สรุปว่าข่าว "การศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน" เป็นความเ้ข้าใจผิดสินะ?

การศึกษาไทย "บ๊วยอาเซียน" เรื่องจริงหรือเข้าใจคลาดเคลื่อน


กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงในสังคมไทยตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา กรณีข่าวการจัดอันดับของ เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum - WEF) พบว่าการศึกษาไทยอยู่รั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยได้เพียงอันดับ 8 เท่านั้น ถึงขนาดเจ้ากระทรวงอย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง ก็ออกปากยอมรับว่าคุณภาพการศึกษาไทย ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจนัก

อีกด้านหนึ่ง มีเสียงทักท้วงปรากฏทั่วไปในโลกออนไลน์ ถึงวิธีการจัดอันดับของ WEF ว่ามีมาตรฐานหรือไม่? รวมถึงการหยิบยกเพียงบางประเด็นมานำเสนอ ทำให้อาจมีความคลาดเคลื่อน ล่าสุด ดร.นพดล กรรณิกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา กระทรวงวัฒนธรรม และผู้อำนวยการสำนักวิจัย มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC Poll) ก็ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยเช่นกัน

“หลังจากใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ในการศึกษาผลการจัดอันดับการศึกษาในประเทศ โดยรายงานของเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum - WEF) และข้อมูลที่ค้นพบในกระแสข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมไทย ทำให้เกิดประเด็นขึ้นในความคิดว่า การศึกษาของประเทศไทยน่าจะถูกจัดอันดับรั้งท้ายของอาเซียนจริงๆ

เพราะยังไม่เจอนักวิชาการคนไทย ระดมความคิดรวบรวมข้อมูลวิพากษ์วิจารณ์รายงานของ WEF อย่างจริงจังในเชิงวิธีการศึกษา (Methodology) การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล และเมื่ออ่านต้นฉบับของรายงาน WEF ฉบับเต็มที่ http://www.weforum.org/reports/global-competitiveness-report-2013-2014 พบว่ามีประเด็นที่น่าพิจารณาเบื้องต้นดังนี้”


ดร.นพดล กล่าว และอธิบายต่อไปว่า ข้อเท็จจริงที่พบจากรายงานฉบับนี้ หลักๆ มี 3 ประการคือ 1.ประเทศไทยถูกจัดอันดับโดย WEF ได้ที่ 37 จาก 148 อันดับของโลก ในตัวชี้วัดการแข่งขันโดยภาพรวม และเป็น อันดับ 4 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ มาเลเซียและบรูไน ซึ่งสามารถดูต้นฉบับได้ที่ http://www3.weforum.org/docs/GCR2013-14/GCR_Rankings_2013-14.pdf ดังนั้นถือว่าอยู่ในอันดับที่ดีเลยทีเดียว

2.รายงานด้านการศึกษา (Thailand’s Education) ของประเทศไทย 5 ตัวชี้วัดจากทั้งหมด 8 ตัวชี้วัด อยู่ในอันดับที่ค่อนข้างดี ไม่ได้เลวร้ายเหมือนในข่าวที่แพร่สะพัดออกมา โดยหมวดด้านการศึกษาอยู่ในอันดับที่ดีที่สุด คือด้านการฝึกอบรม ที่ถามคนตอบแบบสอบถามในประเทศไทย ถึงการลงทุนด้านการฝึกอบรมบุคลากร และประเทศไทยได้อยู่ในอันดับที่ 50 ของโลกจาก 148 อันดับทั่วโลก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณารายละเอียดของแต่ละตัวชี้วัดด้านการศึกษาในอาเซียน จะพบว่า การศึกษาของไทยในรายงานของ WEF ไม่น่าจะทำให้คนไทยรู้สึกแย่เท่าไรนัก

“ผลการจัดอันดับที่มีปัญหา ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน คือการไปหยิบยกเพียงตัวชี้วัดเดียวขึ้นมาสรุปภาพรวมของการศึกษาของประเทศทั้งหมด ซึ่งไม่ถูกต้อง และข้อมูลที่ได้จากตัวชี้วัดนั้นมาจากความคิดเห็น (Opinion) ของผู้ตอบแบบสอบถามที่อ้างว่าเป็นผู้นำด้านธุรกิจ (Business Leaders) ของประเทศ แต่เมื่อไปอ่านรายระเอียดในรายงานฉบับเดียวกันของ WEF กลับระบุว่า เป็นเพียงกลุ่มคนที่มีศักยภาพทางธุรกิจ (Potential) ไม่ใช่ผู้นำด้านธุรกิจที่แท้จริง

และคำถามที่พบในปี 2008 (พ.ศ.2551) ถามทำนองว่า..คุณคิดว่าระบบการศึกษาของประเทศคุณ ได้บรรลุความต้องการต่างๆ ของเศรษฐกิจที่แข่งขันมากน้อยเพียงไร 1 คือไม่บรรลุความต้องการ และ 7 คือบรรลุความต้องการ..ซึ่งการตั้งคำถามแบบนี้ มีปัญหาถกเถียงกันได้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากคนตอบคนหนึ่งอาจจะนิยามถ้อยคำต่างๆ ในข้อคำถามที่แตกต่างกันได้ เช่นคำว่าระบบการศึกษาของคนหนึ่ง อาจแตกต่างไปจากสิ่งที่อีกคนหนึ่งคิดถึงระบบการศึกษา และคำว่าเศรษฐกิจเชิงแข่งขัน อาจถูกให้ความหมายแตกต่างได้เช่นกัน”
ดร.นพดล ชี้แจง

3.ในรายงานของ WEF มีส่วนของระเบียบวิธีวิจัย ที่ต้องพิจารณาสำคัญๆ ได้แก่ กลุ่มคนที่แสดงความคิดเห็นที่ WEF ระบุไว้ในหน้าที่ 6 เป็นผู้นำด้านธุรกิจ (Business Leaders) แต่ในหน้า 85 กลับระบุว่าเป็นเพียงกลุ่มคนที่มีศักยภาพทางธุรกิจ (Potential) และถูกสุ่มมาตอบแบบสอบถามจำนวน 86 คนจากบริษัทต่างๆ ทั่วประเทศไทย

โดย WEF ระบุว่ากลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามมีความเป็นตัวแทน (Representative) ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งในทางวิชาการ ถ้าทำได้เช่นนั้นก็จำเป็นต้องระบุค่าความคลาดเคลื่อน (Sampling Error) แต่ไม่ปรากฏในผลการศึกษาฉบับเต็มที่เผยแพร่

ทั้งนี้ ดร.นพดล ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกระแสข่าวดังกล่าวไว้ดังต่อไปนี้ คือ 1.ผู้ใหญ่ในสังคม นักวิชาการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป น่าจะศึกษาข้อมูลจากรายงานต้นฉบับก่อนนำข้อมูลผลการศึกษาใดๆ มาวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อลดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร และลดความสับสนในหมู่ประชาชน 2.หน่วยงานที่ทำวิจัยเป็นเครือข่ายของ WEF ในประเทศไทย ควรมีตัวแทนออกมาให้ข้อมูลความเป็นจริงที่เกี่ยวข้อง แทนการปล่อยให้ผู้อื่นที่ไม่ทราบความเป็นจริงของการศึกษา มาแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง

และ 3.WEF น่าจะพิจารณาปรับปรุงระเบียบวิธีวิจัย และหลีกเลี่ยงการเขียนผลการศึกษา ที่เกินขอบเขตของข้อมูลที่ค้นพบ โดยหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่นำไปสู่การสื่อสารที่สร้างภาพลบต่อประเทศไทย เพราะ WEF ระบุไว้ในหน้า 35 ที่อาจถูกแปลได้ว่าสำหรับประเทศไทย การลงทะเบียนเรียน (Enrollment) และคุณภาพของอุดมศึกษาอยู่ในระดับที่ต่ำผิดปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลการศึกษาในหน้า 365 ระบุอันดับประเทศไทยไว้ค่อนข้างดีทีเดียว คืออยู่ในอันดับ 55 จาก 148 อันดับของโลก และอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียน

ส่วนเรื่องของคุณภาพระบบการศึกษา ก็มาจากความคิดเห็นของคนตอบแบบสอบถามเพียง 86 คน ดังนั้น ดร.นพดล ฝากทิ้งท้ายว่า สำหรับการศึกษาในอนาคต น่าจะพิจารณาคุณภาพการศึกษาของประเทศต่างๆ จากความเป็นจริงแหล่งอื่นๆ มากกว่าเพียงความรู้สึก-ความคิดเห็นเพียงอย่างเดียว

ช่น เด็กนักเรียนไทยที่ชนะเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการด้านต่างๆ และจำนวนนักศึกษาไทยในต่างประเทศ ที่มีความสามารถศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก อันเป็นผลมาจากระบบการศึกษาในท้องถิ่นของประเทศไทย

SCOOP@NAEWNA.COM

ที่มา :

http://www.naewna.com/scoop/69587

---------------------------------

ทีนี้เราลองมาวิเคราะห์ข้อมูลกัน

ไปที่ http://www3.weforum.org/docs/GCR2013-14/GCR_Rankings_2013-14.pdf

ดูอันดับดีๆ นะครับ ( เป็นอันดับโลก 1 - 148 แต่ผมจะคัดมาเฉพาะ 10 ชาติอาเซียนเท่านั้น )

อันดับ 1 : สิงคโปร์ ( อันดับ 2 โลก )
อันดับ 2 : มาเลเซีย ( อันดับ 24 โลก )
อันดับ 3 : บรูไน ( อันดับ 26 โลก )
อันดับ 4 : ไทย ( อันดับ 37 โลก )
อันดับ 5 : อินโดนีเซีย ( อันดับ 38 โลก )
อันดับ 6 : ฟิลิปปินส์ ( อันดับ 59 โลก )
อันดับ 7 : เวียดนาม ( อันดับ 70 โลก )
อันดับ 8 : ลาว ( อันดับ 81 โลก )
อันดับ 9 : กัมพูชา ( อันดับ 88 โลก )
อันดับ 10 : พม่า ( อันดับ 139 โลก )

เห็นอะไรจากข้อมูลบ้างครับ?

ถ้าถามผม ผมไม่แปลกใจที่อันดับออกมาเป็นแบบนี้ แถมเอาจริงๆ ถือว่า "ดีมาก" แล้วด้วยซ้ำ สำหรับสารขัณฑ์นคร แดนชิลๆ สบายๆ อย่างเรา

ทำไมน่ะหรือ? ดูยุทธศาสตร์ประเทศที่นำเราสิครับ

สิงคโปร์ + มาเลเซีย เขามองไปถึงการเป็น "มหาอำนาจ" ของโลก ถ้าไปถามคนมาเลย์ คนสิงคโปร์ เขาจะให้ความสำคัญมาก ว่าชาติของเขาจะยืนอยู่ตรงไหนในเวทีโลก

ขณะที่บรูไน ประเทศนี้เป็นเศรษฐีน้ำมัน แถมประชากรไม่มาก ดังนั้นการนำเงินที่ได้จากน้ำมัน มาพัฒนาระบบต่างๆ ค่อนข้างทำได้ง่ายและรวดเร็ว ( บรูไนมียุทธศาสตร์คล้ายๆ ดูไบ คือเตรียมไปลงทุนด้านอื่นๆ ไว้บ้าง หากวันหนึ่งน้ำมันหมดไป ก็ยังอยู่ได้ )

หันมาดูประเทศไทย เราชิลๆ มาก เราไม่เคยถูกสอนให้ต้องแข่งขันกับโลก เราไม่เคยถูกกระตุ้นให้มองว่าเราอยู่ตรงไหน มีศักดิ์ศรีเพียงใดบนดาวเคราะห์ดวงนี้

ไม่เชื่อไปถามคนไทยทั่วๆ ไป ( ย้ำว่าคนทั่วไปนะ ไม่ใช่พวกได้เหรียญโอลิมปิก ) ว่าเราจะแข่งขันอะไรในระดับโลก เผลอๆ จะโดนด่ากลับ หาว่าคิดมากเกิน เยอะเกินด้วยซ้ำ

( นอกจากสิงคโปร์กับมาเลเซีย จับตามอง "เวียดนาม" ให้ดีๆ ยุทธศาสตร์เวียดนามก็มุ่งสู่การเป็นมหาอำนาจเช่นเดียวกัน จะเห็นว่าคนเวียดนามเรียนกันหนักมาก และรัฐบาลเขาส่งเสริมให้คนเวียดนามได้ไปเรียนต่างประเทศ เช่นที่เมืองจีน )

บ้านเรา ลองใครคิดหรือพูดว่าอยากเห็นไทยเป็นมหาอำนาจสิครับ รับรองโดนถล่ม ว่าเ้พ้อเจ้อบ้าง ทะเยอทะยานไม่พอเพียงบ้าง

เรายังคงชิลๆ สบายๆ กับ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" , "เมืองไทยนี้ดี ไม่มีภัยพิบัติรุนแรง" ฯลฯ อะไรพวกนี้อยู่เลย แต่พวกที่นำเราวันนี้ และอีกบางประเทศที่จะนำเราในอนาคต เขาไม่มีอย่างไร เขาจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เหนือขึ้นๆ ไป จะได้มีที่ยืนบนโลก

ดังนั้นถึงเราเห็นเด็กไทยเรียนหนัก แย่งกันเข้า ม.ดังๆ แต่เราจะไม่เห็นเด็กไทยส่วนใหญ่ที่คิดจะไปประกาศศักดาในเวทีโลก แบบเด็กสิงคโปร์ , มาเลย์ , เวียดนาม ( คนที่ไป แล้วกวาดรางวัลมามีไหม? มี..แต่เป็นส่วนน้อย คนทั่วไปไม่ได้รู้สึกคึกคัก มีจิตใจรุกรบกับเขาด้วย )

ไทยเป็น "ประเทศกระต่าย" นะครับ เราเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก มีต้นทุนต่างๆ สูง แต่เราไม่คิดวิ่ง เราเลือกที่จะค่อยๆ เดินไป ขัดขากันเองบ้าง เบื่อๆ ก็ล้มตัวลงนอนหลับบ้าง แต่เราก็ยังเดินไปได้ แม้มันจะดูชักช้าไม่ทันใจก็ตาม

ขณะที่ประเทศอื่น เขาไม่มีแบบเรา เขาถือว่าเวลาแต่ละวินาทีมีค่า เขาจึงไม่กล้าแม้จะหยุดพัก ต้องฝืนวิ่งตลอดเวลา ไม่งั้นไม่ชนะ ( เกาหลีใต้เป็นประเทศที่คนฆ่าตัวตายอันดับ 2 ของโลก ส่วนสิงคโปร์นั้นถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่ผู้คนเย็นชาที่สุดในโลก )

ฉะนั้นเมื่อเทียบพฤติกรรมคนไทย กับคนประเทศที่นำเรา จะพบว่าเราดีมากแล้วจริงๆ เพราะสันด-นพวกเราไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นอะไรขนาดนั้น แต่เรามันพวก "ไม่หลบไม่อู้สู้ไม่ไหว" มากกว่า

ไม่มีสิ่งที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย เมื่อคุณอยากได้สิ่งหนึ่งคุณก็ต้องจ่ายอีกสิ่งหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเสมอ

ที่บ่นมาทั้งหมดนี้ มีำคำถามเดียว

"เราจะทะยานไปเป็นมหาอำนาจ โดยต้องแลกกับความเครียดของคนในชาติที่เพิ่มสูงขึ้นดีหรือเปล่า?"

ฝากไว้ให้ลองตอบตัวเองนะครับ

ปล.ส่วนผมไม่เอาด้วย ผมว่าเมืองไทยชิลๆ สบายๆ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องวางแผนมาก ก็ดีแล้วครับ ( สันด-นผมมันพวกขี้เกียจอะ 55 )
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่