ผมจะเอาชนะความกลัวการขับรถได้ยังไงดีครับ

ตอนนี้ผมอายุ 25 ครับ

ผมกลัวการขับรถครับ

ผมฝันอยากขับรถมาตั้งแต่อายุ 18 ก็เรียนขับรถกับครูสอนจนได้ใบขับขี่มา วันที่สอบ เพื่อนร่วมขับเหยียบเบรกผิดเป็นคันเร่ง ชนเข้ากับเสาสนามสอบจนฝากระโปรงหน้ายุบเข้าไปครึ่งหนึ่ง เป็นอุบัติเหตุที่ใกล้ตัวที่สุดที่ผมเจอในตอนนั้น รถของครูพังยับเยิน โชคดีมากที่คนขับปลอดภัย

ตั้งแต่ได้ใบขับขี่ ผมก็กลับไปเรียนต่างประเทศ เคยจะขอเงินพ่อซื้อรถ พ่อบอกว่า ยังเป็นเด็กวัยรุ่น เรียนอยู่ ไม่ต้องซื้อรถก็ได้ ผมเชื่อพ่อ ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจนจบตรี

ตอนที่เรียนตรีลำบากพอควร เพราะประเทศที่อยู่เป็นเมืองหนาว หิมะตกหนาเป็นเมตร ถ้าเป็นฤดูที่อากาศอบอุ่น ผมก็ขี่จักรยานไปไหนมาไหนได้ แต่เมื่อหิมะตก ผมทำได้แค่เดิน และนั่งรถประจำทางที่มาเพียงครึ่งชั่วโมงครั้ง อากาศที่นั่นหนาวมาก บางครั้งถึงติดลบสี่สิบองศาเซลเซียส ลมหนาวพัดแรง เจ็บเหมือนใครเอามีดมากรีดตามหน้าตามข้อมือ เดินกลับเข้าบ้านจะพูดจะเขียนอะไรไม่ได้ไปพักใหญ่ เพราะปากมือแข็งชาไปหมด ถ้าพลาดรถ ผมต้องเดินเกือบสองกิโลเมตรไปมหาวิทยาลัย บางครั้งถ้าหนาวมากๆ ก็ต้องขอติดรถเพื่อน เพื่อนๆ ที่รู้จักกันดีเต็มใจให้นั่งรถไปไหนมาไหน ทำให้ผมไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วย ผมเริ่มหัดขับรถกับเพื่อนครั้งสองครั้ง แต่ไม่บ่อย คิดแค่ว่าเมื่อเรียนโทก็น่าจะได้ขับรถสักที

เมื่อจบตรี อายุ 22 แม่ก็ขอพ่อจนผมได้เรียนขับรถอีกครั้ง ทบทวนความรู้ที่ไม่ได้ใช้เลยตลอดสี่ปี ผมทำงานพิเศษ มีเงินเก็บพอจะซื้อรถมือสองแล้วในตอนนั้น แต่พ่อบอกว่าอย่าเพิ่งก่อน เพราะผมกำลังไปเรียนโท เรียนแค่สองปี พ่อบอกว่าเดี๋ยวเรียนจบค่อยซื้อรถ

ผมก็เชื่อพ่อ ผมขี่จักรยานไปไหนมาไหน แต่ก็เริ่มเลือกรถ อยากซื้อรถ ที่เมืองใหม่นี้ไม่ใช่เมืองหนาว แต่มีถนนคดเคี้ยวและลาดชัน เมืองถูกพาดสองข้างด้วยแม่น้ำสายใหญ่ ทำให้ผมไปไหนมาไหนจากบ้านได้ไม่เกินแปดกิโลเมตร ผมปั่นจักรยานแข็งมาก ขึ้นลงเนินได้สบาย แต่ก็ประสบอุบัติเหตุล้อจักรยานติดในรางรถไฟหลังจากพุ่งลงเนิน ผมถลาลงเข่ากระแทกรางเต็มๆ จนทำให้เยื่อกระดูกเข่าช้ำ เวลาเดินหรือยืนนานๆ จะปวดมาก แต่ผมก็ยังไม่ซื้อรถสักที ผมชักสงสัยแล้วว่าเพราะอะไร แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ คิดว่าเป็นเพราะยุ่งเรื่องเรียน ปั่นจักรยานไปเรียนก็ได้ (ขึ้นเนินไปไม่ไกล) เลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องรถ

เพื่อนๆ ร่วมชั้นของผมอยู่คนละฟากแม่น้ำ สะพานข้ามแม่น้ำนั้นเป็นถนนสายเดียว เชื่อมกับทางหลวง มีรถยนต์ผ่านไปมาจำนวนมาก การเอาจักรยานขึ้นทางหลวง นอกจากจะเสี่ยงชีวิตแล้วยังผิดกฎหมาย ผมเคยปั่นจักรยานไปครั้งหนึ่งด้วยความไม่รู้ ครั้งนั้น ถ้าไม่คุมสติและแฮนด์ดีๆ ผมเกือบจะถูกรถบรรทุกดูดเข้าไปจุ๊บข้างรถเสียแล้ว ถ้าผมจะไปหาเพื่อน จะต้องนั่งรถประจำทางและเดินต่อเป็นเวลากว่าชั่วโมง ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กัน เวลามีงานเลี้ยงเลิกดึกก็ไปไม่ได้ เพื่อนที่มีเป็นเพื่อนใหม่ จะโทรให้มารับมาส่งนั้นน่าอึดอัดใจมาก เขาก็ไม่อยากมา การขับรถขึ้นลงภูเขาชัน ข้ามแม่น้ำ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ผมเริ่มอึดอัด เริ่มพูดกับครอบครัวถึงเรื่องรถมากขึ้น เพื่อนที่อยู่ฝั่งแม่น้ำเดียวกันก็คบพอได้ แต่พวกเขาอยู่คนละสังคมกับผม สูบบุหรี่และกัญชา รวมทั้งยาแบบต่างๆ ที่ผมไม่รู้จัก บางคนก็ไม่อาบน้ำและพูดถึงเรื่องรัฐบาลและสงครามทั้งวัน บางคนก็หาว่าผมน่ารังเกียจที่กินเนื้อสัตว์ ยังดีที่พวกเขาเป็นคนสบายๆ และยอมรับผมพอประมาณทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เล่นยากับพวกเขาหรือกินอาหารแตกต่างไป ผมจึงไม่มีปัญหาไปมากกว่านั้น

เมื่อกลับไทยช่วงปิดภาคฤดูหนาว พ่อก็ยังไม่ยอมให้ผมขับรถ บอกว่ามาสองสามอาทิตย์ ไม่มีเวลาหัดหรอก รอจบโทแล้วค่อยขับ
พอจบโท ผมก็กลับไทยช่วงฤดูร้อนสามเดือนก่อนต่อเอก ผมก็เริ่มพูดกับพ่อเรื่องรถอย่างจริงจัง แต่พ่อไม่เปิดโอกาสให้ผมจับพวงมาลัยมากไปกว่าครั้งสองครั้ง ที่พ่อนั่งอยู่ด้วย ในลานจอดรถว่างๆ แม่ก็พยายามช่วยพูด จะให้ไปขับรถที่รถน้อยๆ ต่างจังหวัดบ้าง ตอนเช้ามืดบ้าง พ่อก็มีเหตุผลมาอ้างเรื่อยๆ เช่นรถเสียยังซ่อมไม่เสร็จ ตื่นไม่ทันรถบนถนนเยอะแล้ว และอื่นๆ

พอผมบอกพ่อว่า ผมอายุ 25 แล้ว อึดอัดมาก เพราะเพื่อนๆ ก็ดูถูก เป็นที่พึ่งพาใครไม่ได้ ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไม่ได้ และสาวไม่มอง พ่อก็ขยายเรื่องผู้หญิงใหญ่โต หาว่าผมคิดแต่เรื่องผู้หญิง อยากขับรถเป็นเพราะจะพาผู้หญิงไปเที่ยวไกลๆ สองคน อยากจะพาเขาไปทำอะไรต่อมิอะไร พ่อบอกว่าผมไว้ใจไม่ได้ ผมยังเล็ก ห้ามคิดเรื่องผู้หญิง เอาไว้เรียน (เอก) จบก่อนค่อยคิดเรื่องรถ บอกว่าถ้าผมเกิดอุบัติเหตุไกลบ้านใครจะดูแล บอกว่าห้ามผมยืมรถเพื่อนขับ เพราะถ้ารถเขาพังผมต้องรับผิดชอบ

ผมถามพ่อว่า ถ้าผมไม่ขับรถเอง นั่งรถคนอื่น มันก็เกิดอุบัติเหตุได้นี่ พ่อกลับตอบว่ามันไม่เหมือนกัน เพราะคนอื่นขับได้ ผมขับไม่ได้
พ่อกระซิบกับแม่ว่าพ่อใจไม่ถึง ไม่กล้านั่งรถที่ผมขับ

สถานการณ์ระหว่างผมกับพ่อมึนตึงมาก ผมพยายามจะแสดงให้พ่อเห็นว่าผมโตแล้ว ผมขับรถได้แล้ว แต่พ่อก็พยายามบอกว่าผมไม่น่าเชื่อถือ พ่อบอกว่าผมจะประมาท จะเมาแล้วขับ จะเกิดอุบัติเหตุ พ่อแม่ดูแลไม่ได้เพราะอยู่ไกล ผมไม่ได้พิสูจน์ตัวเองให้ใครดูเลยว่าผมขับรถได้จนกระทั่งออกจากเมืองไทย

จนผมมาต่อเอกต่างประเทศ พ่อก็โทรมาง้อว่า จริงๆ แล้วพ่อเชื่อใจนะ อยากทำอะไรก็ทำ พ่อห้ามเพราะพ่อเป็นห่วง แต่ถ้าผมจะขับรถก็หาใครนั่งไปด้วยผมก็รับปาก และสัญญากับพ่อว่าจะเล่าให้พ่อฟังว่าหัดขับถึงไหนแล้ว

ปีนี้ผมเรียนเอกเป็นปีแรก ผมก็เลยทำสัญญากับ zipcar เพื่อจะได้มีรถราคาไม่แพงและหัดขับรถได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องน้ำมันและประกัน ตอนนี้ผมมีรถแล้วครับ จะขับเมื่อไหร่ก็ได้

แต่กลายเป็นว่า ตอนนี้พอผมคิดเรื่องขับรถเมื่อไหร่ก็กลัวไปหมด อึดอัด หายใจไม่ออก เห็นภาพตัวเองขับรถชนเสาไฟฟ้า เห็นภาพตัวเองขับรถชนคนตาย ภาพรถพุ่งเข้ามาหาคนนั่งข้างๆ พอจินตนาการไป ท้องผมเหมือนมีหินเย็นๆ กองอยู่ ผมรู้สึกเหมือนจะอาเจียน ผมกลัวไปหมด กลัวว่าที่พ่อพูดจะถูก เพราะผมรู้ว่าพ่อรักผมจริงๆ พ่อบอก ย้ำ เตือนว่ารถยนต์มันอันตราย ผมรักพ่อ ผมเชื่อพ่อมากเกินไป ตอนนี้ผมก็เลยกลัวมากๆ ไม่กล้าที่จะเริ่มขับรถเลย

จะให้ใครนั่งรถไปด้วยเพื่อช่วยให้ผมกลัวน้อยลง ผมก็เกรงใจเขา ขนาดพ่อแท้ๆ ยังไม่กล้าเสี่ยง แล้วผมจะลากเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาได้ยังไง ใครจะกล้ามานั่งรถผม ก็พ่อยังไม่เอาเลย

แต่จะให้ผมไม่ขับรถ มันก็ทรมานมากๆ ทุกครั้งที่ผมไปเรียนสาย ทุกครั้งที่มีธุระ ต้องปั่นจักรยานกลับบ้านดึกๆ ทุกครั้งที่รถคันใหญ่ๆ เฉี่ยวจักรยานผมให้เอียงวูบ ที่ไปสัมภาษณ์งานทั้งที่เหงื่อโชกเพราะต้องฝ่าแดดไป ที่ต้องเดินครึ่งชั่วโมงไปเรียนหนังสือ ที่พลาดรถเมล์ไปแค่ครึ่งนาทีแล้วต้องรออีกครึ่งชั่วโมง ที่ต้องไปซื้อของสองชิ้นแต่ใช้เวลานั่งรถเมล์ทั้งวัน เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ เขาก็ผลัดกันขับรถ มีผมไร้ประโยชน์อยู่คนเดียว

มีวิธีกำจัดความกลัวแบบนี้ไหมครับ มันไร้เหตุผลจริงๆ ที่ผมมานั่งกลัวแบบนี้ เวลาที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมา หัวมันก็จะแล่นเป็นแต่เรื่องนี้ไปหมด มันแทรกขึ้นมาทำให้ผมเรียนบางคาบได้ไม่เต็มที่ พักผ่อนได้ไม่สนิท เวลาคิดเรื่องรถหรือเวลาปั่นจักรยานไปไหนก็จะเครียดตลอดเวลา ผมแค่คิดว่า บางทีถ้าพ่อเชื่อใจผม ให้ผมลองขับ ถ้าพ่อสนับสนุนว่าผมทำได้ ผมอาจจะไม่เป็นแบบนี้ แต่ผมก็ไม่อยากโทษพ่อเลย ไม่ใช่ความผิดของพ่อที่ไม่มีเวลาอยู่กับผมทีละนานๆ ไม่ใช่ความผิดของพ่อที่รักผม ห่วงผม กลัวผมเป็นอะไรไป ผมก็กลัวอยู่แล้ว เมื่อพ่อมาพูดแบบนี้ ยกอุบัติเหตุของคนใกล้ตัวมาอ้างบ้าง อะไรบ้าง ผมยิ่งกลัวเข้าไปอีก

ผมบ้ารึเปล่าครับ ควรจะปรึกษาจิตแพทย์ไหม
ผมควรทำยังไงดีครับ
...
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความเห็นครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่