ตั้งแต่แพ้การเลือกตั้งให้กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคประชาธิปัตย์ได้วิเคราะห์ว่าสาเหตุที่แพ้เลือกตั้งนั้นเป็นเพราะแพ้ในเกมมวลชน ซึ่งถือเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งที่ไม่กล้าพูดแล้วว่า "แพ้เพราะเงิน แพ้เพราะประชาชนโง่"
พวกเขาคิดว่าที่แพ้เพราะเขาไม่ใช้เกมสร้างมวลชน แพ้เพราะทีวีเสื้อแดง แพ้เพราะโรงเรียนนปช. แพ้เพราะเวทีนปช.สัญจรแดงทั้งแผ่นดิน พี่เต๊บ ลุงชวนและน้องมาร์คของเราก็เลยดำริที่จะดำเนินการตามรอยที่นปช.ทำคือ สร้าง blue sky, ทำโรงเรียนการเมือง, และเดินสายเวทีผ่าความจริงสัญจรไปให้ทั่วเมืองไทย เพราะพึ่งพาพันธมิตรไม่ได้แล้ว (ฮา)
แม้รูปแบบการดำเนินงานมวลชนจะเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกัน ความต่างกันมันอยู่ตรงไหน? คำตอบก็คือมันต่างกันที่เนื้อหาที่นำเสนอ
นปช.นำเสนอสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการคือประชาธิปไตย กำจัดอำนาจสองมาตรฐาน แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ประชาธิปัตย์นำเสนอ กำจัดทักษิณ ป้องกันทักษิณยึดประเทศเป็นประธานาธิบดี
....
ทางฝ่ายประชาธิปไตยใช้กลยุทธการเมืองสองขา คือขาในสภาเป็นพรรคเพื่อไทย และขามวลชนเป็นคนเสื้อแดง สองขาเดินไปด้วยกัน ทำงานการเมืองคนละบทบาท และพึ่งพากัน เขาใช้คำว่าคนเสื้อแดงจะเป็น "ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก" ให้กับพรรคเพื่อไทย ถ้าพรรคเพลี่ยงพล้ำในเกมสภาหรือโดนกองทัพ องค์กรอิสระเล่นงานอย่างไม่เป็นธรรม
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์หลังจากได้พยายาม ทำเกมมวลชนอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็หวังเช่นกันว่าจะได้มวลชนมาคอยปกป้องเขาเวลาที่เพลี่ยงพล้ำเกมในสภา เขายังหวังให้กองทัพมาช่วยรัฐประหาร (แต่ช่วงนี้คงกินแห้วไปก่อน) และหวังว่าองค์อิสระจะมาช่วยยุบพรรค ยุบสภา ปลดนายกให้ (ยังลุ้นกันต่อไป)
จากการพยายามปลุกม็อบมาเต็มที่ ตั้งแต่เปิด blue sky tv มาเมื่อ 1 พย. 2554 และทำเวทีผ่าความจริงมาตั้งแต่ มิถุนายน 2555 (เปลี่ยนมาจากสานเสวนาเวทีประชาชนที่เริ่มมาก่อนหน้านั้น 1 เดือนในภาคใต้) พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าพวกเขาได้สร้างฐานมวลชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้ประสานกับเครือข่ายเพื่อขมวดปมการเมืองเข้าด้วยกันให้มีพลังพอที่จะโค่นล้มรัฐบาล โดยวางแผนจริงจังตั้งแต่ พค 2556 เป็นต้นมา
ได้มีการประสานงานกับอำมาตย์ นำผรท.รอ.มารวมกันที่สนามหลวง ประสานสันติอโศกนำมาที่ลานพระบรมรูปในเดือน พค 2556 และกลับไป สุดท้ายมาใหม่รวมกับกลุ่มอาชีวะรับจ้างที่สวนลุมพินี
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2556 เป็นวัน D day ที่พวกเขาคิดว่าจะมีมวลชนออกมาเป็นแสนเพื่อนำไปสู่การขัดขวางการทำงานของรัฐสภาและนำไปสู่ความวุ่นวาย เพื่อเปิดทางให้องค์กรอิสระเข้าแทรกแซง แต่ผลก็คือมวลชนชาวกรุงเทพและต่างจังหวัดให้การสนับสนุนน้อยมาก น้อยจนน่าตกใจ ทำให้วันนั้นสส.ประชาธิปัตย์ต้องจำยอมให้ม็อบที่เดินส่งกลับบ้านไป และเดินคอตกเข้าสภาไปฟาดงวงฟาดงาพอเป็นพิธี
ในที่สุดไม้ตายสุดท้ายก็มาถึงคือ ในเมื่อคนกรุงเทพไม่ร่วมมือ งั้นไปหาเพื่อนตาย ของตายก็แล้วกันนั่นคือคนใต้ ปักษ์ใต้บ้านเรา การวางแผนใช้คนใต้ก่อการจราจลได้ออกแบบมาโดยไปปลุกปั่นชาวสวนยางให้เป็นทัพหน้า โดยอาศัยวาทกรรมทวงสัญญาจากรัฐบาลและเปรียบเทียบกับการช่วยเหลือชาวนา
เหตุที่ต้องปลุกมวลชนขึ้นมาก็เพื่อที่จะใช้มวลชนเหล่านี้ ปกป้องและเบี่ยงเบนประเด็นการเมือง สร้างความวุ่นวาย หวังว่าจะทำให้พรรคเอาตัวรอดจากคดีความของสุเทพและอภิสิทธิ์ที่กำลังงวดเข้ามาทุกที
พรรคเพื่อไทยใช้คนเสื้อแดงเป็น "ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก" เพื่อปกป้องพรรคจากการทำลายของฝ่ายอำมาตย์
พรรคประชาธิปัตย์ใช้คนใต้เป็นเกราะกำบังแบบเดียวกัน แต่คงไม่สามารถเป็นกำแพงที่เข้มแข็งได้เช่นเดียวกับคนเสื้อแดง คงเป็นได้แค่พวก "สำเนียงทองแดง กำแพงผุ" เท่านั้นเอง
สำเนียงทองแดง กำแพงผุ มันใช้ยืนพิงไม่ได้หรอกครับ พังไปด้วยกันนั่นแหละ
พวกเขาคิดว่าที่แพ้เพราะเขาไม่ใช้เกมสร้างมวลชน แพ้เพราะทีวีเสื้อแดง แพ้เพราะโรงเรียนนปช. แพ้เพราะเวทีนปช.สัญจรแดงทั้งแผ่นดิน พี่เต๊บ ลุงชวนและน้องมาร์คของเราก็เลยดำริที่จะดำเนินการตามรอยที่นปช.ทำคือ สร้าง blue sky, ทำโรงเรียนการเมือง, และเดินสายเวทีผ่าความจริงสัญจรไปให้ทั่วเมืองไทย เพราะพึ่งพาพันธมิตรไม่ได้แล้ว (ฮา)
แม้รูปแบบการดำเนินงานมวลชนจะเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกัน ความต่างกันมันอยู่ตรงไหน? คำตอบก็คือมันต่างกันที่เนื้อหาที่นำเสนอ
นปช.นำเสนอสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการคือประชาธิปไตย กำจัดอำนาจสองมาตรฐาน แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ประชาธิปัตย์นำเสนอ กำจัดทักษิณ ป้องกันทักษิณยึดประเทศเป็นประธานาธิบดี
....
ทางฝ่ายประชาธิปไตยใช้กลยุทธการเมืองสองขา คือขาในสภาเป็นพรรคเพื่อไทย และขามวลชนเป็นคนเสื้อแดง สองขาเดินไปด้วยกัน ทำงานการเมืองคนละบทบาท และพึ่งพากัน เขาใช้คำว่าคนเสื้อแดงจะเป็น "ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก" ให้กับพรรคเพื่อไทย ถ้าพรรคเพลี่ยงพล้ำในเกมสภาหรือโดนกองทัพ องค์กรอิสระเล่นงานอย่างไม่เป็นธรรม
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์หลังจากได้พยายาม ทำเกมมวลชนอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็หวังเช่นกันว่าจะได้มวลชนมาคอยปกป้องเขาเวลาที่เพลี่ยงพล้ำเกมในสภา เขายังหวังให้กองทัพมาช่วยรัฐประหาร (แต่ช่วงนี้คงกินแห้วไปก่อน) และหวังว่าองค์อิสระจะมาช่วยยุบพรรค ยุบสภา ปลดนายกให้ (ยังลุ้นกันต่อไป)
จากการพยายามปลุกม็อบมาเต็มที่ ตั้งแต่เปิด blue sky tv มาเมื่อ 1 พย. 2554 และทำเวทีผ่าความจริงมาตั้งแต่ มิถุนายน 2555 (เปลี่ยนมาจากสานเสวนาเวทีประชาชนที่เริ่มมาก่อนหน้านั้น 1 เดือนในภาคใต้) พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าพวกเขาได้สร้างฐานมวลชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้ประสานกับเครือข่ายเพื่อขมวดปมการเมืองเข้าด้วยกันให้มีพลังพอที่จะโค่นล้มรัฐบาล โดยวางแผนจริงจังตั้งแต่ พค 2556 เป็นต้นมา
ได้มีการประสานงานกับอำมาตย์ นำผรท.รอ.มารวมกันที่สนามหลวง ประสานสันติอโศกนำมาที่ลานพระบรมรูปในเดือน พค 2556 และกลับไป สุดท้ายมาใหม่รวมกับกลุ่มอาชีวะรับจ้างที่สวนลุมพินี
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2556 เป็นวัน D day ที่พวกเขาคิดว่าจะมีมวลชนออกมาเป็นแสนเพื่อนำไปสู่การขัดขวางการทำงานของรัฐสภาและนำไปสู่ความวุ่นวาย เพื่อเปิดทางให้องค์กรอิสระเข้าแทรกแซง แต่ผลก็คือมวลชนชาวกรุงเทพและต่างจังหวัดให้การสนับสนุนน้อยมาก น้อยจนน่าตกใจ ทำให้วันนั้นสส.ประชาธิปัตย์ต้องจำยอมให้ม็อบที่เดินส่งกลับบ้านไป และเดินคอตกเข้าสภาไปฟาดงวงฟาดงาพอเป็นพิธี
ในที่สุดไม้ตายสุดท้ายก็มาถึงคือ ในเมื่อคนกรุงเทพไม่ร่วมมือ งั้นไปหาเพื่อนตาย ของตายก็แล้วกันนั่นคือคนใต้ ปักษ์ใต้บ้านเรา การวางแผนใช้คนใต้ก่อการจราจลได้ออกแบบมาโดยไปปลุกปั่นชาวสวนยางให้เป็นทัพหน้า โดยอาศัยวาทกรรมทวงสัญญาจากรัฐบาลและเปรียบเทียบกับการช่วยเหลือชาวนา
เหตุที่ต้องปลุกมวลชนขึ้นมาก็เพื่อที่จะใช้มวลชนเหล่านี้ ปกป้องและเบี่ยงเบนประเด็นการเมือง สร้างความวุ่นวาย หวังว่าจะทำให้พรรคเอาตัวรอดจากคดีความของสุเทพและอภิสิทธิ์ที่กำลังงวดเข้ามาทุกที
พรรคเพื่อไทยใช้คนเสื้อแดงเป็น "ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก" เพื่อปกป้องพรรคจากการทำลายของฝ่ายอำมาตย์
พรรคประชาธิปัตย์ใช้คนใต้เป็นเกราะกำบังแบบเดียวกัน แต่คงไม่สามารถเป็นกำแพงที่เข้มแข็งได้เช่นเดียวกับคนเสื้อแดง คงเป็นได้แค่พวก "สำเนียงทองแดง กำแพงผุ" เท่านั้นเอง