คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
การเรียนเมืองนอกเป็นการเปิดโลกค่ะ ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้เก่งอย่างที่คิด และยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากนัก
ก่อนไปเรียนโทเราได้โทเฟลเกิน 110 (Reading กับ Listening คะแนนเต็ม) แต่พอไปถึงคลาสแล้ว text ที่ต้องอ่านมันไม่ได้ใช้ภาษาบ้านๆอย่างที่โทเฟลมันทดสอบเรา มันเป็นศัพท์วิชาการ ซึ่งถ้าคุณไปพูดกับเด็กเจ้าของภาษาหรือคนที่ไม่ได้เรียนสูงๆแล้วเค้าก็จะไม่เข้าใจเหมือนกัน ประมาณว่าคุณพูดภาษาไทย แต่ตอนเรียนต้องมาใช้ภาษาบาลีสันสกฤต ทำนองนั้น
ผ่านโทมหาโหดแล้วพอมาเรียนเอก ยังแทบจะตาย คิดจะเลิกหลายครั้งหลายหน ผมหงอกขึ้นเรื่อยๆเพราะเครียดมาก อาจารย์ที่ปรึกษาไม่เคยชม ด่าและติอย่างเดียว เคยได้คอมเมนต์กลับมาว่า Don't waste my time with rubbish (ประมาณว่า เขียนอย่างงี้อย่าเอามาให้อ่านเลย เสียเวลา) ค่ะ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งป.ตรี ม.รัฐแถวหน้าเมืองไทยกับ Master degree with Merit ม.รัฐอันดับหนึ่งออสเตรเลีย ไม่ช่วยจริงๆ
แต่ ก็ต้องบอกตัวเองว่าเราเลือกเอง เราไม่ได้เสียเวลาเสียเงินและโอกาศ ห่างพ่อแม่เพื่อนมาอยู่เมืองนอก เพื่อให้อาจารย์ฝรั่งชื่นชมเทอดทูนในความเก่ง(แต่ในประเทศ)ของเรา แต่เพื่อพัฒนาตัวเองไม่ใช่เหรอคะ ไอ้ความสำเร็จในอดีตน่ะ ลืมไปเถอะค่ะ ไม่เข้าใจอะไรก็ถาม อย่ามัวแต่อาย กลัวเค้าจะว่าโง่ ก็ถ้าฉลาดแล้วจะไปเรียนอีกทำไมละคะ
อาจารย์ไม่ว่างเพื่อนก็ช่วยได้ ตอนเราเรียนโทเคยขอให้เพื่อนฝรั่งติวให้ เค้าเปิดหนังสือเราเห็นขีดเส้นใต้คำศัพท์พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทยเต็มเล่ม มันบอกว่าเห็นแล้วมันจะร้องไห้ ว่าเทอต้องพยายามหนักกว่าพวกฉันอีกเท่าเลยนะ มีอะไรถามเลยนะ พร้อมจะช่วย essay เขียนเสร็จให้เพื่อนช่วย proof ภาษาให้ด้วยก็ดี เพราะคนตรวจอ่านงานเยอะ หงุดหงิดง่ายนะคุณ ถ้าเค้าไม่เข้าใจสิ่งที่คุณจะสื่อก็ให้คะแนนไม่ได้นะ
เอาใจช่วยนะคะ ท้อได้แต่อย่าถอย
ก่อนไปเรียนโทเราได้โทเฟลเกิน 110 (Reading กับ Listening คะแนนเต็ม) แต่พอไปถึงคลาสแล้ว text ที่ต้องอ่านมันไม่ได้ใช้ภาษาบ้านๆอย่างที่โทเฟลมันทดสอบเรา มันเป็นศัพท์วิชาการ ซึ่งถ้าคุณไปพูดกับเด็กเจ้าของภาษาหรือคนที่ไม่ได้เรียนสูงๆแล้วเค้าก็จะไม่เข้าใจเหมือนกัน ประมาณว่าคุณพูดภาษาไทย แต่ตอนเรียนต้องมาใช้ภาษาบาลีสันสกฤต ทำนองนั้น
ผ่านโทมหาโหดแล้วพอมาเรียนเอก ยังแทบจะตาย คิดจะเลิกหลายครั้งหลายหน ผมหงอกขึ้นเรื่อยๆเพราะเครียดมาก อาจารย์ที่ปรึกษาไม่เคยชม ด่าและติอย่างเดียว เคยได้คอมเมนต์กลับมาว่า Don't waste my time with rubbish (ประมาณว่า เขียนอย่างงี้อย่าเอามาให้อ่านเลย เสียเวลา) ค่ะ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งป.ตรี ม.รัฐแถวหน้าเมืองไทยกับ Master degree with Merit ม.รัฐอันดับหนึ่งออสเตรเลีย ไม่ช่วยจริงๆ
แต่ ก็ต้องบอกตัวเองว่าเราเลือกเอง เราไม่ได้เสียเวลาเสียเงินและโอกาศ ห่างพ่อแม่เพื่อนมาอยู่เมืองนอก เพื่อให้อาจารย์ฝรั่งชื่นชมเทอดทูนในความเก่ง(แต่ในประเทศ)ของเรา แต่เพื่อพัฒนาตัวเองไม่ใช่เหรอคะ ไอ้ความสำเร็จในอดีตน่ะ ลืมไปเถอะค่ะ ไม่เข้าใจอะไรก็ถาม อย่ามัวแต่อาย กลัวเค้าจะว่าโง่ ก็ถ้าฉลาดแล้วจะไปเรียนอีกทำไมละคะ
อาจารย์ไม่ว่างเพื่อนก็ช่วยได้ ตอนเราเรียนโทเคยขอให้เพื่อนฝรั่งติวให้ เค้าเปิดหนังสือเราเห็นขีดเส้นใต้คำศัพท์พร้อมคำแปลเป็นภาษาไทยเต็มเล่ม มันบอกว่าเห็นแล้วมันจะร้องไห้ ว่าเทอต้องพยายามหนักกว่าพวกฉันอีกเท่าเลยนะ มีอะไรถามเลยนะ พร้อมจะช่วย essay เขียนเสร็จให้เพื่อนช่วย proof ภาษาให้ด้วยก็ดี เพราะคนตรวจอ่านงานเยอะ หงุดหงิดง่ายนะคุณ ถ้าเค้าไม่เข้าใจสิ่งที่คุณจะสื่อก็ให้คะแนนไม่ได้นะ
เอาใจช่วยนะคะ ท้อได้แต่อย่าถอย
ความคิดเห็นที่ 4
เคยลองใช้หลัก 80 / 20 ของพาเรโต แล้ว work ครับ
กล่าวคือ ในหนึ่งร้อย จะมีส่วนที่สำคัญมาก ๆ อยู่แค่ ยี่สิบเปอร์เซนต์
ซึ่งหากเรา identify หรือ มองให้ออก หรือ หาให้เจอ แล้ว work out กับ ยี่สิบเปอร์เซนต์นั้น มันจะออกฤทธิ์ถึงแปดสิบเปอร์เซนต์เลยนะครับ ซึ่งหากใครฝึกบ่อย ๆ ก็อาจจะเก้าสิบเปอร์เซนต์ แต่มันจะขัดกับหลักธรรมชาตินิดนึง แต่แหม แปดสิบเปอร์เซนต์นี่ก็น่าจะ A แล้วมั้งครับ ไม่ว่าจะ U ใหน ๆ ในโลกนี้
อนึ่ง ควรต้องพยายามประยุกต์ในทุกมิติ
ดังนั้น หากทำควบคู่กับการฝึกสมาธิ เพื่อที่จะเจริญสติ จะได้ผลดีมาก
ตัวอย่างเช่น หลายครั้งที่เราเตรียมตัวสอบ เราเป็นกังวล เราควรมีสติ ดีดความกังวลออกให้ได้ เพราะมันไม่ช่วยอะไร ซ้ำร้ายมันจะบังตาทำให้มอง 20 เปอร์เซนต์ที่สำคัญไม่ออก อย่างไรก็ตาม จากการพิสูจน์กันมานักต่อนัก เงื่อนไขความสำเร็จข้อนึง คือ การมี หรือ การหา good advisor อันนี้สอดคล้องต้องกันนะครับ เพราะ good advisor มักจะนำพาเราเข้าสู่ 20 % ที่สำคัญได้ถูกทาง ในทำนองเดียวกัน การหารเพื่อร่วมทางเช่นการติวกับเพือนก็อยู่ในหลักการเดียวกัน การมีไอดอลก็หลักการเดียวกัน การมี benchmark เพื่อจะทำลายสถืติ ก็หลักการเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตติวกับเพื่อนไม่ว่าเราติวเขา หรือ เขาติวเรา มันเป็นการใช้การสื่อสารพื้นฐานของมนุษย์มาเป็นเครื่องมือให้การทบทวนได้ผลเป็นอย่างดี กล่าวคือ มันจะทำให้เรา repeat เน้ือหาไปพร้อมๆ กัน ตรงนี้สำคัญ (พลังจิตมีจริงนะครับ ) แล้วทำให้ลดความตรึงเครียด ทั้งเป็น focus สิ่งทีสำคัญอย่างมีความสุข ลองดูนะครับ
อย่างไรก็ตาม การทบทวนสม่ำเสมอ หรือ การเตรียมตัวเนิ่น ๆ ยิ่งจะช่วยให้การติวกัน หรือ ทวน ก่อนสอบ หรือ การ focus 20 %ได้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากด้วยนะครับ
กล่าวคือ ในหนึ่งร้อย จะมีส่วนที่สำคัญมาก ๆ อยู่แค่ ยี่สิบเปอร์เซนต์
ซึ่งหากเรา identify หรือ มองให้ออก หรือ หาให้เจอ แล้ว work out กับ ยี่สิบเปอร์เซนต์นั้น มันจะออกฤทธิ์ถึงแปดสิบเปอร์เซนต์เลยนะครับ ซึ่งหากใครฝึกบ่อย ๆ ก็อาจจะเก้าสิบเปอร์เซนต์ แต่มันจะขัดกับหลักธรรมชาตินิดนึง แต่แหม แปดสิบเปอร์เซนต์นี่ก็น่าจะ A แล้วมั้งครับ ไม่ว่าจะ U ใหน ๆ ในโลกนี้
อนึ่ง ควรต้องพยายามประยุกต์ในทุกมิติ
ดังนั้น หากทำควบคู่กับการฝึกสมาธิ เพื่อที่จะเจริญสติ จะได้ผลดีมาก
ตัวอย่างเช่น หลายครั้งที่เราเตรียมตัวสอบ เราเป็นกังวล เราควรมีสติ ดีดความกังวลออกให้ได้ เพราะมันไม่ช่วยอะไร ซ้ำร้ายมันจะบังตาทำให้มอง 20 เปอร์เซนต์ที่สำคัญไม่ออก อย่างไรก็ตาม จากการพิสูจน์กันมานักต่อนัก เงื่อนไขความสำเร็จข้อนึง คือ การมี หรือ การหา good advisor อันนี้สอดคล้องต้องกันนะครับ เพราะ good advisor มักจะนำพาเราเข้าสู่ 20 % ที่สำคัญได้ถูกทาง ในทำนองเดียวกัน การหารเพื่อร่วมทางเช่นการติวกับเพือนก็อยู่ในหลักการเดียวกัน การมีไอดอลก็หลักการเดียวกัน การมี benchmark เพื่อจะทำลายสถืติ ก็หลักการเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตติวกับเพื่อนไม่ว่าเราติวเขา หรือ เขาติวเรา มันเป็นการใช้การสื่อสารพื้นฐานของมนุษย์มาเป็นเครื่องมือให้การทบทวนได้ผลเป็นอย่างดี กล่าวคือ มันจะทำให้เรา repeat เน้ือหาไปพร้อมๆ กัน ตรงนี้สำคัญ (พลังจิตมีจริงนะครับ ) แล้วทำให้ลดความตรึงเครียด ทั้งเป็น focus สิ่งทีสำคัญอย่างมีความสุข ลองดูนะครับ
อย่างไรก็ตาม การทบทวนสม่ำเสมอ หรือ การเตรียมตัวเนิ่น ๆ ยิ่งจะช่วยให้การติวกัน หรือ ทวน ก่อนสอบ หรือ การ focus 20 %ได้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
การเรียนต่อต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องสนุก หรือดีสำหรับทุกคน