สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
แต่งงานมานาน... ก็ครบรอบปีที่ 20 ในปีนี้น่ะแหละ เป็น 20 ปี ที่ทำให้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณ...ที่ทำให้โลกนี้มีชีวิตคู่
ทุกวันนี้ยังจูงมือกันเดิน ปรับทุกข์ด้วยกัน เติมสุขให้กัน ช่วยแก้ปัญหาให้กัน ยิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ซับน้ำตาให้กัน และเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ช่วงแรกของชีวิตคู่ ว่าก็ว่าเถอะ...เป็นช่วงที่อีโก้จัดพอดู ประมาณว่าแม้ไม่ถึงกับสวยเลือกได้ แต่ก็เป็นสาวทำงานที่มั่นใจในตัวเองเอาเรื่อง ใช้ชีวิตแบบฉันเป็นฉันเอง พอไม่พอใจอะไรก็ใช้คำพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจ ประมาณว่าทั้งหงุดหงิด... ทั้งห้วน... ทั้งเอาแต่ใจ... (เป็นอาการ “ได้ใจ” ของคนที่รู้ว่า “เขาแคร์” ซึ่งพอทำบ่อยเข้าก็เคยชิน) คนข้างกายไม่เคยร่วมทะเลาะด้วย เขาได้แต่นิ่งๆ ไม่พูดอะไร
แล้ววันหนึ่ง...ในอารมณ์สบายๆ เขาเอ่ยปากขึ้นมาว่า ทำไมเราไม่เหมือนแต่ก่อน ทั้งที่ในความเป็นจริง เมื่อตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน เราตกลงกันเอง เราตัดสินใจกันเอง เราใช้ความรักของเราเป็นเดิมพันด้วยกันทั้งสองคนเอง ผู้ใหญ่จะท้วงติงหรือใครจะห้ามปราม หรือไม่ว่าอุปสรรคใดๆ เราก็จับจูงมือผ่านมันมาด้วยกัน ตั้งใจที่จะแต่งงานกันและใช้ชีวิตร่วมกันให้ได้ ก็แล้วทำไมพอได้มาอยู่ร่วมกันจริงๆ ทำไมเราจึงเปลี่ยนไป ไม่ใส่ใจ ไม่ถนอมน้ำใจ นอกจากจะไม่รักษาน้ำใจแล้วยังพูดจาเหมือนว่าไม่แคร์ ก็เราเลือกที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันเองไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเมื่อได้มาอยู่ร่วมกันจริงๆ แล้วเรากลับละเลย...
คนข้างกายเขาพูดเท่านี้จริงๆ แต่เราอึ้ง... อึ้งแบบพูดไม่ออก ก็จริง...จริงทุกอย่างที่เขาพูดน่ะแหละ วันนั้น...ไม่ได้รับปาก ไม่ได้สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลง แต่เก็บกลับมาทบทวน และ...ละอายใจสุดๆ ตั้งแต่นั้นมาก็ปรับตัวปรับใจ กลับมาพูดเพราะเสนาะหูและใส่ใจเขาดังเช่นเดิมเหมือนช่วงที่เคยรักกัน ทุกวันนี้ผ่านมา 20 ปี ยังเรียก “ป๊าคะ” อยู่เลย
แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นไปเสียทั้งหมด เพราะหลังจากมีลูก 2 คน ก็มีบางช่วง..บางปี..บางอารมณ์... ที่ความหงุดหงิดเจ้าอารมณ์จะกลับมาเป็นระลอก ก็มีที่ถูกติงอยู่อีก 2-3 ครั้ง ก็น่ะแหละ...คนเราพอถูกท้วงด้วยเหตุด้วยผล อาการ “องค์ลง” ก็จะค่อยๆ คลาย
ในชีวิตคู่... ที่เต็มตื้นที่สุดก็เห็นจะเป็นช่วงเจ็บไข้ได้ป่วย ในวันที่เข้ารับการผ่าตัด ก็มีใครอีกคนคอยกุมมือให้กำลังใจอยู่ข้างเตียง ในวันที่เขาล้มหมอนนอนเสื่อ ก็มีเราที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำกันไป... มันเป็นอะไรที่อิ่มสุข และรู้สึกว่า...เพียงพอแล้ว ก็ชีวิตคนเราก็เท่านี้
อันที่จริง ชีวิตก่อนหน้า 20 ปีนี้ ก็มีที่ตัดสินใจผิดพลาด มีผิดหวัง มีเจ็บปวด แต่ก็แหละนะ... ล้มได้ก็ลุกได้ หากการเลือกในใครคนหนึ่งหมายถึงความผิดพลาด ก็ใช่ว่าจะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ วันนี้คุณ จขกท. ยังแข็งแรงทั้งกายและใจ การใช้ชีวิตคนเดียวยังไม่มีอะไรให้กังวลนัก แต่ใช่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะไม่มีวันที่...คุณอาจอ่อนแอลง ทั้งทางกายและทางใจ...
คงไม่ต้องบอกอีกครั้งหรอกนะคะ... ว่าการมีใครสักคนจับจูงมือเดินไปด้วยกัน ร่วมทางไปด้วยกันนั้น ...มีความสุขอย่างมากมาย...เพียงใด...
ทุกวันนี้ยังจูงมือกันเดิน ปรับทุกข์ด้วยกัน เติมสุขให้กัน ช่วยแก้ปัญหาให้กัน ยิ้มด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน ซับน้ำตาให้กัน และเป็นกำลังใจให้กันและกัน
ช่วงแรกของชีวิตคู่ ว่าก็ว่าเถอะ...เป็นช่วงที่อีโก้จัดพอดู ประมาณว่าแม้ไม่ถึงกับสวยเลือกได้ แต่ก็เป็นสาวทำงานที่มั่นใจในตัวเองเอาเรื่อง ใช้ชีวิตแบบฉันเป็นฉันเอง พอไม่พอใจอะไรก็ใช้คำพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจ ประมาณว่าทั้งหงุดหงิด... ทั้งห้วน... ทั้งเอาแต่ใจ... (เป็นอาการ “ได้ใจ” ของคนที่รู้ว่า “เขาแคร์” ซึ่งพอทำบ่อยเข้าก็เคยชิน) คนข้างกายไม่เคยร่วมทะเลาะด้วย เขาได้แต่นิ่งๆ ไม่พูดอะไร
แล้ววันหนึ่ง...ในอารมณ์สบายๆ เขาเอ่ยปากขึ้นมาว่า ทำไมเราไม่เหมือนแต่ก่อน ทั้งที่ในความเป็นจริง เมื่อตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน เราตกลงกันเอง เราตัดสินใจกันเอง เราใช้ความรักของเราเป็นเดิมพันด้วยกันทั้งสองคนเอง ผู้ใหญ่จะท้วงติงหรือใครจะห้ามปราม หรือไม่ว่าอุปสรรคใดๆ เราก็จับจูงมือผ่านมันมาด้วยกัน ตั้งใจที่จะแต่งงานกันและใช้ชีวิตร่วมกันให้ได้ ก็แล้วทำไมพอได้มาอยู่ร่วมกันจริงๆ ทำไมเราจึงเปลี่ยนไป ไม่ใส่ใจ ไม่ถนอมน้ำใจ นอกจากจะไม่รักษาน้ำใจแล้วยังพูดจาเหมือนว่าไม่แคร์ ก็เราเลือกที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันเองไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเมื่อได้มาอยู่ร่วมกันจริงๆ แล้วเรากลับละเลย...
คนข้างกายเขาพูดเท่านี้จริงๆ แต่เราอึ้ง... อึ้งแบบพูดไม่ออก ก็จริง...จริงทุกอย่างที่เขาพูดน่ะแหละ วันนั้น...ไม่ได้รับปาก ไม่ได้สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลง แต่เก็บกลับมาทบทวน และ...ละอายใจสุดๆ ตั้งแต่นั้นมาก็ปรับตัวปรับใจ กลับมาพูดเพราะเสนาะหูและใส่ใจเขาดังเช่นเดิมเหมือนช่วงที่เคยรักกัน ทุกวันนี้ผ่านมา 20 ปี ยังเรียก “ป๊าคะ” อยู่เลย
แต่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นไปเสียทั้งหมด เพราะหลังจากมีลูก 2 คน ก็มีบางช่วง..บางปี..บางอารมณ์... ที่ความหงุดหงิดเจ้าอารมณ์จะกลับมาเป็นระลอก ก็มีที่ถูกติงอยู่อีก 2-3 ครั้ง ก็น่ะแหละ...คนเราพอถูกท้วงด้วยเหตุด้วยผล อาการ “องค์ลง” ก็จะค่อยๆ คลาย
ในชีวิตคู่... ที่เต็มตื้นที่สุดก็เห็นจะเป็นช่วงเจ็บไข้ได้ป่วย ในวันที่เข้ารับการผ่าตัด ก็มีใครอีกคนคอยกุมมือให้กำลังใจอยู่ข้างเตียง ในวันที่เขาล้มหมอนนอนเสื่อ ก็มีเราที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำกันไป... มันเป็นอะไรที่อิ่มสุข และรู้สึกว่า...เพียงพอแล้ว ก็ชีวิตคนเราก็เท่านี้
อันที่จริง ชีวิตก่อนหน้า 20 ปีนี้ ก็มีที่ตัดสินใจผิดพลาด มีผิดหวัง มีเจ็บปวด แต่ก็แหละนะ... ล้มได้ก็ลุกได้ หากการเลือกในใครคนหนึ่งหมายถึงความผิดพลาด ก็ใช่ว่าจะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ วันนี้คุณ จขกท. ยังแข็งแรงทั้งกายและใจ การใช้ชีวิตคนเดียวยังไม่มีอะไรให้กังวลนัก แต่ใช่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะไม่มีวันที่...คุณอาจอ่อนแอลง ทั้งทางกายและทางใจ...
คงไม่ต้องบอกอีกครั้งหรอกนะคะ... ว่าการมีใครสักคนจับจูงมือเดินไปด้วยกัน ร่วมทางไปด้วยกันนั้น ...มีความสุขอย่างมากมาย...เพียงใด...
แสดงความคิดเห็น
การแต่งงาน มีคู่ครอง คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
ผมเป็นผู้ชายวัย 36 ยังโสด(ไม่เกย์) มีหน้าที่การงานและการศึกษาอยู่ในระดับที่ดีสมควรแก่อายุ มีผู้หญิงเข้ามาบ้างเหมือนกัน แต่...
ผมอยู่คนเดียว บางครั้งรู้สึกคล่องตัวในการทำอะไร และรู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องเป็นห่วงแคร์อะไรใครมาก บางครั้งไปไหนมาไหนคนเดียว กินข้าวคนเดียว ยกเว้นบางช่วงเวลากับเพื่อนๆบ้าง
มองเห็นคนที่มีคู่บางคนก็มีความสุข ไม่เหงา แล้วอิจฉา แต่ก็หลายคู่เพิ่มปัญหาในชีวิต และชีวิตครอบครัวก็ไม่อบอุ่น พบกับความหย่าร้าง ทั้งที่มีพร้อมทั้งสถานะการทำงาน และการเงิน
ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทั้งที่มีคู่แล้ว และยังโสด รู้สึกยังไงบ้างกับชีวิตคู่ บางครั้งก็อยากมี บางครั้งก็คิดว่าอยู่คนเดียวดีแล้ว แชร์ประสบการณ์หรือความคิดเห็นให้ฟังหน่อยครับ