หลังจากที่ปล่อยให้รอกันจนเยี่ยวเหนียวมาเป็นเดือน ในที่สุดฝันก็เป็นจริงเสียทีสำหรับแฟนๆของคณะโรงฝันตะบันเมทัลกลุ่มนี้ กว่าจะได้ฟังกันเต็มๆพวกเขาก็ค่อยๆปล่อยซิงเกิ้ลมาทีละเพลงแล้วค่อยสตรีมอัลบั้มเต็มให้ฟังกันเมื่อวานนี้เอง (16 ก.ย.) ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆท่านอาจจะได้ฟังผ่านเว็บหรืออาจจะดาวน์โหลดมาฟังกันก่อนแล้ว อย่างไรถ้าชอบก็อย่าลืมซื้อของแท้กันด้วยละครับ (ส่วนตัวรู้สึกว่าปกอัลบั้มมันดูธรรมดาไปนิด แต่ก็คงบอกไม่ได้อยู่ดีจนกว่าจะได้ฟังจริงๆนั่นละ)
แต่ก่อนที่เราจะมาดูรายละเอียดของอัลบั้มนี้กันผมก็ขอย้อนรอยเสียหน่อย แต่อาจจะย้อนไปไม่ไกลมากเพราะตอนนี้พี่ไมค์ แมนจินีก็กลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของวงไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมยังไม่อยากเรียกพี่แมนจี้ว่าเป็นมือกลองของวงนั่นก็เพราะไลน์กลองในอัลบั้มก่อน (A Dramatic Turn of Events) นั้นเฮียเปตรุชชี่เป็นคนเขียนทั้งหมด หลังจากนั้นน้าๆก็ออกทัวร์กันอย่างสนุกสนานโดยไม่ลืมที่จะแวะมาเที่ยวเมืองไทยด้วย ซึ่งแม้จะเป็นครั้งแรกของพี่แมนจี้แต่แกก็สร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้ไม่น้อยทีเดียว (รวมถึงผมด้วย) และต่อมาหนึ่งในทัวร์นี้ก็จะกลายมาเป็นดีวีดีแสดงสดชุดใหม่มาให้ดูกัน ซึ่งก็คือ Live at Luna Park ที่จะออกในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้ นี่พี่ท่านกะไม่ให้เก็บเงินกันเลยสินะ เพราะเดือนนี้มีศิลปินออกไลฟ์อัลบั้มเด่นๆเยอะเสียด้วย (น้ำตาจะไหล...)
อัลบั้มนี้พี่แมนจี้ของเราเริ่มมีบทบาทมากขึ้นแล้ว เฮียเปกล้ามโตได้กล่าวถึงบทบาทของพี่แมนว่าเป็นการปลดปล่อยความเป็นพี่แมนจี้ออกมา อาว์...หมอนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ (อันนี้คือเฮียเปชมพี่แมนนะครับ) นอกจากนี้ในส่วนของซาวด์เอนจิเนียร์ก็เปลี่ยนไปเช่นกันจากเดิมที่เป็นพอล นอร์ธฟิลด์ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ Systematic Chaos จนถึงชุดก่อนเปลี่ยนมาเป็นริชาร์ด ชิคกี้ ซึ่งจริงๆแล้วเฮียคนนี้เคยเป็นคนมิกซ์เสียงร้องใน ADToE ด้วยเช่นกัน แต่มาในคราวนี้แกจะมามิกซ์เครื่องดนตรีในอัลบั้มนี้มีความโดดเด่นขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากเสียงเบสของน้าเมียงที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นกว่างานก่อนๆ โปรดักชั่นโดยรวมในอัลบั้มนี้จึงหนาแน่นกว่าชุดก่อนมาก (โข) หลังจากที่อัดอั้นกันมาแรมปีจากชุดก่อน ส่วนคนที่รับหน้าที่เขียนเพลงและโปรดิวซ์งานในชุดนี้หลักๆก็ยังคงเป็นท่านแม่ทัพเปตรุชชี่กล้ามโตเช่นเดิม นอกจากนี้น้าเจมส์ก็ร้องได้คงเส้นคงวาขึ้นกว่าตอนที่ทำงานเดี่ยว (Impermanent Resonance) อีกด้วย และงานนี้ทางวงก็ยังมีเพลงบรรเลงเท่ห์ๆมาให้ฟังกันอีกด้วยหนึ่งเพลงหลังจากที่ไม่ได้ทำกันมานาน ซึ่งก็ต้องย้อนกันไปตั้งแต่ Stream of Consciousness จาก Train of Thought เลยทีเดียว (สิบปีแล้วสินะ...) และไหนๆก็จะรีวิวจัดเต็มแล้วผมขอเขียนเป็นแบบเพลงต่อเพลงไปเลยก็ละกัน
False Awakening Suite
เพลงอินโทรเปิดอัลบั้มที่เน้นสุ้มเสียงที่โอ่อ่าอลังการดาวล้านดวงการจากเรียบเรียงออร์เคสตร้าที่ผสานกับริฟฟ์ที่ดุเดือนได้อย่างหนักแน่นทรงพลังอันเป็นลำนำไปสู่เพลงต่อๆไป...
The Enemy Inside
ซิงเกิ้ลเปิดตัวของอัลบั้มนี้ที่ถือว่าเป็นการเปิดตัวพี่แมนจี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งในเพลงนี้พี่แมนจี้ตีได้หนักแน่นและซับซ้อนพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับเด่นมากจนเกินงาม น่าจะเรียกได้ว่าเป็นซิงเกิ้ลที่เรียกความเป็นโรงฝันตะบันเมทัลกลับมาได้อีกครั้งเลยละ
The Looking Glass
ซิงเกิ้ลที่สาม(?)ที่เพิ่งเปิดตัวไปที่คลื่นวิทยุ 102.3 WBAB ที่เฮียเปตรุชชี่แวะไปเยี่ยมเยียน เพลงนี้เป็นเพลงจังหวะปานกลางถึงช้าที่ไพเราะได้ที่แต่ก็ให้กลิ่นอายเก่าๆอยู่บ้างนิดหน่อย
Enigma Machine
นี่คือเพลงบรรเลงเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยที่เฮียพอร์ตนอยยังอยู่เลยละ แม้พี่แมนจี้จะเป็นเจ้าเทคนิคอยู่แล้วแต่แกก็เลือกที่จะตีแบบเน้นพลังเพื่อสร้างความหนักแน่นให้กับดนตรีมากกว่า และทั้งเฮียเปและน้ารูเดสก็เลือกที่จะเน้นท่อนลีดสวยๆมากกว่าที่จะโชว์ฝีมือเหมือนเมื่อก่อนอีกด้วย
The Bigger Picture/Behind the Veil/Surrender to Reason
ที่ผมเขียนรวมทั้งสามเพลงเลยเพราะเป็นสามเพลงที่ชอบเป็นพิเศษและทั้งสามเพลงนี้ก็หวานเสียจนแทบจะฆ่ากันตายเลยละ เริ่มจาก The Bigger Picture ที่หวานกว่าใครเพื่อน (เกินคำบรรยายจริงๆ T_T) ต่อเนื่องกับ Behind the Veil ที่ดุดันขึ้นมาหน่อย โดยเพลงนี้น้ารูเดสใช้ Seaboard เล่นในช่วงอินโทรก่อนจะขึ้นท่อนดนตรีที่หนักแน่น และเพลงนี้ก็มีท่อนโซโลที่ค่อนข้างโดดเด่นโดยเริ่มจากน้ารูเดสลีดรัวนิ้วสวยๆส่งให้เฮียเปปั่นต่อจนถึงท่อนจบ ต่อด้วย Surrender to Reason อันเป็นเพลงพร็อกเพื่อชีวิตเพียงเพลงเดียวที่อำนวยเนื้อเพลงโดยน้าเมียง ที่อาจจะหวานน้อยหน่อยด้วยเนื้อหาแต่เฮียเปก็สรรค์สร้างดนตรีให้หล่อได้...
Along for the Ride
ซิงเกิ้ลที่สองอันเป็นบัลลาดหวานเลี่ยนกันเลยทีเดียวแต่อินโทรนี่ให้อารมณ์คล้ายๆ Beneath the Surface จากชุดก่อนเลยทีเดียว และพอขึ้นท่อนแบนด์ขึ้นมาก็ให้อารมณ์แบบที่ใกล้เคียงกับเพลงช้าจาก Images & Words อยู่พอสมควร ท่อนโซโลของเพลงนี้น้ารูเดสก็เอาเสียงมาจาก Beneath the Surface เช่นเดียวกัน เรียกว่าฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนได้ฟังเพลงเก่าๆหลายเพลงในเพลงเดียว (ฮา)
Illumination Theory
นี่สิไฮไลต์ที่แท้จริงของอัลบั้มกับเพลงที่ยาวสุดหูรูด 22 นาทีและยังเป็นเพลงปิดอัลบั้มอีกด้วย กับการอินโทรที่หนักแน่นและอลังการก่อนจะเข้าสู่ท่อนแบนด์ที่ทรงพลัง ก่อนจะบรรเลงโชว์เทคนิคเล็กๆน้อยๆเพื่อส่งต่อสู่พาร์ตต่อมาที่เป็นแอมเบียนท์ล้วนที่ช่วงแรกๆจะเป็นบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับ Along for the Ride แต่จะล่องลอยกว่า ก่อนจะขึ้นเครื่องสายล้วนซึ่งน้ารูเดสแต่งได้ไพเราะสวยงามชนิดแทบจะฆ่ากันตายเลยทีเดียว ก่อนจะกลับเข้าสู่ท่อนแบนด์ที่ดุเด็ดเผ็ดมันอีกครั้ง โดยเฉพาะท่อนบรรเลงในช่วงครึ่งเพลงหลัง เมื่อเข้าสู่ท่อนช้าก่อนจะจบน้าเจมส์ก็โชว์พลังเสียงเพื่อทิ้งทวนก่อนเพลงจะจบตามด้วยท่อนโซโลที่ทรงพลังของเฮียเปเป็นอันจบเพลง... แต่พวกเขาไม่ได้จบเปล่าๆเพราะหลังเพลงนี้ น้ารูเดสกับเฮียเปก็ร่ายมนต์เปียโนกับกีต้าร์คลอไปเรื่อยๆจนเฟดเอาท์ไป...
ฟังมาจนจบแล้วคงบอกจะบอกได้ว่าน้าๆโรงฝันตะบันเมทัลได้กลับมา “คืนชีพ” อีกครั้งแล้ว รวมถึงพี่แมนจี้เองก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยมเสียจนเฮียพอร์ตนอยแทบจะชิดซ้ายไปเลยก็ได้เลยกระมัง อัลบั้มนี้จึงน่าจะเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาได้ทำมาในช่วงหลังๆนี้แล...
[Review] Dream Theater - Dream Theater
แต่ก่อนที่เราจะมาดูรายละเอียดของอัลบั้มนี้กันผมก็ขอย้อนรอยเสียหน่อย แต่อาจจะย้อนไปไม่ไกลมากเพราะตอนนี้พี่ไมค์ แมนจินีก็กลายเป็นสมาชิกเต็มตัวของวงไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ที่ผมยังไม่อยากเรียกพี่แมนจี้ว่าเป็นมือกลองของวงนั่นก็เพราะไลน์กลองในอัลบั้มก่อน (A Dramatic Turn of Events) นั้นเฮียเปตรุชชี่เป็นคนเขียนทั้งหมด หลังจากนั้นน้าๆก็ออกทัวร์กันอย่างสนุกสนานโดยไม่ลืมที่จะแวะมาเที่ยวเมืองไทยด้วย ซึ่งแม้จะเป็นครั้งแรกของพี่แมนจี้แต่แกก็สร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้ไม่น้อยทีเดียว (รวมถึงผมด้วย) และต่อมาหนึ่งในทัวร์นี้ก็จะกลายมาเป็นดีวีดีแสดงสดชุดใหม่มาให้ดูกัน ซึ่งก็คือ Live at Luna Park ที่จะออกในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้ นี่พี่ท่านกะไม่ให้เก็บเงินกันเลยสินะ เพราะเดือนนี้มีศิลปินออกไลฟ์อัลบั้มเด่นๆเยอะเสียด้วย (น้ำตาจะไหล...)
อัลบั้มนี้พี่แมนจี้ของเราเริ่มมีบทบาทมากขึ้นแล้ว เฮียเปกล้ามโตได้กล่าวถึงบทบาทของพี่แมนว่าเป็นการปลดปล่อยความเป็นพี่แมนจี้ออกมา อาว์...หมอนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ (อันนี้คือเฮียเปชมพี่แมนนะครับ) นอกจากนี้ในส่วนของซาวด์เอนจิเนียร์ก็เปลี่ยนไปเช่นกันจากเดิมที่เป็นพอล นอร์ธฟิลด์ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ Systematic Chaos จนถึงชุดก่อนเปลี่ยนมาเป็นริชาร์ด ชิคกี้ ซึ่งจริงๆแล้วเฮียคนนี้เคยเป็นคนมิกซ์เสียงร้องใน ADToE ด้วยเช่นกัน แต่มาในคราวนี้แกจะมามิกซ์เครื่องดนตรีในอัลบั้มนี้มีความโดดเด่นขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากเสียงเบสของน้าเมียงที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นกว่างานก่อนๆ โปรดักชั่นโดยรวมในอัลบั้มนี้จึงหนาแน่นกว่าชุดก่อนมาก (โข) หลังจากที่อัดอั้นกันมาแรมปีจากชุดก่อน ส่วนคนที่รับหน้าที่เขียนเพลงและโปรดิวซ์งานในชุดนี้หลักๆก็ยังคงเป็นท่านแม่ทัพเปตรุชชี่กล้ามโตเช่นเดิม นอกจากนี้น้าเจมส์ก็ร้องได้คงเส้นคงวาขึ้นกว่าตอนที่ทำงานเดี่ยว (Impermanent Resonance) อีกด้วย และงานนี้ทางวงก็ยังมีเพลงบรรเลงเท่ห์ๆมาให้ฟังกันอีกด้วยหนึ่งเพลงหลังจากที่ไม่ได้ทำกันมานาน ซึ่งก็ต้องย้อนกันไปตั้งแต่ Stream of Consciousness จาก Train of Thought เลยทีเดียว (สิบปีแล้วสินะ...) และไหนๆก็จะรีวิวจัดเต็มแล้วผมขอเขียนเป็นแบบเพลงต่อเพลงไปเลยก็ละกัน
False Awakening Suite
เพลงอินโทรเปิดอัลบั้มที่เน้นสุ้มเสียงที่โอ่อ่าอลังการดาวล้านดวงการจากเรียบเรียงออร์เคสตร้าที่ผสานกับริฟฟ์ที่ดุเดือนได้อย่างหนักแน่นทรงพลังอันเป็นลำนำไปสู่เพลงต่อๆไป...
The Enemy Inside
ซิงเกิ้ลเปิดตัวของอัลบั้มนี้ที่ถือว่าเป็นการเปิดตัวพี่แมนจี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งในเพลงนี้พี่แมนจี้ตีได้หนักแน่นและซับซ้อนพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับเด่นมากจนเกินงาม น่าจะเรียกได้ว่าเป็นซิงเกิ้ลที่เรียกความเป็นโรงฝันตะบันเมทัลกลับมาได้อีกครั้งเลยละ
The Looking Glass
ซิงเกิ้ลที่สาม(?)ที่เพิ่งเปิดตัวไปที่คลื่นวิทยุ 102.3 WBAB ที่เฮียเปตรุชชี่แวะไปเยี่ยมเยียน เพลงนี้เป็นเพลงจังหวะปานกลางถึงช้าที่ไพเราะได้ที่แต่ก็ให้กลิ่นอายเก่าๆอยู่บ้างนิดหน่อย
Enigma Machine
นี่คือเพลงบรรเลงเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆสมัยที่เฮียพอร์ตนอยยังอยู่เลยละ แม้พี่แมนจี้จะเป็นเจ้าเทคนิคอยู่แล้วแต่แกก็เลือกที่จะตีแบบเน้นพลังเพื่อสร้างความหนักแน่นให้กับดนตรีมากกว่า และทั้งเฮียเปและน้ารูเดสก็เลือกที่จะเน้นท่อนลีดสวยๆมากกว่าที่จะโชว์ฝีมือเหมือนเมื่อก่อนอีกด้วย
The Bigger Picture/Behind the Veil/Surrender to Reason
ที่ผมเขียนรวมทั้งสามเพลงเลยเพราะเป็นสามเพลงที่ชอบเป็นพิเศษและทั้งสามเพลงนี้ก็หวานเสียจนแทบจะฆ่ากันตายเลยละ เริ่มจาก The Bigger Picture ที่หวานกว่าใครเพื่อน (เกินคำบรรยายจริงๆ T_T) ต่อเนื่องกับ Behind the Veil ที่ดุดันขึ้นมาหน่อย โดยเพลงนี้น้ารูเดสใช้ Seaboard เล่นในช่วงอินโทรก่อนจะขึ้นท่อนดนตรีที่หนักแน่น และเพลงนี้ก็มีท่อนโซโลที่ค่อนข้างโดดเด่นโดยเริ่มจากน้ารูเดสลีดรัวนิ้วสวยๆส่งให้เฮียเปปั่นต่อจนถึงท่อนจบ ต่อด้วย Surrender to Reason อันเป็นเพลงพร็อกเพื่อชีวิตเพียงเพลงเดียวที่อำนวยเนื้อเพลงโดยน้าเมียง ที่อาจจะหวานน้อยหน่อยด้วยเนื้อหาแต่เฮียเปก็สรรค์สร้างดนตรีให้หล่อได้...
Along for the Ride
ซิงเกิ้ลที่สองอันเป็นบัลลาดหวานเลี่ยนกันเลยทีเดียวแต่อินโทรนี่ให้อารมณ์คล้ายๆ Beneath the Surface จากชุดก่อนเลยทีเดียว และพอขึ้นท่อนแบนด์ขึ้นมาก็ให้อารมณ์แบบที่ใกล้เคียงกับเพลงช้าจาก Images & Words อยู่พอสมควร ท่อนโซโลของเพลงนี้น้ารูเดสก็เอาเสียงมาจาก Beneath the Surface เช่นเดียวกัน เรียกว่าฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่าเหมือนได้ฟังเพลงเก่าๆหลายเพลงในเพลงเดียว (ฮา)
Illumination Theory
นี่สิไฮไลต์ที่แท้จริงของอัลบั้มกับเพลงที่ยาวสุดหูรูด 22 นาทีและยังเป็นเพลงปิดอัลบั้มอีกด้วย กับการอินโทรที่หนักแน่นและอลังการก่อนจะเข้าสู่ท่อนแบนด์ที่ทรงพลัง ก่อนจะบรรเลงโชว์เทคนิคเล็กๆน้อยๆเพื่อส่งต่อสู่พาร์ตต่อมาที่เป็นแอมเบียนท์ล้วนที่ช่วงแรกๆจะเป็นบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับ Along for the Ride แต่จะล่องลอยกว่า ก่อนจะขึ้นเครื่องสายล้วนซึ่งน้ารูเดสแต่งได้ไพเราะสวยงามชนิดแทบจะฆ่ากันตายเลยทีเดียว ก่อนจะกลับเข้าสู่ท่อนแบนด์ที่ดุเด็ดเผ็ดมันอีกครั้ง โดยเฉพาะท่อนบรรเลงในช่วงครึ่งเพลงหลัง เมื่อเข้าสู่ท่อนช้าก่อนจะจบน้าเจมส์ก็โชว์พลังเสียงเพื่อทิ้งทวนก่อนเพลงจะจบตามด้วยท่อนโซโลที่ทรงพลังของเฮียเปเป็นอันจบเพลง... แต่พวกเขาไม่ได้จบเปล่าๆเพราะหลังเพลงนี้ น้ารูเดสกับเฮียเปก็ร่ายมนต์เปียโนกับกีต้าร์คลอไปเรื่อยๆจนเฟดเอาท์ไป...
ฟังมาจนจบแล้วคงบอกจะบอกได้ว่าน้าๆโรงฝันตะบันเมทัลได้กลับมา “คืนชีพ” อีกครั้งแล้ว รวมถึงพี่แมนจี้เองก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยมเสียจนเฮียพอร์ตนอยแทบจะชิดซ้ายไปเลยก็ได้เลยกระมัง อัลบั้มนี้จึงน่าจะเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาได้ทำมาในช่วงหลังๆนี้แล...