เพิ่งได้ดูหนังเรื่อง Shawshank Redemption จากการหาคีย์เวิร์ดคำว่าหนังดีที่ควรดู
มีหนังหลายๆเรื่องเข้ามาเป็นตัวเลือก แน่นอน ต้องมี Forrest Gump และอีกหลายๆเรื่องตามมา
เราได้ดูและดื่มด่ำไปกับหนังดีที่ควรดูหลายๆเรื่อง อย่างที่คิดว่า เหมาะสมแล้วจริงๆกับคำกล่าว หนังดีที่ควรดู
จนวันนึง...มาถึงคิวที่เราจะหยิบหนังเรื่อง Shawshank Redemption มาดู
เราพินิจพิจารณาอยู่สักพักจากใบปิดหนัง...ว่าทำไมหนา เรื่องราวในคุก จึงเป็นหนังที่ควรดู
หนังเล่าได้ประหลาดมาก...เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้เจอจากหนังเรื่องอื่นๆ
ถ้าเปรียบเทียบเป็นดนตรี มันก็เป็นทวงทำนองที่มีจังหวะมหัศจรรย์เป็นที่สุด
เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องยอมจำนนกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันช่างหดหู่และแสนเศร้า
สามารถเล่าได้อย่างเป็นจริงไร้ความรู้สึกเพ้อฝัน
ทำให้เราที่เป็นคนดู จำเป็นต้องยอมรับอย่างหดหู่ตามไปด้วย
และยอมรับอย่างเศร้าๆว่า ชีวิตจริงก็แบบนี้เช่นกัน
แต่เมื่อมาถึงจังหวะที่เริ่มมีแสงแห่งความหวัง มันค่อยๆเผยความเปล่งประกายอย่างน่าประหลาดใจ
แม้จะยังไม่แน่ใจในทิศทางของทางออกมากนัก แต่หนังก็ได้กระซิบบอกเราว่า ใจเย็นๆ รออีกนิดเดียว
หนังได้สอน...ให้เรากล้าที่จะพยายามฝัน ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่ยังมีความหวัง เรายังมีสิทธิ๋ที่จะหวัง
เมื่อมาถึงจังหวะที่พีคที่สุดของหนัง มันเหมือนเป็นเสียงกระหึ่มดังจากวงดนตรีออเคสตรา
ที่ประสานประกอบเสียงแห่งความสำเร็จให้ส่งเสียงประกาศก้องขึ้นมาอย่างสวยงาม...
และค่อยๆสงบลง...ตามจังหวะของชีวิต...กลับสู้ทวงทำนองเรียบง่าย..แต่เสียงแห่งความหดหู่นั้นได้จางหายไปแล้ว
Shawshank Redemption ยอมรับกับสิ่งที่เกิด และปล่อยให้ "เวลา" พิสูจน์ความพยายาม
มีหนังหลายๆเรื่องเข้ามาเป็นตัวเลือก แน่นอน ต้องมี Forrest Gump และอีกหลายๆเรื่องตามมา
เราได้ดูและดื่มด่ำไปกับหนังดีที่ควรดูหลายๆเรื่อง อย่างที่คิดว่า เหมาะสมแล้วจริงๆกับคำกล่าว หนังดีที่ควรดู
จนวันนึง...มาถึงคิวที่เราจะหยิบหนังเรื่อง Shawshank Redemption มาดู
เราพินิจพิจารณาอยู่สักพักจากใบปิดหนัง...ว่าทำไมหนา เรื่องราวในคุก จึงเป็นหนังที่ควรดู
หนังเล่าได้ประหลาดมาก...เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้เจอจากหนังเรื่องอื่นๆ
ถ้าเปรียบเทียบเป็นดนตรี มันก็เป็นทวงทำนองที่มีจังหวะมหัศจรรย์เป็นที่สุด
เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องยอมจำนนกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันช่างหดหู่และแสนเศร้า
สามารถเล่าได้อย่างเป็นจริงไร้ความรู้สึกเพ้อฝัน
ทำให้เราที่เป็นคนดู จำเป็นต้องยอมรับอย่างหดหู่ตามไปด้วย
และยอมรับอย่างเศร้าๆว่า ชีวิตจริงก็แบบนี้เช่นกัน
แต่เมื่อมาถึงจังหวะที่เริ่มมีแสงแห่งความหวัง มันค่อยๆเผยความเปล่งประกายอย่างน่าประหลาดใจ
แม้จะยังไม่แน่ใจในทิศทางของทางออกมากนัก แต่หนังก็ได้กระซิบบอกเราว่า ใจเย็นๆ รออีกนิดเดียว
หนังได้สอน...ให้เรากล้าที่จะพยายามฝัน ไม่ว่าฝันนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่ยังมีความหวัง เรายังมีสิทธิ๋ที่จะหวัง
เมื่อมาถึงจังหวะที่พีคที่สุดของหนัง มันเหมือนเป็นเสียงกระหึ่มดังจากวงดนตรีออเคสตรา
ที่ประสานประกอบเสียงแห่งความสำเร็จให้ส่งเสียงประกาศก้องขึ้นมาอย่างสวยงาม...
และค่อยๆสงบลง...ตามจังหวะของชีวิต...กลับสู้ทวงทำนองเรียบง่าย..แต่เสียงแห่งความหดหู่นั้นได้จางหายไปแล้ว