร็จสรรพ และยังได้มีการระบุอายุห้ามต่ำกว่า 14 ปีอีกด้วย
เคยมีนักวิชาการท่านหนึ่งได้ถามกับเชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ว่า “โอ้... เชคมุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ ถ้าท่านมีความเชื่อต่อการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียจริงๆ ทำไมท่านไม่ส่งภรรยา ลูกสาว น้องสาว พี่สาว หรือหลานสาวของท่านไปแผ่นดินซีเรีย เพื่อทำการญิฮาดดุนนิกะห์บ้างล่ะ?”
การประกาศฟัตวา “ญิฮาดุนนิกะห์” ในแผ่นดินซีเรียแก่บรรดาสตรี นำไปสู่การผิดประเวณีอย่างกว้างขวางในหมู่นักรบกบฏซีเรีย ถึงขั้นมีการบังคับชาวซีเรียที่มีลูกสาวให้นำตัวลูกสาวของตนมาปฏิบัติภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ถ้าไม่เช่นนั้นถือว่าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางศาสนา ความเสียหายไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ทว่ามันได้ลุกลามไปในหมู่รักร่วมเพศที่เป็นนักรบกบฏซีเรียอีกด้วย
อ่านทั้งหมดที่
http://immjournal.com/analysis/751-yehadnekah.html#sthash.QNSgdtBK.dpuf
www.immjournal.com/analysis/752-yehadnekah.html#sthash.WHOtq4lC.dpuf
(ภาพบรรดาหญิงสาวชาวตูนีเซียที่เิดินทางไปทำ "ญิฮาดุนนิกะห์" หรือญิฮาดด้วยเซ็กส์)
(หมายเหตุ: บทความนี้ผมได้รับการแนะนำมาจากเพื่อนชาวมุสลิมคนหนึ่ง)
เครดิต https://www.facebook.com/photo.php?fbid=610495702329283&set=a.494296587282529.117037.494206543958200&type=1