หลังจากที่สายฝนถล่มเมืองหลวงแบบข้ามวันข้ามคืน ทำให้ผมมีโอกาสได้อู้งานไปดูหนังอีกแล้ว และเรื่องที่อยากดูแบบอันดับหนึ่งในดวงใจตอนนี้ก็คือ Elysium นี่แหละ
ก่อนหน้านี้ที่ประทับใจแบบคาดไม่ถึงไปกับ District 9 ทำให้ผมค่อนข้างตั้งหน้าตั้งตารอดูเรื่องนี้เลยล่ะ ถึงส่วนตัวผมจะไม่ค่อยปลื้มกับ แมท เดย์มอน เท่าไหร่ แต่ก็ยังมี โจดี้ ฟอสเตอร์ มาให้หายคิดถึงได้ล่ะนะ ก็ว่ากันไป
แน่นอนครับว่ายังไงๆ ก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับ District 9 แบบเลี่ยงไม่ได้ และใช่ครับ หนังเค้ามาแนวๆ เดียวกันเลยแต่เหมือนปรับสัดส่วนใหม่มากกว่า District 9 นั้นจะดราม่าเป็นหลัก และมีบู๊เล็กๆ (ความจริงมันก็ไม่น้อยอ่ะนะ) หนังจะให้ประเด็นสำคัญกับการแบ่งแยกมากกว่า ให้คนดูได้คิดตาม เหมือนกับเรื่องการเหยียดผิวหรือเผ่าพันธุ์น่ะครับ แต่ District 9 นี่เปลี่ยนมาเป็นเรื่องระหว่างคนกับมนุษย์ต่างดาวแทน โดยที่มนุษย์ต่างดาวกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปซะงั้น หมดสภาพเลยครับ มนุษย์ต่างดาวเรื่องนี้
Elysium ไม่มีมนุษย์ต่างดาวครับ แต่เมนหลักของเรื่องก็ยังคงเป็นประเด็นให้เราได้ขบคิดกันในเรื่องของการแบ่งแยกอยู่ดี โดยที่เรื่องนี้เป็นการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างคนรวยกับคนจน ในอนาคตที่โลกเริ่มจะหมดสภาพ คนรวยก็ไปสร้างอาณานิคมใหม่อยู่ในอวกาศ ส่วนคนที่รวยไม่พอก็ยังอยู่ที่โลกต่อไป และคนที่โลกก็คิดฝันกันว่าชีวิตในอาณานิคมใหม่มันเลิศหรูอลังการ จนกลายเป็นความฝันและความจำเป็น ที่คนบนโลกจะขึ้นไปอยู่บนนิคมอวกาศบ้าง (ไม่นับว่าสปอยด์นะ เพราะในตัวอย่างมีบอกไว้แล้ว)
หนังยังคงให้เราได้ฉุกคิดถึงวิธีการปฏิบัติตัวระหว่างตัวเราเอง กับคนอื่นๆ ที่ต่างจากเรา รวมไปถึงคนที่เหมือนๆ กับเราด้วย ประเด็นนี้น่าสนใจดีครับเพียงแต่มันไม่จริงจังเหมือน District 9 เท่ากับว่าสัดส่วนในเรื่องดราม่าที่ทำให้เราต้องฉุกคิดนั้นลดลงไป แล้วอะไรล่ะที่เพิ่มขึ้นมา ? คำตอบคือบทบู๊ครับ เรื่องนี้บู๊กันเยอะ บู๊กันมาก บู๊กันอลังการมากกว่าเรื่องที่แล้ว (เข้าใจว่า พยายามทำให้เป็นหนังตลาดมากขึ้น) ดังนั้น Elysium นี่มันจะกึ่งๆ ระหว่างดราม่ากับแอ็คชั่นครับ กะว่าจะขายทุกกลุ่มเลยว่างั้น
นอกจากนี้สิ่งที่ผมชอบมากๆ กับเรื่องนี้คืองานภาพครับ ผู้กำกับเค้าจะมีมุมกล้องแปลกๆ ที่เวลาออกมาแล้วดูดีอ่ะ ถ้าสังเกตดูก็เหมือนกับว่าเค้าพยายามจะทำให้มุมกล้องแบบนี้มันเป็น Signature ของเค้ามั้งครับ เหมือนที่ปีเตอร์ แจ็คสัน ก็มีมุมกล้องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ผมว่า Elysium นี่มุมกล้องมันสวยดีเหลือเกิน ช่วยทำให้หนังมันดูยิ่งใหญ่ได้พอสมควรเลย ยิ่งพอเอาไปประกอบกับเพลงสกอร์ที่มันจะดัง ฉ่าง ฉ่าง ประกอบกับฉากที่เป็นไวด์สกรีนด้วย เลยทำให้ฉากนั้นๆ มันดูยิ่งใหญ่อลังการมากครับ
สรุป – ถ้าต้องการดราม่าแบบหืดขึ้นคอเหมือน District 9 นั้น Elysium ตอบโจทย์ข้อนี้ไม่สำเร็จครับ แต่ก็ได้ส่วนทดแทนมาด้วยฉากบู๊ที่มากขึ้น และงานภาพ + งาน CG ที่อลังการกว่าเดิมมากๆ โดยรวมแล้วหนังยาวเกือบสองชั่วโมงนี้เวลาผ่านไปแบบรวดเร็วดีทีเดียวครับ ไม่ง่วง ไม่เบื่อ ถึงมันจะมีบางอย่างที่เวอร์ไปบ้าง ไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง ก็มองข้ามๆ มันไปก็ได้ครับ เอามันส์เข้าไว้ ดราม่าอีกหน่อย แล้วจะมีความสุขมากมายกับการดูหนังเรื่องนี้ครับ
[CR] ไก่การีวิว : Elysium ปฏิบัติการยึดดาวอนาคต (No Spoil)
ก่อนหน้านี้ที่ประทับใจแบบคาดไม่ถึงไปกับ District 9 ทำให้ผมค่อนข้างตั้งหน้าตั้งตารอดูเรื่องนี้เลยล่ะ ถึงส่วนตัวผมจะไม่ค่อยปลื้มกับ แมท เดย์มอน เท่าไหร่ แต่ก็ยังมี โจดี้ ฟอสเตอร์ มาให้หายคิดถึงได้ล่ะนะ ก็ว่ากันไป
แน่นอนครับว่ายังไงๆ ก็ต้องเอาเรื่องนี้ไปเปรียบเทียบกับ District 9 แบบเลี่ยงไม่ได้ และใช่ครับ หนังเค้ามาแนวๆ เดียวกันเลยแต่เหมือนปรับสัดส่วนใหม่มากกว่า District 9 นั้นจะดราม่าเป็นหลัก และมีบู๊เล็กๆ (ความจริงมันก็ไม่น้อยอ่ะนะ) หนังจะให้ประเด็นสำคัญกับการแบ่งแยกมากกว่า ให้คนดูได้คิดตาม เหมือนกับเรื่องการเหยียดผิวหรือเผ่าพันธุ์น่ะครับ แต่ District 9 นี่เปลี่ยนมาเป็นเรื่องระหว่างคนกับมนุษย์ต่างดาวแทน โดยที่มนุษย์ต่างดาวกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปซะงั้น หมดสภาพเลยครับ มนุษย์ต่างดาวเรื่องนี้
Elysium ไม่มีมนุษย์ต่างดาวครับ แต่เมนหลักของเรื่องก็ยังคงเป็นประเด็นให้เราได้ขบคิดกันในเรื่องของการแบ่งแยกอยู่ดี โดยที่เรื่องนี้เป็นการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างคนรวยกับคนจน ในอนาคตที่โลกเริ่มจะหมดสภาพ คนรวยก็ไปสร้างอาณานิคมใหม่อยู่ในอวกาศ ส่วนคนที่รวยไม่พอก็ยังอยู่ที่โลกต่อไป และคนที่โลกก็คิดฝันกันว่าชีวิตในอาณานิคมใหม่มันเลิศหรูอลังการ จนกลายเป็นความฝันและความจำเป็น ที่คนบนโลกจะขึ้นไปอยู่บนนิคมอวกาศบ้าง (ไม่นับว่าสปอยด์นะ เพราะในตัวอย่างมีบอกไว้แล้ว)
หนังยังคงให้เราได้ฉุกคิดถึงวิธีการปฏิบัติตัวระหว่างตัวเราเอง กับคนอื่นๆ ที่ต่างจากเรา รวมไปถึงคนที่เหมือนๆ กับเราด้วย ประเด็นนี้น่าสนใจดีครับเพียงแต่มันไม่จริงจังเหมือน District 9 เท่ากับว่าสัดส่วนในเรื่องดราม่าที่ทำให้เราต้องฉุกคิดนั้นลดลงไป แล้วอะไรล่ะที่เพิ่มขึ้นมา ? คำตอบคือบทบู๊ครับ เรื่องนี้บู๊กันเยอะ บู๊กันมาก บู๊กันอลังการมากกว่าเรื่องที่แล้ว (เข้าใจว่า พยายามทำให้เป็นหนังตลาดมากขึ้น) ดังนั้น Elysium นี่มันจะกึ่งๆ ระหว่างดราม่ากับแอ็คชั่นครับ กะว่าจะขายทุกกลุ่มเลยว่างั้น
นอกจากนี้สิ่งที่ผมชอบมากๆ กับเรื่องนี้คืองานภาพครับ ผู้กำกับเค้าจะมีมุมกล้องแปลกๆ ที่เวลาออกมาแล้วดูดีอ่ะ ถ้าสังเกตดูก็เหมือนกับว่าเค้าพยายามจะทำให้มุมกล้องแบบนี้มันเป็น Signature ของเค้ามั้งครับ เหมือนที่ปีเตอร์ แจ็คสัน ก็มีมุมกล้องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ผมว่า Elysium นี่มุมกล้องมันสวยดีเหลือเกิน ช่วยทำให้หนังมันดูยิ่งใหญ่ได้พอสมควรเลย ยิ่งพอเอาไปประกอบกับเพลงสกอร์ที่มันจะดัง ฉ่าง ฉ่าง ประกอบกับฉากที่เป็นไวด์สกรีนด้วย เลยทำให้ฉากนั้นๆ มันดูยิ่งใหญ่อลังการมากครับ
สรุป – ถ้าต้องการดราม่าแบบหืดขึ้นคอเหมือน District 9 นั้น Elysium ตอบโจทย์ข้อนี้ไม่สำเร็จครับ แต่ก็ได้ส่วนทดแทนมาด้วยฉากบู๊ที่มากขึ้น และงานภาพ + งาน CG ที่อลังการกว่าเดิมมากๆ โดยรวมแล้วหนังยาวเกือบสองชั่วโมงนี้เวลาผ่านไปแบบรวดเร็วดีทีเดียวครับ ไม่ง่วง ไม่เบื่อ ถึงมันจะมีบางอย่างที่เวอร์ไปบ้าง ไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง ก็มองข้ามๆ มันไปก็ได้ครับ เอามันส์เข้าไว้ ดราม่าอีกหน่อย แล้วจะมีความสุขมากมายกับการดูหนังเรื่องนี้ครับ