นักสืบ Pantip มีมานานแล้ว ในการจับโกหกต่างๆ อย่างที่เราเห็นและติดตามกันมาโดยตลอด ซึ่งจากที่ผมติดตาม ดราม่าต่างๆ ทำให้ทราบว่า "นักสืบ Pantip" จริงๆก็คือ นักสืบออนไลน์ ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีพอสมควร
สมัยนี้คนโกหก มักจะโดนจับผิด จากเทคโนโลยี เรียกว่า ใช้เทคโนโลยีในทางที่ไม่ดี ก็ถูกเทคโนโลยีเล่นงานเอาได้นั่นเอง
ผมขอยกตัวอย่างดราม่านึง ที่เป็นกระแสเพราะเว็บจ่า นี่คือ online tools ตัวหนึ่งที่ช่วยให้กระทู้ใน Pantip ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น มีคนติดตามมากขึ้น
ในเว็บดราม่านั้น ได้มีนักสืบพันทิป ที่สืบโดยค้นหาข้อมูลส่วนตัว ของผู้โพสต์ และคู่กรณีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อันนี้ถามว่านับสืบต้องใช้ความสามารถอะไรบ้าง
อันดับแรก คนที่ใช้งาน Pantip 3G หรือ Pantip แบบใหม่ จะต้องทราบว่า ในโปรไฟล์ของเรานั้น สามารถแสดงกระทู้ที่เราตั้ง กระทู้ที่เราตอบ และกระทู้โปรดของเรา (เข้าได้จาก บัญชีผู้ใช้ > หน้าของฉัน ถ้าเราล็อกอินอยู่ กดที่อมยิ้มใคร ก็จะแสดงข้อมูลการตั้งกระทู้ให้เราเห็น) อันนี้เป็นหลักฐานที่นำไปสู่การสืบว่า เราเป็นคนมีนิสัยอย่างไร ชอบอะไร เชียร์อะไร หากเราไปทำอะไรที่น่าสงสัย คนก็ติดตามจากการเคยตั้งกระทู้ของเรา เหมือนดราม่าที่คนตั้งกระทู้เคยตั้งกระทู้อวย แล้ววันนึงมาตั้งกระทู้ด่า อันนี้ข้อมูลถูกเก็บไว้ทั้งหมด แม้กระทั่งเราจะลบกระทู้ไปแล้ว (อาจจะเพราะกลัวคนจับได้) หัวข้อกระทู้นั้นก็ยังคงอยู่ ฟ้องเราได้ง่ายๆ
แต่ถ้าใครเพิ่งเล่น Pantip ครั้งแรกๆ ก็อาจจะถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่า บอกว่าอ่านมานาน แต่ทำไมเพิ่งสมัครล็อกอินหมาดๆ (คนเล่น Pantip จะรู้จากตัวเลขสมาชิก)
อันดับที่ 2 จะต้องมีความรู้เรื่อง Facebook พอสมควร หลายๆกระทู้ถูกสืบจาก Facebook แม้ว่าเราจะเอารูปโปรไฟล์ที่ไม่ใช่รูปของเรามาแสดง อย่าลืมว่ามี Google Image Search ที่แค่เอารูปเราไปค้น ก็ตรวจสอบความเชื่อมโยงกันได้ รวมไปถึง การกด Like เพจไหน กด Fav เพจไหน เราสามารถหาความเชื่อมโยงกันได้ ดราม่านึงถูกเปิดโปงหลังจากมีคนพบว่า เพจนี้มีการนำเอารีวิวของเจ้าของกระทู้มาขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว ตรงนี้ Facebook โกหกไม่ได้
คนที่เป็นนักสืบ Pantip จะต้องมี Skill Facebook และ Social Network พอสมควร เพื่อที่จะทราบว่า ใครก้อปทวิต ใครเป็นเพื่อนกับใคร unfriends กับใคร รวมไปถึงการค้นหาจากรูปโปรไฟล์ใน Facebook การค้นหาวันที่เริ่มสร้างเพจ วันที่สร้างโปรไฟล์ด้วย
อันดับที่ 3 Google Image Search เครื่องมือใกล้ตัว คนที่โกหก อาจจะคิดไม่ถึงว่า ตอนนี้ รูปสามารถอัพโหลดขึ้นไปเพื่อค้นหาว่ารูปภาพนี้อยู่ในเว็บใด หรือค้นจากรูปแล้วเอาไปค้นโปรไฟล์ว่าเล่นในเวบบอร์ดใด เมื่อไหร และมีความสัมพันธ์กับใคร
นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบได้ว่า Facebook นั้น มีการเขียน Notes มีการแชร์อะไรบ้าง เรียกได้ว่าถ้า Public หมดนี่ สืบได้ทุกเรื่องจริงๆ
อันดับที่ 4 การแคปหน้าจอ ผมเคยโพสต์ว่า "Capture is King" ใครแคปก่อน คนนั้นได้เปรียบ ทุกการดราม่าบนออนไลน์ ถ้ามีใครแคปหน้าจอไว้ ถึงจะลบ แก้ไข ก็ยังมีหลักฐานอยู่
เพิ่มเติมอีกเครื่องมือ (คุณ @jetboat แนะนำมา) คือ Google Cache ครับ สามารถค้นหาเว็บไซต์ บล็อก ที่ถูกลบไปแล้วได้ หรือแม้แต่กระทู้ที่ถูกลบครับเพราะมีการทำ Cache ไว้ (เหมือนกับการสำรองข้อมูล)
ที่ยกตัวอย่างมานี้ ไม่ได้บอกว่าทุกคนเป็นนักสืบ แต่อยากจะให้คนที่โกหก แต่งเรื่อง หรือลวงอะไรก็ตาม ได้รู้ว่า เทคโนโลยี ตอนนี้ไปไกลมาก นักสืบ Pantip ก็คนธรรมดา ไม่ได้เก่งไอที ไม่ได้เป็นแฮกเกอร์ ไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์ ขอแค่มีความรู้ และรู้เทคนิคการใช้งาน เราก็สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการค้นหาความจริงได้ อย่างเช่นกรณีของดาราสาว ที่ถูกนับสืบ Pantip ลากไส้แฉปมออกมา
และท้ายที่สุด เทคโนโลยีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าเราเอามาใช้ในทางที่ดีก็เกิดผลดี แต่ถ้าเราเอามาใช้ในทางที่ไม่ดี ก็ย่อมทำให้ผลร้ายกลับคืนมาหาเราได้ครับ
[How-to] หนทางก้าวสู่นักสืบ Pantip ด้วยเทคโนโลยีบนโลกออนไลน์
สมัยนี้คนโกหก มักจะโดนจับผิด จากเทคโนโลยี เรียกว่า ใช้เทคโนโลยีในทางที่ไม่ดี ก็ถูกเทคโนโลยีเล่นงานเอาได้นั่นเอง
ผมขอยกตัวอย่างดราม่านึง ที่เป็นกระแสเพราะเว็บจ่า นี่คือ online tools ตัวหนึ่งที่ช่วยให้กระทู้ใน Pantip ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น มีคนติดตามมากขึ้น
ในเว็บดราม่านั้น ได้มีนักสืบพันทิป ที่สืบโดยค้นหาข้อมูลส่วนตัว ของผู้โพสต์ และคู่กรณีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อันนี้ถามว่านับสืบต้องใช้ความสามารถอะไรบ้าง
อันดับแรก คนที่ใช้งาน Pantip 3G หรือ Pantip แบบใหม่ จะต้องทราบว่า ในโปรไฟล์ของเรานั้น สามารถแสดงกระทู้ที่เราตั้ง กระทู้ที่เราตอบ และกระทู้โปรดของเรา (เข้าได้จาก บัญชีผู้ใช้ > หน้าของฉัน ถ้าเราล็อกอินอยู่ กดที่อมยิ้มใคร ก็จะแสดงข้อมูลการตั้งกระทู้ให้เราเห็น) อันนี้เป็นหลักฐานที่นำไปสู่การสืบว่า เราเป็นคนมีนิสัยอย่างไร ชอบอะไร เชียร์อะไร หากเราไปทำอะไรที่น่าสงสัย คนก็ติดตามจากการเคยตั้งกระทู้ของเรา เหมือนดราม่าที่คนตั้งกระทู้เคยตั้งกระทู้อวย แล้ววันนึงมาตั้งกระทู้ด่า อันนี้ข้อมูลถูกเก็บไว้ทั้งหมด แม้กระทั่งเราจะลบกระทู้ไปแล้ว (อาจจะเพราะกลัวคนจับได้) หัวข้อกระทู้นั้นก็ยังคงอยู่ ฟ้องเราได้ง่ายๆ
แต่ถ้าใครเพิ่งเล่น Pantip ครั้งแรกๆ ก็อาจจะถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่า บอกว่าอ่านมานาน แต่ทำไมเพิ่งสมัครล็อกอินหมาดๆ (คนเล่น Pantip จะรู้จากตัวเลขสมาชิก)
อันดับที่ 2 จะต้องมีความรู้เรื่อง Facebook พอสมควร หลายๆกระทู้ถูกสืบจาก Facebook แม้ว่าเราจะเอารูปโปรไฟล์ที่ไม่ใช่รูปของเรามาแสดง อย่าลืมว่ามี Google Image Search ที่แค่เอารูปเราไปค้น ก็ตรวจสอบความเชื่อมโยงกันได้ รวมไปถึง การกด Like เพจไหน กด Fav เพจไหน เราสามารถหาความเชื่อมโยงกันได้ ดราม่านึงถูกเปิดโปงหลังจากมีคนพบว่า เพจนี้มีการนำเอารีวิวของเจ้าของกระทู้มาขึ้นเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว ตรงนี้ Facebook โกหกไม่ได้
คนที่เป็นนักสืบ Pantip จะต้องมี Skill Facebook และ Social Network พอสมควร เพื่อที่จะทราบว่า ใครก้อปทวิต ใครเป็นเพื่อนกับใคร unfriends กับใคร รวมไปถึงการค้นหาจากรูปโปรไฟล์ใน Facebook การค้นหาวันที่เริ่มสร้างเพจ วันที่สร้างโปรไฟล์ด้วย
อันดับที่ 3 Google Image Search เครื่องมือใกล้ตัว คนที่โกหก อาจจะคิดไม่ถึงว่า ตอนนี้ รูปสามารถอัพโหลดขึ้นไปเพื่อค้นหาว่ารูปภาพนี้อยู่ในเว็บใด หรือค้นจากรูปแล้วเอาไปค้นโปรไฟล์ว่าเล่นในเวบบอร์ดใด เมื่อไหร และมีความสัมพันธ์กับใคร
นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบได้ว่า Facebook นั้น มีการเขียน Notes มีการแชร์อะไรบ้าง เรียกได้ว่าถ้า Public หมดนี่ สืบได้ทุกเรื่องจริงๆ
อันดับที่ 4 การแคปหน้าจอ ผมเคยโพสต์ว่า "Capture is King" ใครแคปก่อน คนนั้นได้เปรียบ ทุกการดราม่าบนออนไลน์ ถ้ามีใครแคปหน้าจอไว้ ถึงจะลบ แก้ไข ก็ยังมีหลักฐานอยู่
เพิ่มเติมอีกเครื่องมือ (คุณ @jetboat แนะนำมา) คือ Google Cache ครับ สามารถค้นหาเว็บไซต์ บล็อก ที่ถูกลบไปแล้วได้ หรือแม้แต่กระทู้ที่ถูกลบครับเพราะมีการทำ Cache ไว้ (เหมือนกับการสำรองข้อมูล)
ที่ยกตัวอย่างมานี้ ไม่ได้บอกว่าทุกคนเป็นนักสืบ แต่อยากจะให้คนที่โกหก แต่งเรื่อง หรือลวงอะไรก็ตาม ได้รู้ว่า เทคโนโลยี ตอนนี้ไปไกลมาก นักสืบ Pantip ก็คนธรรมดา ไม่ได้เก่งไอที ไม่ได้เป็นแฮกเกอร์ ไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์ ขอแค่มีความรู้ และรู้เทคนิคการใช้งาน เราก็สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการค้นหาความจริงได้ อย่างเช่นกรณีของดาราสาว ที่ถูกนับสืบ Pantip ลากไส้แฉปมออกมา
และท้ายที่สุด เทคโนโลยีมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าเราเอามาใช้ในทางที่ดีก็เกิดผลดี แต่ถ้าเราเอามาใช้ในทางที่ไม่ดี ก็ย่อมทำให้ผลร้ายกลับคืนมาหาเราได้ครับ