"สองเซียนหุ้น" วิพากษ์ เหตุ "ขาดทุน" หุ้น PACE

กระทู้สนทนา
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


“ใครจะรู้ว่าลงหนัก-ซื้อเพราะบริษัทเพื่อน” ชนวนนี้ทำให้ “วัชระ แก้วสว่าง” & ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์ “ ติ ดดอย” จากหุ้น PACE

“ห่างไกลความเจริญตั้ง 2 ปี”

แต่ทำไม!! “ขาใหญ่” จึงยอมควักเงินซื้อ หุ้น เพซ ดีเวลลอปเม้นท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ของตระกูล “เตชะไกรศรี” “จำต้องซื้อ” เพราะมาร์เก็ตติ้งตั้งกฎ “ลับ ลวง พราง” ขายหุ้น PACE “พ่วง” หุ้น เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป (M) กระแสเมาท์มอยช่วงนั้น

“เจ้าหน้าตรวจสอบ ด้วยการฟังเทประหว่างมาร์เก็ตติ้งกับลูกค้าแล้ว ไม่พบพฤติกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด” “ชาลี จันทนยิ่งยง” รองเลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศผ่านสื่อบอก “เม่าน้อย ณ ดอยไอพีโอ”

“สวยไม่เข้าตา”

แนวโน้มเปิดต่ำจอง 3.50 บาท ซ้ำรอยรุ่นพี่ “อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์” (ANAN) ที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเกณฑ์มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เป็นรายแรก ทำให้หุ้น PACE ไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจากนักลงทุน ฉะนั้นไม่แปลกหากจะพบว่า รายชื่อคนจองซื้อหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบล.เอเซีย พลัส และเหล่าญาติมิตร สนิทกันของตระกูล เตชะไกรศรี

“เจ็บหนัก”

อีกสิบนาทีบ่ายโมงของวันที่ 6 ส.ค.2556 ก่อนวันซื้อขายหุ้น PACE เพียงวันเดียว บริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2556 “ขาดทุน” 83 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.057 บาท ขณะที่งบการเงินในช่วง 6 เดือนของปี 2556 “ขาดทุน” 135.67 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.093

ราคาเปิด 3.10 บาท ต่ำกว่าราคาจองที่ 3.50 บาท คือ ผลของ “ข่าวร้าย”

“ช้ำหนักอันดับหนึ่ง” ในฝั่งบุคคลธรรมดา ต้องยกให้ “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” ที่ได้รับการจัดสรรหุ้น PACE จำนวน 21.36 ล้านหุ้น คิดเป็น 3.56% มูลค่า 74.76 ล้านบาท ตามด้วย “นิกกี้-พิรุณ ชินวัตร” ลูกชายคนกลางของ “พายัพ ชินวัตร” ควักเงิน 14.70 ล้านบาท ซื้อหุ้น PACE จำนวน 4.20 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.70% “มานิต มัสยวาณิช” เจ้าของโรงงานผลิตรองเท้า Crazy Step จำนวน 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.50% มูลค่า 10.50 ล้านบาท
“เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” เซียนหุ้นพันล้าน คว้าไป 2 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.33% มูลค่า 7 ล้านบาท “พรชัย เตชะไกรศรี” 2 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.33% มูลค่า 7 ล้านบาท "บอม-ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการ “มิลล์คอน สตีล” (MILL) 1.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.25% มูลค่า 5.25 ล้านบาท

“คนดังขาดทุนหนัก” ในฟากผู้ลงทุนสถาบัน นำทีมโดย “จรีพร อนันตประยูร” จำนวน 1.87 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.31% มูลค่า 6.56 ล้านบาท “นายแพทย์ สมยศ อนันตประยูร” 1.87 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.31% มูลค่า 6.55 ล้านบาท ทั้งสองคนเป็นเจ้าของ “ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น” (WHA) และ “สุณี เสรีภาณุ” นายหญิงแห่ง “แม็คกรุ๊ป” (MC) 4.60 แสนหุ้น คิดเป็น 0.08% มูลค่า 1.61 ล้านบาท นักลงทุนทั้ง 3 ราย ซื้อผ่านบริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม วรรณ จำกัด

ผ่านมาเกือบ 1 เดือน ราคาหุ้น PACE ยังไม่พ้นราคาจอง 3.50 บาท มาไกลเต็มที่ 3.26 บาท (ตัวเลข ณ วันที่ 7 ส.ค.2556) ต่ำสุด 1.44 บาท (วันที่ 28 ส.ค.2556) ครั้งที่ราคาหุ้นลงแรง” “สรพจน์ เตชะไกรศรี” กรรมการผู้จัดการ ออกมาแสดงความเห็นว่า “หุ้นต่ำกว่าจองส่วนหนึ่งมาจากตลาดไม่ดี เราคุมไม่ได้ หุ้นจะขึ้นตอนไหน ผมไม่รู้คงปล่อยให้เป็นไปตามกลไลตลาด อยากให้นักลงทุนมองเราในระยะกลางและยาวมากกว่า ปีหน้าเรามีกำไรแน่นอน”

“ตอนได้รับการจัดสรรหุ้น IPO ไม่คิดว่าจะขาดทุนมากขนาดนี้ ผมไม่ได้สอบถามมาร์เก็ตติ้งว่า งบการเงินในช่วงไตรมาส 2/56 จะออกมาดีหรือไม่ แต่ไม่เป็นไรเล่นหุ้นมักมี “ความเสี่ยง” คงไม่โทษใคร มีกำไรต้องมีขาดทุนเป็นเรื่องธรรมดา” "เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" เซียนหุ้นเทคนิค บอกกับ “กรุงเทพธุรกิจ BIZ Week”

ยอมรับว่า เครียดมากที่ขาดทุนหุ้น PACE แต่ต้องยอมรับในการตัดสินใจของตัวเอง “ผมโชคดีหน่อยตรงที่ปีนี้มีกำไรสะสมจากการลงทุนหุ้นตัวอื่นๆ” ทำให้ไม่ค่อยคิดมากเท่าไร (หัวเราะ) ที่ผ่านมามีโอกาสทยอยขายหุ้น PACE ไปบ้างนิดหน่อย ขายขาดทุนก็ต้องยอม ตอนนี้ยังเหลือหุ้นอีกเยอะเหมือนกัน

“นักลงทุนรายใหญ่” เชื่อว่า ระยะสั้นหุ้น PACE ยังน่าเป็นห่วง ส่วนตัวหวั่นใจว่า นักลงทุนรายย่อยจะขายหุ้นต่อเนื่อง ต้องยอมรับว่า เร็วๆนี้จะยังไม่เห็นกำไรแท้จริงของบริษัท เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเกิดข้อเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นที่สามารถทำกำไรได้เลยโดยไม่ต้องรอเป็นปีๆ ฉะนั้นไม่แปลกหากนักลงทุนจะขายเพื่อไปซื้อตัวอื่น

“ณ เวลานี้หน้าที่หลักของผู้บริหาร คือ ต้องรีบสร้างกำไร เราควรให้เวลาเขา”

หากดูตามหนังสือชี้ชวน บริษัทบอกไว้แล้วว่า อีก 2 ปีข้างหน้าบริษัทจะกลับมามี “กำไรสุทธิ” ส่วนตัวเชื่อว่า เมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างจะสะท้อนผ่านราคาหุ้นอีกครั้ง ปัจจุบันโครงการของบริษัทมียอดขายเกินครึ่งแล้ว แต่ติดตรงที่ว่า ต้องโอนให้ได้ก่อนจึงจะบันทึกกำไรได้ ส่งผลให้บริษัทจะไม่มีกำไรจนกว่าจะปี 2558

“หุ้น PACE โชคร้ายเข้าช่วงจังหวะไม่ดี นักลงทุนบางรายหวั่นใจเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จึงปรับพอร์ตถือเงินสดแทน”

“เสี่ยป๋อง” ไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ความน่าสนใจของหุ้นไอพีโอให้ฟังว่า หุ้น IPO ยังคงดีเหมือนเดิม เปลี่ยนไปตรงที่ไม่ได้น่าสนใจทุกตัว นักลงทุนจะเริ่มเลือกการลงทุนมากขึ้น เน้นตัวที่มีผลประกอบการที่ดี และอาจเลือกลงทุนตามภาวะตลาดหุ้น หุ้นบ้างตัวดี แต่ตลาดไม่เอื้ออำนวยทำให้วันแรกของการเปิดซื้อขายทำได้ไม่ค่อยดีนัก หรือบางตัวผลประกอบการไม่ดี แต่เลือกเข้าวันดี หุ้นก็ไปได้เหมือนกัน

"บอม-ธิติพงศ์ ตั้งพูนผลวิวัฒน์” กรรมการผู้จัดการ “มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์” (MILL) เล่าว่า “ผมได้รับการจัดสรรหุ้น PACE ในฐานะเป็นเพื่อนกับเจ้าของ(หัวเราะ) จริงๆเรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือด้วยกัน พอเห็นว่าเขาจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จึงตัดสินใจซื้อ

ทำไมหุ้น PACE ต่ำจอง? เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัทของเพื่อนขอไม่วิจารณ์ดีกว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไร ถามว่าตัดขาดทุนหุ้น PACE หมดหรือยัง? “บอม” หัวเราะนำร่อง ก่อนพูดว่า ไม่บอกดีกว่า พูดอย่างงี้ละกัน หุ้น PACE เข้าตลาดหลักทรัพย์ในช่วงไม่ดี นักลงทุนหวั่นใจทั้งข่าวพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และพื้นฐานที่ไม่ค่อยสวยเท่าไรของบริษัท ราคาจึงดิ่งแบบนี้

“อนาคตบริษัทน่าจะกลับมามีกำไร ผมเชื่อแบบนั้นนะ เพราะมีโครงการรอสร้างรายได้ค่อนข้างเยอะ เมื่อวันเวลาผ่านไปทุกอย่างจะสะท้อนผ่านราคาหุ้น” เขา พูดปลอบใจตัวเอง

“ธิติพงศ์” บอกว่า หลายคนคิดว่า หุ้นไอพีโอหมดเสน่ห์แล้ว เพราะพักหลังๆสร้างกำไรได้น้อย แต่ส่วนตัวคิดว่า หุ้นไอพีโอยังคงน่าสนใจ แต่อาจไม่ใช่ทุกตัวเหมือนก่อน “ผมเปรียบตลาดหลักทรัพย์เป็น “ซุปเปอร์มาเก็ต” นักลงทุนสามารถเลือกช้อปได้เอง” เพียงแต่คุณต้องดูรายละเอียดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการ และการดำเนินกิจการ เพราะหุ้นไอพีโอบางตัวเป็นหุ้นที่ดี พื้นฐานแกร่ง แต่บังเอิญขายแพงไป ทำให้ราคาหุ้นแรกๆไม่ค่อยไปไหน

“ผมเชื่อว่า ตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/56 นักลงทุนคงรอดูงบไตรมาส 3/56 ก่อนว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน SET INDEX คงดีดขึ้นมา สถิติตลาดหุ้นปลายปีมักเป็นแบบนี้”

“บิสวีค” พยายามสอบถามเรื่องนี้กับ “เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล” “นายแพทย์ สมยศ อนันตประยูร” และสุณี เสรีภาณุ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ โดย “หมดสมยศ” เดินทางไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ถามเรื่องนี้กับ “พีรเจต สุวรรณนภาศรี” ในฐานะนักลงทุนวีไอรายใหญ่ และผู้บริหาร “ยูเนี่ยน อินทราโก้” (UIC) “ผมไม่มีหุ้น PACE ขอบอกก่อน” แต่เท่าที่ดูๆธุรกิจค่อนข้างมีความเสี่ยง เมื่อเทียบกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เขาเป็นพร็อพเพอร์ตี้รุ่นใหม่ที่ไม่มีการซื้อที่ดินเก็บไว้ ออกแนวอยากสร้างโครงการตรงไหนค่อยซื้อที่ดินทำนองนั้น

ฉะนั้นเขาย่อมมีต้นทุนสูงกว่าบริษัทอื่นๆ เมื่อกลยุทธ์การทำธุรกิจเป็นเช่นนั้น ความไม่แน่นอนในการทำงานย่อมสูงมาก เมื่อเทียบกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายเก่าๆที่เขาจะค่อยๆเก็บที่ดินไว้ในมือ เมื่อได้จังหวะดีเขาจะนำที่ดินออกมาพัฒนา ต้นทุนจึงถูกกว่าPACE

หากหุ้น PACE มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือค่า P/E เท่ากับหุ้นอสังหาตัวอื่นๆ ความน่าสนใจของหุ้น PACE ยิ่งลดลง นักลงทุนคงไม่ถือหุ้น เพื่อรออนาคต สู้ไปซื้อตัวอื่นที่สร้างผลตอบแทนให้เลยจะดีกว่า ยิ่งการที่เขาบอกว่า ลูกค้าของบริษัทเป็นคนต่างชาติ นักลงทุนยิ่งลังเล บางคนต้องถอยหลังมาดูว่า ลูกค้าเหล่านั้นซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือซื้อเพื่อเก็งกำไร

เขา บอกว่า หุ้นไอพีโอยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อย่านำหุ้นตัวสองตัวที่เพิ่งเทรดไปมาเป็นบรรทัดฐาน เพียงแต่หุ้นไอพีโอจะไม่หวือหวาเหมือนต้นปีที่ผ่านมา ช่วงนั้น SET index ดีมาก ฉะนั้นภาวะตอนนี้นักลงทุนควรดูภาพรวมตลาดหุ้นเป็นหลัก หากมีแนวโน้มไปต่อ ก็น่าจะ “ลุย” ได้ สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ก่อนลงทุนควรศึกษาข้อมูลไฟลิ่ง

หุ้นไอพีโอเป็นหุ้นที่มีความสดใหม่ของข้อมูล ไม่เหมือนหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ดังนั้นที่ปรึกษาทางการเงินควรเปิดเผยข้อมูลให้ชัดเจน หากให้ข้อมูลบางอย่างไม่ครบถ้วน หรือเพิ่งมาเปิดเผยก่อนซื้อขายไม่กี่วัน นักลงทุนจะเกิดอาการเอือมระอาหุ้นไอพีโอ “พีรเจต ทิ้งท้ายให้คิด

สองโบรกเกอร์ส่องหุ้น PACE
บล.เอเซีย พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน หุ้น เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่นระบุในบทวิเคราะห์ว่า ภายในปี 2557 PACE จะพลิกกลับมามี “กำไรสุทธิ” ประมาณ 267 ล้านบาท และมียอดขาย 388 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่อาจมีขาดทุน 165 ล้านบาท และยอดขาย 1,847 ล้านบาท เพราะบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากการขายโครงการที่หัวหิน และรับรู้รายได้จากค่าเช่า Retail Cube ที่จะเข้ามาเต็มปี

จากนั้น “ฐานะการเงิน” จะเริ่มโดดเด่น ตั้งแต่ปี 2558 คาดว่าจะเห็น “กำไรสุทธิ” ก้าวกระโดดเป็น 2,000 ล้านบาท และมียอดขาย 9,554 ล้านบาท เพราะบริษัทจะเริ่มส่งมอบคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการ The Ritz-Carlton Residences Bangkok และโครงการหลังสวน จากนั้นบริษัทจะมี “กำไรสุทธิ” ทรงตัวระดับสูงตั้งแต่ในปี 2559 เป็นต้นไป

“ราคาเหมาะสมสิ้นปี 2556 ของหุ้น PACE อยู่ที่ 5.2 บาทต่อหุ้น”

ฟากบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่าในปี 2556 บริษัทอาจมีผลขาดทุน 156 ล้านบาท ปี 2557 ขาดทุน 138 ล้านบาท และจะกลับมามี “กำไรสุทธิ” ในปี 2558 ประมาณ 1,770 ล้านบาท เหตุที่ทำให้บริษัทยังคงผลขาดทุน 2 ปีซ้อน เป็นเพราะบริษัทมีรายได้จากการโอนโครงการลดลด และเหลือโครงการเพื่อขายไม่มากนัก แถมโครงการใหม่ยังอยู่ระหว่างพัฒนา ขณะเดียวกันยังมีค่าใช้จ่ายขายและบริหารสูงเมื่อเทียบกับรายได้โอน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายการตลาด เพื่อส่งเสริมการขายโครงการ มหานคร

PACE ต้องการเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นสินค้า High end โดยมีโครงการที่ดำเนินการไปแล้ว 2 แห่ง คือ โครงการ ไฟคัสเลนคอนโดมิเนียม มูลค่า 910 ล้านบาท และโครงการศาลาแดง เรสซิเดนเซส มูลค่า 2,300 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 1 แห่ง คือ โครงการมหานคร สูง 77 ชั้น มูลค่า 13,000 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบไตรมาส 4/2558 โครงการดังกล่าวเกิดจากร่วมทุนกับ “ไอบีซี ไทยแลนด์ แอลทีดี” ในสัดส่วน 50:50

บริษัทมีโครงการในอนาคต 2 แห่ง คือ โครงการหัวหินวิลล่า มูลค่า 2,700 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 2/2556 เริ่มส่งมอบไตรมาส 4/2557 และโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูปเปอร์ลักชัวรี่ ถนนหลังสวน มูลค่า 6,000 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2556 เริ่มส่งมอบไตรมาส 4/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่