เครดิตบทความโดย.....Jo-oF-GluE
ด้วยการที่หุ้นสามัญนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายหุ้นได้ทุกวัน (ที่ตลาดหุ้นเปิดทำการ) สิ่งที่ดูเหมือนจะมีแต่ผลดีนี้ กลับเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมาก "ขาดทุน" ในตลาดหุ้น
ก่อนที่เราจะลงมือซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความแรก เราต้องกำหนดวัตถุประสงค์ในการซื้อก่อนว่าจะซื้อเพื่อลงทุน หรือเพื่อเก็งกำไร และหากเก็งกำไร ก็ควรจะกำหนดด้วยว่าเก็งกำไรระยะ สั้น กลาง หรือ ยาว (ถ้าเป็นไปได้ กำหนดไปเลยว่า จะ Day-trade หรือ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี)
การนั่งเฝ้าจอเทรดหุ้นนั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำก็ต่อเมื่อคุณเป็น "นักเก็งกำไรระยะสั้น" หรือการ Day-trade เท่านั้น เพราะพวกเขาจำเป็นต้องดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอยู่ตลอดเวลา บางทีหากช้าไปเพียงวินาทีเดียว ราคาก็ขยับขึ้นหรือลงไปแล้ว ซึ่งการขยับขึ้นหรือลงเพียงช่องหรือสองช่องนั้นก็อาจจะหมายถึงจำนวนเงินมหาศาลได้สำหรับคนที่มีวงเงินจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นนักเก็งกำไรยังต้องจับตาดูสัญญาณทางเทคนิคอย่างใกล้ชิด ซึ่งการเทรดของพวกเขา (Technical พันธ์แท้) มักจะมีระบบที่ชัดเจน อย่างเช่นการซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน หรือการกำหนดจุดขาย Cut Loss เป็นต้น
ในทางกลับกัน หากวัตถุประสงค์ที่เรากำหนดไว้ในตอนซื้อหุ้นนั้นเป็นการ "ซื้อเพื่อลงทุน" หรือเก็งกำไร ระยะกลาง ถึง ยาว นั้น การนั่งเฝ้าจอเทรดหุ้นมักจะส่งผลทางลบมากกว่าทางบวก
เนื่องจากอารมณ์ของมนุษย์ทุกคนนั้นล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "ความโลภ และความกลัว" (Greed & Fear) การเห็นความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของเรา หรือแม้กระทั่งหุ้นที่เรามองๆไว้ จะส่งผลทำให้อารมณ์ของเราแปรปรวน ทำให้เราขาดเหตุผล และอาจตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายๆ
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเราเห็นว่าหุ้นที่เราเล็งๆไว้นั้นขยับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ในมือเราไม่มีเงินสด เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นใน port (ซึ่งก่อนหน้าที่จะถูกความโลภครอบงำนั้นวิเคราะห์แล้วว่ามี Margin of Safety มากกว่าตัวที่เล็ง เพราะไม่อย่างนั้นคงซื้อตัวที่เล็งไปตั้งแต่แรกแล้ว) และนำเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่ด้วยความกลัวว่าตนเองจะตกรถ เป็นต้น ผลลัพธ์ที่เห็นได้บ่อยก็คือ เมื่อเราซื้อหุ้นตัวที่กำลังวิ่งเสร็จสิ้น ราคาของมันกลับนิ่ง และปรับตัวลดลงมา และในอีกอึดใจต่อมา ราคาของหุ้นตัวที่เราเพิ่งขายออกไปก็จะหันมาวิ่งแทน สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้อาจแลดูเหมือนเรื่องตลกขบขัน หรือเรื่องบังเอิญ แต่แท้จริงแล้วมันคือเทคนิคทางจิตวิทยาที่เจ้ามือซึ่งถือหุ้นนั้นๆอยู่จำนวนมากใช้เพื่อหากำไรกับรายย่อยที่สับสนใจอารมณ์อย่างเราๆ เมื่อนั้นเราก็จะรู้สึกถึงความ Fail และเพิ่งจะได้สติกลับมา พร้อมๆกับเงินและโอกาสที่เสียไป
หากเราตั้งสติคิดดีๆ ในมุมมองของการซื้อหุ้นเพื่อลงทุนนั้น การวิ่งขึ้นวิ่งลงของหุ้นที่เราถือในระหว่างวันนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องรู้เลยก็ได้ ในเมื่อวัตถุประสงค์ของเราคือการถือหุ้นตัวนั้นไปจนกว่าจะมีปัจจัย หรือพื้นฐานสำคัญเปลี่ยนแปลง ถึงหุ้นเราจะขึ้นหรือลงไป 10% ในระหว่างวัน (โดนปั่น) เราก็ไม่มีเหตผลอะไรที่จะต้องทำการซื้อขายมันอยู่แล้ว เพราะมันเป็นเพียงแค่ความผันผวนระยะสั้นเท่านั้น สุดท้าย ในระยะยาว ราคาหุ้นก็จะสะท้อนถึงพื้นฐานและกำไรของบริษัทอยู่ดี
สิ่งที่เราพึงกระทำคือการวิเคราะห์ให้ดีก่อนทำการซื้อขาย ติดตามข่าวคราวการเคลื่อนไหวของบริษัท รวมถึง Trend และปัจจัยภายนอกที่จะมีผลกระทบต่อกิจการของบริษัท มากกว่าที่จะมานั่งเฝ้าราคาหุ้นที่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันผันผวนเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
การนั่งเฝ้าจอเทรดหุ้นนั้นเป็นเหมือนสิ่งเสพย์ติดชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะละสายตาไปจากหน้าจอ Ticker หรือ Watch Lists ของเรา
นักลงทุนบางคนถึงกับไม่เป็นอันทำงาน จิตใจว้าวุ่น นั่งเฝ้าดูแต่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น จนผิด Concept การปล่อยให้เงินทำงานด้วยตัวมันเอง กลายเป็นว่าเราขาดทุนจากการลงทุนเพราะปล่อยตัวไปตามอารมณ์และยังเสียงานเสียการอีกด้วย
ปล. ผมเองที่ดูได้ไม่ใช่เพราะเก่ง กล้า สามารถใจแข็งอะไร แต่เป็นเพราะทุนต่ำ ตุนกำไรไว้พอสมควร จึงทำให้ทนแรงต้านความผันผวนได้ดี บางทีกำไร หรือขาดทุน วูบวาบเพิ่มๆลดๆ 6-7 หลัก เล่นเอาคลื่นเหียน ตามอารมณ์ ซึ่งหากผมเล่นสั้นรับรองครับ สภาพไม่ต่างจากหลายกระทู้ที่บ่นกันแน่ๆ จึงอยากฝากไว้ครับ เม่าแบบเราไม่เหมาะเล่นสั้นเพื่อเป็นเหยื่อของตลาด แต่ควรศึกษาในสายพื้นฐานให้ลึก ซื้อแล้วรอเวลาสะท้อนราคา....ตรงนี้สำคัญนะ สะท้อนราคาจากต่ำไปหาสูงนะครับ ไม่ใช่จากสูงไปหาต่ำและคัททิ้งเหมือนที่หลายๆคนเป็น
ปล. เราอาจเก่งและบินสูงเหนือคู่แข่ง แต่พึงระลึกไว้เสมอเถอะครับ มีคนที่เก่งและแข็งแรงกว่าเราอีกมากที่มองเราแค่ต่ำเตี้ยติดดิน
หายนะจากการนั่งเฝ้าจอเทรดหุ้น ( RE-RUN )
เครดิตบทความโดย.....Jo-oF-GluE
ด้วยการที่หุ้นสามัญนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูง นักลงทุนสามารถทำการซื้อขายหุ้นได้ทุกวัน (ที่ตลาดหุ้นเปิดทำการ) สิ่งที่ดูเหมือนจะมีแต่ผลดีนี้ กลับเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมาก "ขาดทุน" ในตลาดหุ้น
ก่อนที่เราจะลงมือซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความแรก เราต้องกำหนดวัตถุประสงค์ในการซื้อก่อนว่าจะซื้อเพื่อลงทุน หรือเพื่อเก็งกำไร และหากเก็งกำไร ก็ควรจะกำหนดด้วยว่าเก็งกำไรระยะ สั้น กลาง หรือ ยาว (ถ้าเป็นไปได้ กำหนดไปเลยว่า จะ Day-trade หรือ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี)
การนั่งเฝ้าจอเทรดหุ้นนั้นเป็นสิ่งที่พึงกระทำก็ต่อเมื่อคุณเป็น "นักเก็งกำไรระยะสั้น" หรือการ Day-trade เท่านั้น เพราะพวกเขาจำเป็นต้องดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอยู่ตลอดเวลา บางทีหากช้าไปเพียงวินาทีเดียว ราคาก็ขยับขึ้นหรือลงไปแล้ว ซึ่งการขยับขึ้นหรือลงเพียงช่องหรือสองช่องนั้นก็อาจจะหมายถึงจำนวนเงินมหาศาลได้สำหรับคนที่มีวงเงินจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นนักเก็งกำไรยังต้องจับตาดูสัญญาณทางเทคนิคอย่างใกล้ชิด ซึ่งการเทรดของพวกเขา (Technical พันธ์แท้) มักจะมีระบบที่ชัดเจน อย่างเช่นการซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้าน หรือการกำหนดจุดขาย Cut Loss เป็นต้น
ในทางกลับกัน หากวัตถุประสงค์ที่เรากำหนดไว้ในตอนซื้อหุ้นนั้นเป็นการ "ซื้อเพื่อลงทุน" หรือเก็งกำไร ระยะกลาง ถึง ยาว นั้น การนั่งเฝ้าจอเทรดหุ้นมักจะส่งผลทางลบมากกว่าทางบวก
เนื่องจากอารมณ์ของมนุษย์ทุกคนนั้นล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "ความโลภ และความกลัว" (Greed & Fear) การเห็นความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของเรา หรือแม้กระทั่งหุ้นที่เรามองๆไว้ จะส่งผลทำให้อารมณ์ของเราแปรปรวน ทำให้เราขาดเหตุผล และอาจตัดสินใจผิดพลาดได้ง่ายๆ
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเราเห็นว่าหุ้นที่เราเล็งๆไว้นั้นขยับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ในมือเราไม่มีเงินสด เราอาจจะตัดสินใจขายหุ้นใน port (ซึ่งก่อนหน้าที่จะถูกความโลภครอบงำนั้นวิเคราะห์แล้วว่ามี Margin of Safety มากกว่าตัวที่เล็ง เพราะไม่อย่างนั้นคงซื้อตัวที่เล็งไปตั้งแต่แรกแล้ว) และนำเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่ด้วยความกลัวว่าตนเองจะตกรถ เป็นต้น ผลลัพธ์ที่เห็นได้บ่อยก็คือ เมื่อเราซื้อหุ้นตัวที่กำลังวิ่งเสร็จสิ้น ราคาของมันกลับนิ่ง และปรับตัวลดลงมา และในอีกอึดใจต่อมา ราคาของหุ้นตัวที่เราเพิ่งขายออกไปก็จะหันมาวิ่งแทน สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้อาจแลดูเหมือนเรื่องตลกขบขัน หรือเรื่องบังเอิญ แต่แท้จริงแล้วมันคือเทคนิคทางจิตวิทยาที่เจ้ามือซึ่งถือหุ้นนั้นๆอยู่จำนวนมากใช้เพื่อหากำไรกับรายย่อยที่สับสนใจอารมณ์อย่างเราๆ เมื่อนั้นเราก็จะรู้สึกถึงความ Fail และเพิ่งจะได้สติกลับมา พร้อมๆกับเงินและโอกาสที่เสียไป
หากเราตั้งสติคิดดีๆ ในมุมมองของการซื้อหุ้นเพื่อลงทุนนั้น การวิ่งขึ้นวิ่งลงของหุ้นที่เราถือในระหว่างวันนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องรู้เลยก็ได้ ในเมื่อวัตถุประสงค์ของเราคือการถือหุ้นตัวนั้นไปจนกว่าจะมีปัจจัย หรือพื้นฐานสำคัญเปลี่ยนแปลง ถึงหุ้นเราจะขึ้นหรือลงไป 10% ในระหว่างวัน (โดนปั่น) เราก็ไม่มีเหตผลอะไรที่จะต้องทำการซื้อขายมันอยู่แล้ว เพราะมันเป็นเพียงแค่ความผันผวนระยะสั้นเท่านั้น สุดท้าย ในระยะยาว ราคาหุ้นก็จะสะท้อนถึงพื้นฐานและกำไรของบริษัทอยู่ดี
สิ่งที่เราพึงกระทำคือการวิเคราะห์ให้ดีก่อนทำการซื้อขาย ติดตามข่าวคราวการเคลื่อนไหวของบริษัท รวมถึง Trend และปัจจัยภายนอกที่จะมีผลกระทบต่อกิจการของบริษัท มากกว่าที่จะมานั่งเฝ้าราคาหุ้นที่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันผันผวนเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
การนั่งเฝ้าจอเทรดหุ้นนั้นเป็นเหมือนสิ่งเสพย์ติดชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะละสายตาไปจากหน้าจอ Ticker หรือ Watch Lists ของเรา
นักลงทุนบางคนถึงกับไม่เป็นอันทำงาน จิตใจว้าวุ่น นั่งเฝ้าดูแต่ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น จนผิด Concept การปล่อยให้เงินทำงานด้วยตัวมันเอง กลายเป็นว่าเราขาดทุนจากการลงทุนเพราะปล่อยตัวไปตามอารมณ์และยังเสียงานเสียการอีกด้วย
ปล. ผมเองที่ดูได้ไม่ใช่เพราะเก่ง กล้า สามารถใจแข็งอะไร แต่เป็นเพราะทุนต่ำ ตุนกำไรไว้พอสมควร จึงทำให้ทนแรงต้านความผันผวนได้ดี บางทีกำไร หรือขาดทุน วูบวาบเพิ่มๆลดๆ 6-7 หลัก เล่นเอาคลื่นเหียน ตามอารมณ์ ซึ่งหากผมเล่นสั้นรับรองครับ สภาพไม่ต่างจากหลายกระทู้ที่บ่นกันแน่ๆ จึงอยากฝากไว้ครับ เม่าแบบเราไม่เหมาะเล่นสั้นเพื่อเป็นเหยื่อของตลาด แต่ควรศึกษาในสายพื้นฐานให้ลึก ซื้อแล้วรอเวลาสะท้อนราคา....ตรงนี้สำคัญนะ สะท้อนราคาจากต่ำไปหาสูงนะครับ ไม่ใช่จากสูงไปหาต่ำและคัททิ้งเหมือนที่หลายๆคนเป็น
ปล. เราอาจเก่งและบินสูงเหนือคู่แข่ง แต่พึงระลึกไว้เสมอเถอะครับ มีคนที่เก่งและแข็งแรงกว่าเราอีกมากที่มองเราแค่ต่ำเตี้ยติดดิน