จากเด็กบ้านนอกลูกคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ของครอบครัวชาวนาบ้านนาสีนวล ต.โคกโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ความที่ฐานะยากจน เลยมีโอกาสได้เรียนหนังสือจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น
"ผมนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านทุกวัน เพราะอยากไปโรงเรียน เห็นเพื่อนขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านไปโรงเรียนกันก็อยากไปด้วย แต่พ่อแม่ไม่มีเงินส่ง เพราะยากจน มีลูกเยอะ ต่อมาไม่นาน แม่ก็ส่งไปฝึกงานอยู่ที่อู่ซ่อมรถของน้า ได้เงินเดือน 30 บาทต่อวัน ทำงานทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 6 ทุ่ม ทำไปทำมา คิดไปคิดมาก็มองไม่เห็นอนาคต
"เครียดที่ไม่ได้เรียน เลยเลิกทำงาน ออกมาเป็นเด็กเกเร กินเหล้า เที่ยวเตร่ไปวันๆ ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจเป็นอย่างมาก" ร.อ.สมญากล่าวก่อนจะเปิดเผยชีวิตที่แสนรันทดอีกว่า ช่วงนั้นแม่ไม่สบายมาก เลยรับปากว่าจะบวชให้ท่านเพื่อให้แม่สบายใจ
เพราะอย่างนี้เอง ทำให้สมญาไม่ได้คิดที่จะครองผ้าเหลืองเป็นเวลานาน
แค่ผู้เป็นแม่สบายใจ หายจากป่วยไข้ ก็จะลาสิกขากลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป
แต่เหมือนชะตาชีวิตถูกลิขิตไว้แล้ว เมื่อบรรพชาครองผ้าเหลือง สามเณรสมญาก็มีโอกาสได้ติดตามพระผู้ใหญ่เดินทางไปยังที่ต่างๆ และในดินแดนปักษ์ใต้อย่าง จ.สงขลา และ จ.กระบี่ ทำให้เขามองเห็นช่องทางในการศึกษาเล่าเรียนต่อ โดยสอบเข้าเรียนเปรียญธรรมประโยคต่างๆ อีกทั้งยังได้เห็นพระพม่า ใน จ.กระบี่ พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ อยากพูดได้บ้าง จึงตามพระพม่ารูปหนึ่งไปเที่ยวเกาะสอง ประเทศพม่า นับเป็นการเดินทางไปเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก
"กลับมาประเทศไทย ก็ตัดสินใจทำวีซ่าเพื่อจะไปเรียนในพม่า แล้วก็ได้สมความตั้งใจ โชคดีมาก ระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ จ.กระบี่ รู้จักกับโยมชาวพม่า เป็นคนดีมาก เป็นเศรษฐีพม่า เขาก็ช่วยสนับสนุนให้เรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่พม่า ในเมืองย่างกุ้ง
"ผมเรียนภาษาอังกฤษกับครูที่เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวกะเหรี่ยง พ่อเป็นคนอังกฤษ ตอนอยู่ที่พม่าผมจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง"
เรียนภาษาอังกฤษได้ 1 ปี กลับมาก็เริ่มมุ่งมั่นจะเดินหน้าเพิ่มพูดความรู้ให้กับตัวเอง โดยสมัครเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียนที่ จ. สุพรรณบุรี จนเทียบได้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วัดศรีสุดาราม กรุงเทพฯ ในคณะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ จนจบปริญญาตรี รุ่นที่ 46 รุ่นเดียวกับ "พระมหาสมปอง ตาลปุตโต"
"ดีใจที่ได้เรียน เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดที่บรรพชาเป็นสามเณรให้แม่"
เป็นความรู้สึกของ ร.อ.สมญา ในวันที่ก้าวเดินบนเส้นทางการศึกษาในวัยเยาว์ ก่อนที่ทั้งหมดจะเป็นประสบการณ์ที่ดี ให้เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน เป็นอนุศาสนาจารย์ ประจำกองทัพบกของสหรัฐอเมริกาในเวลานี้
"ร.อ.สมญา มาลาศรี" กับหน้าที่การงานในปัจจุบันคือ อนุศาสนาจารย์ ประจำกองทัพบกของสหรัฐอเมริกา มีหน้าที่คอยให้คำปรึกษากับทหารที่นับถือศาสนาพุทธทั่วประเทศอเมริกา
- ที่มาที่ไปการได้ประจำการกองทับบกอเมริกา?
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจาก มจร.ผมก็สมัครเข้าอบรมพระธรรมทูต และได้ขอวีซ่าสหรัฐอเมริกาได้ 2 ปี เป็นวีซ่าพระสงฆ์ ก็เลยไปประจำอยู่ที่แรกคือวัดพุทธวราราม เมืองเดนเวอร์ จากนั้นหลวงพ่อก็ส่งไปอยู่ที่วัดสันติธรรมเมืองโคโลราโดสปริง อยู่ได้พรรษาหนึ่ง ก็เลยไปอยู่ที่วัดธรรมคุณาราม ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม
ระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่วัดนี่เอง ก็ได้เห็นทหารอเมริกัน สัญชาติเวียดนามบ้าง สัญชาติลาวบ้าง ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ เดินทางมาไหว้พระที่วัด ตอนที่เห็นก็นึกถึงวัยเด็ก ซึ่งตัวเองอยากเป็นทหารมาก ก็เลยคิดที่อยากจะไปสมัครหรือหาหนทางที่จะรับราชการทหาร แล้วในที่สุดก็ลาสิกขา หลังจากบวชเป็นเณร 4 พรรษา พระ 13 พรรษา
- สึกแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย?
ครับ ตอนนั้นผมอายุ 34 ปีแล้ว กลับมาอยู่เมืองไทยได้สักพักหนึ่ง พระที่อเมริกาก็ติดต่อมา บอกให้ไปช่วยงานที่วัดในอเมริกา เพราะเห็นว่าผมพูดภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้งานอะไร ก็เลยตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาอีกครั้ง โดยทางวัดเป็นคนเดินเรื่อง ออกกรีนการ์ดให้ ช่วยงานศาสนาอยู่จนเข้าปีที่ 3 ปี ก็พอดีได้เจอกับทหารอเมริกาสัญชาติลาว ที่มาทำบุญที่วัด มีโอกาสได้คุยกัน และก็ทำให้ทราบว่า ถ้ามีกรีนการ์ดในอเมริกาแบบนี้ ก็สามารถที่จะสมัครเป็นทหารได้
ได้รู้อย่างนี้ผมก็ดีใจมาก (ยิ้มกว้าง) เพราะอาชีพทหารเป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก เลยไปสมัครที่ศูนย์ทหารฟอร์ด แจ๊กสัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไหร่นัก ก็ปรากฏว่าได้รับคัดเลือก และก็ได้มีโอกาสเรียนต่อวิชาชีพที่ จบแล้วได้ติดยศสิบเอก ถูกส่งไปประจำการครั้งแรกที่ฮาวาย
- จากทหารธรรมดา มาเป็นอนุศาสนาจารย์?
คือหลังจากได้รับคัดเลือกเป็นทหาร และใกล้ที่จะเรียนจบก่อน ผมได้ไปสมัครตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ไว้ด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้ต้องบอกว่าโชคดีมาก เพราะพอไปประจำที่ฮาวายได้สักพัก ก็มีคำสั่งจากหน่วยเหนือให้ไปรบที่ประเทศอิรัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร พอดีทาง Buddhist Churches of America ที่เคยไปสมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ไว้เรียกไปสัมภาษณ์ ทางหัวหน้ากองอนุศาสนาจารย์ และส่งจดหมายมาหา เขายินดีมากที่ให้ผมไปเป็นเรียนเป็นอนุศาสนาจารย์ของกองทัพ
ผมก็กังวลเรื่องที่จะไปประจำการอิรัก แต่คนของ Buddhist Churches of America บอกว่าจะจัดการให้ ไม่ต้องห่วง จะช่วยจัดการเรื่องระเบียบการต่างๆ ให้ไม่ต้องไปประจำการที่อิรัก แล้วก็จริงๆ พอสักระยะก็มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องไปอิรักแล้ว แต่ให้ไปเรียนเป็นอนุศาสนาจารย์
- เป็นอนุศาสนาจารย์คนไทยคนแรก ประจำกองทัพ?
ครับเป็นคนไทยคนแรก ซึ่งหลังจากที่มาจากฮาวายแล้วทาง Buddhist Churches of America ก็ส่งให้ไปเรียนต่อปริญญาโท หลักสูตรอนุศาสนาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยเดอเวส เมืองลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เรียนอยู่ 3 ปีครึ่งก็จบปริญญาโท หลักสูตร 75 เครดิต ถ้าปริญญาโทธรรมดาประมาณ 35 เครดิต แต่ว่าก็เรียนนานเหมือนกัน โดยรายละเอียดในหลักสูตร เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลักศาสนาทั่วๆ และเรียนวิธีให้คำปรึกษาแก่บรรดาทหารชาวพุทธที่ประจำการอยู่ในกองทัพ
หลังสำเร็จการศึกษาก็ได้ติดยศว่าที่ร้อยตรี แล้วพอช่วงซัมเมอร์ผมก็ไปเรียนเป็นนายทหารที่ฟอร์ด แจ๊กสัน เรียน 4 เดือน ได้ติดยศร้อยตรี จากนั้นก็ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่ฟอร์ดหลุยส์ รัฐวอชิงตัน ทำงานเป็นอนุศาสนาจารย์
- มาเป็นนักบวชในนิกายมหายานของเกาหลีได้อย่างไร?
ไม่ได้ตั้งใจ (ยิ้ม) คือเนื่องจากสหรัฐอเมริกานั้น ตามกฎระเบียบของกองทัพ ถ้าเป็นอนุศาสนาจารย์ ต้องเป็นนักบวชในนิการมหายาน สำหรับนิกายเถรวาทแบบของไทยนั้นเขาไม่ยอมรับ โดยกองทัพสหรัฐค่อนข้างที่จะให้ความเชื่อถือในเรื่องของศาสนาพุทธแบบมหายานจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลีมาก และใครที่จะมีทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์ จะต้องบวชเป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธแบบสองประเทศนี้
ผมเลยบวชในนิกายเตกู เป็นมหายาน ของประเทศเกาหลีใต้ ก็สามารถทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์ได้ ตอนนี้เป็นทำหน้าที่มาแล้ว 2 ปี 8 เดือน ซึ่งขณะนี้ทางกองทัพบกสหรัฐ กำลังจะส่งไปเรียนต่อปริญญาเอกทางศาสนา ซึ่งเป็นโรงเรียนของทหาร เป็นหลักสูตรต่อเนื่อง โดยหากมีเวลาว่างก็จะมาช่วยงานตามวัดต่างๆ ด้วย
- หน้าที่การงานที่ทำเป็นอย่างไร?
ผมทำงานให้กำลังใจทหาร ให้คำปรึกษาทหาร และครอบครัวของทหาร อย่างเช่นให้คำปรึกษาเวลาที่ทหารเขาเครียดหรือมีความทุกข์เกิดขึ้น หรือบางครั้งก็มีไปสอนทหารที่อยู่ในคุกด้วย สอนไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ
ทหารอเมริกันที่เป็นชาวพุทธจากทั่วประเทศ จะถูกส่งมาหาผม ทหารเหล่านั้นก็จะมีคำถามให้ตอบในเรื่องที่ไม่สบายใจ เพราะพวกทหารไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เมื่อคุยไปสักระยะ ก็จะเริ่มเปิดใจมากขึ้น เขาก็สบายใจ นำคำแนะนำ หลักธรรมที่ให้ไปแก้ปัญหาชีวิตได้ นอกจากนี้ ก็จะมีทหารที่แม้ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่สนใจ ก็จะมาถามได้เหมือนกัน
การเป็นอนุศาสนาจารย์ทางพุทธ ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีตำแหน่งอีกตำแหน่งคือเป็นบาทหลวงด้วย มีหน้าที่ทำพิธีแต่งงาน พิธีขึ้นบ้านใหม่ หรือวันสำคัญของชาวพุทธต่างๆ ที่อยู่ที่นั่นได้ โดยเฉพาะในกองทัพอเมริกา ซึ่งมีทหารชาวพุทธจากหลายเชื้อชาติอยู่ด้วยกัน
สำหรับนักบวชในนิกายนี้ สามารถแต่งงานได้ และไม่ต้องแต่งกายเป็นนักบวชตลอดเวลา จะแต่งชุดพระก็เฉพาะเวลาทำพิธีกรรมต่างๆ เท่านั้น
- แล้วตอนนี้แต่งงานหรือยัง?
ครับ ผมมีครอบครัวแล้ว
- ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ไหน?
ตอนแรกประจำอยู่ที่ฟอร์ดหลุยส์รัฐวอชิงตัน ดี.ซี. ตอนหลังย้ายมาที่ ฟอร์ด เวบัวด์ แต่ปัจจุบันผมเพิ่งถูกส่งมาเรียนต่อปริญญาเอก ก็เลยมีโอกาสได้มาช่วยงานวัดไทยที่วอชิงตัน ดี.ซี.มากขึ้น ผมอยากช่วยเหลือทหารที่เป็นชาวพุทธประจำกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 กว่าคน ทั้งที่เป็นฝรั่งและเอเชีย บางครั้งก็มีการจัดค่ายสอนเรื่องทำสมาธิ สอนฝึกทำโยคะ
นอกจากนี้ ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญจัดงานวันวิสาขบูชา และงานวันสงกรานต์ครั้งแรกในค่ายทหารที่อเมริกาด้วย
- จากเด็กยากจนในต่างจังหวัด มาถึงวันนี้ได้มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกอย่างไร?
ภาคภูมิใจ และแม่ผมก็ภูมิใจในตัวผมมาก ครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็ภูมิใจที่ผมมาถึงวันนี้ได้ผมยังจำคำของ หลวงพ่อท่านบอกตอนเป็นสามเณรได้ดีเลยว่า "ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นหนึ่ง ที่คนอื่นเขาไม่เป็น" ผมเพิ่งนึกออกว่าตรงที่ผมเป็นคือสิ่งที่คนอื่นเขายังไม่เป็น ผมเป็นคนแรกที่ทำได้ เพิ่งรู้ตัวเองเรื่องนี้เหมือนกัน
ในที่สุดความฝันทั้งหมดที่เคยวาดไว้ตั้งแต่เด็ก สำเร็จแล้ว คิดคำนึงไปในอดีตว่าที่เราได้ประสบความสำเร็จก็เพราะความพยายามฝึกฝน ภาษาอังกฤษ (หัวเราะ) แต่ผลสำเร็จนี้ตั้งแต่แรกก็คือการที่ได้ร่ำเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า จากศาสนาพุทธในประเทศไทย ที่เทิดทูนไว้เหนือจิตสำนึกของตัวเองแท้ๆ
ความสำเร็จครั้งนี้ก็มีอีกคนหนึ่งคืออาจารย์ที่สอนผมมาตอนเด็กๆ ผมจำมาตลอด ถามผมว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมตอบอาจารย์ด้วยเสียงที่มั่นใจทุกครั้งว่าเป็นทหาร แต่ว่าการเป็นทหารในเมืองไทยมันค่อนข้างยาก เพราะว่าผมไม่มีอะไรเลยๆ (กล่าวเสียงสั่น น้ำตาคลอ)
- "พุทธศาสนาช่วยอะไรคุณบ้าง"
พระพุทธศาสนาช่วยผมได้มากมายเลย ถ้าไม่มีพุทธศาสนาผมคงไม่มีโอกาสยืนอยู่จุดๆ นี้เลย เพราะว่าที่บ้านผมจนมาก แม้แต่คิดว่าจะได้ขี่เครื่องบิน แค่คิดก็ยังไม่กล้า เพราะว่ามันสูงเกินไป (หัวเราะ)
ตอนเป็นเด็กไม่มีข้าวจะกิน ชีวิตผมจากไม่มีอะไรเลยก็ได้เรียนหนังสือได้มีโอกาส ก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อพระพุทธศาสนาด้วย
เมื่อก่อนผมเป็นลูกน้องมีฝรั่งเป็นหัวหน้า แต่ตอนนี้คนที่เป็นเลขาฯผมเป็นฝรั่ง คนที่จะมาหาผม ถ้าจะมาหาโดยตรงไม่ได้ ต้องมาหาลูกน้องซึ่งเป็นฝรั่งก่อน (ยิ้ม) ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ
ผมอยากจะบอกว่า คนเราทุกคน หากมีความตั้งใจ มุ่งมั่นทุ่มเทจริงๆ คิดหวังอะไรก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
"อย่าไปคิดว่าเราทำไม่ได้ ถ้ามั่นคงในสิ่งที่คิดแล้ว ให้ลงมือทำ สักวันก็จะประสบความสำเร็จ"
ที่มา : www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1378086718&grpid=03&catid=03
ร.อ.สมญา มาลาศรี อนุศาสนาจารย์ประจำกองทัพบกสหรัฐฯ
จากเด็กบ้านนอกลูกคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 5 คน ของครอบครัวชาวนาบ้านนาสีนวล ต.โคกโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ความที่ฐานะยากจน เลยมีโอกาสได้เรียนหนังสือจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้น
"ผมนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านทุกวัน เพราะอยากไปโรงเรียน เห็นเพื่อนขี่จักรยานผ่านหน้าบ้านไปโรงเรียนกันก็อยากไปด้วย แต่พ่อแม่ไม่มีเงินส่ง เพราะยากจน มีลูกเยอะ ต่อมาไม่นาน แม่ก็ส่งไปฝึกงานอยู่ที่อู่ซ่อมรถของน้า ได้เงินเดือน 30 บาทต่อวัน ทำงานทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 6 ทุ่ม ทำไปทำมา คิดไปคิดมาก็มองไม่เห็นอนาคต
"เครียดที่ไม่ได้เรียน เลยเลิกทำงาน ออกมาเป็นเด็กเกเร กินเหล้า เที่ยวเตร่ไปวันๆ ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจเป็นอย่างมาก" ร.อ.สมญากล่าวก่อนจะเปิดเผยชีวิตที่แสนรันทดอีกว่า ช่วงนั้นแม่ไม่สบายมาก เลยรับปากว่าจะบวชให้ท่านเพื่อให้แม่สบายใจ
เพราะอย่างนี้เอง ทำให้สมญาไม่ได้คิดที่จะครองผ้าเหลืองเป็นเวลานาน
แค่ผู้เป็นแม่สบายใจ หายจากป่วยไข้ ก็จะลาสิกขากลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป
แต่เหมือนชะตาชีวิตถูกลิขิตไว้แล้ว เมื่อบรรพชาครองผ้าเหลือง สามเณรสมญาก็มีโอกาสได้ติดตามพระผู้ใหญ่เดินทางไปยังที่ต่างๆ และในดินแดนปักษ์ใต้อย่าง จ.สงขลา และ จ.กระบี่ ทำให้เขามองเห็นช่องทางในการศึกษาเล่าเรียนต่อ โดยสอบเข้าเรียนเปรียญธรรมประโยคต่างๆ อีกทั้งยังได้เห็นพระพม่า ใน จ.กระบี่ พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ อยากพูดได้บ้าง จึงตามพระพม่ารูปหนึ่งไปเที่ยวเกาะสอง ประเทศพม่า นับเป็นการเดินทางไปเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก
"กลับมาประเทศไทย ก็ตัดสินใจทำวีซ่าเพื่อจะไปเรียนในพม่า แล้วก็ได้สมความตั้งใจ โชคดีมาก ระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่ จ.กระบี่ รู้จักกับโยมชาวพม่า เป็นคนดีมาก เป็นเศรษฐีพม่า เขาก็ช่วยสนับสนุนให้เรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่พม่า ในเมืองย่างกุ้ง
"ผมเรียนภาษาอังกฤษกับครูที่เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวกะเหรี่ยง พ่อเป็นคนอังกฤษ ตอนอยู่ที่พม่าผมจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง"
เรียนภาษาอังกฤษได้ 1 ปี กลับมาก็เริ่มมุ่งมั่นจะเดินหน้าเพิ่มพูดความรู้ให้กับตัวเอง โดยสมัครเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียนที่ จ. สุพรรณบุรี จนเทียบได้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) วัดศรีสุดาราม กรุงเทพฯ ในคณะมนุษยศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ จนจบปริญญาตรี รุ่นที่ 46 รุ่นเดียวกับ "พระมหาสมปอง ตาลปุตโต"
"ดีใจที่ได้เรียน เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดที่บรรพชาเป็นสามเณรให้แม่"
เป็นความรู้สึกของ ร.อ.สมญา ในวันที่ก้าวเดินบนเส้นทางการศึกษาในวัยเยาว์ ก่อนที่ทั้งหมดจะเป็นประสบการณ์ที่ดี ให้เขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน เป็นอนุศาสนาจารย์ ประจำกองทัพบกของสหรัฐอเมริกาในเวลานี้
"ร.อ.สมญา มาลาศรี" กับหน้าที่การงานในปัจจุบันคือ อนุศาสนาจารย์ ประจำกองทัพบกของสหรัฐอเมริกา มีหน้าที่คอยให้คำปรึกษากับทหารที่นับถือศาสนาพุทธทั่วประเทศอเมริกา
- ที่มาที่ไปการได้ประจำการกองทับบกอเมริกา?
หลังจากเรียนจบปริญญาตรีจาก มจร.ผมก็สมัครเข้าอบรมพระธรรมทูต และได้ขอวีซ่าสหรัฐอเมริกาได้ 2 ปี เป็นวีซ่าพระสงฆ์ ก็เลยไปประจำอยู่ที่แรกคือวัดพุทธวราราม เมืองเดนเวอร์ จากนั้นหลวงพ่อก็ส่งไปอยู่ที่วัดสันติธรรมเมืองโคโลราโดสปริง อยู่ได้พรรษาหนึ่ง ก็เลยไปอยู่ที่วัดธรรมคุณาราม ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม
ระหว่างที่จำพรรษาอยู่ที่วัดนี่เอง ก็ได้เห็นทหารอเมริกัน สัญชาติเวียดนามบ้าง สัญชาติลาวบ้าง ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ เดินทางมาไหว้พระที่วัด ตอนที่เห็นก็นึกถึงวัยเด็ก ซึ่งตัวเองอยากเป็นทหารมาก ก็เลยคิดที่อยากจะไปสมัครหรือหาหนทางที่จะรับราชการทหาร แล้วในที่สุดก็ลาสิกขา หลังจากบวชเป็นเณร 4 พรรษา พระ 13 พรรษา
- สึกแล้วกลับมาอยู่เมืองไทย?
ครับ ตอนนั้นผมอายุ 34 ปีแล้ว กลับมาอยู่เมืองไทยได้สักพักหนึ่ง พระที่อเมริกาก็ติดต่อมา บอกให้ไปช่วยงานที่วัดในอเมริกา เพราะเห็นว่าผมพูดภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้งานอะไร ก็เลยตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาอีกครั้ง โดยทางวัดเป็นคนเดินเรื่อง ออกกรีนการ์ดให้ ช่วยงานศาสนาอยู่จนเข้าปีที่ 3 ปี ก็พอดีได้เจอกับทหารอเมริกาสัญชาติลาว ที่มาทำบุญที่วัด มีโอกาสได้คุยกัน และก็ทำให้ทราบว่า ถ้ามีกรีนการ์ดในอเมริกาแบบนี้ ก็สามารถที่จะสมัครเป็นทหารได้
ได้รู้อย่างนี้ผมก็ดีใจมาก (ยิ้มกว้าง) เพราะอาชีพทหารเป็นสิ่งที่เราใฝ่ฝันตั้งแต่เด็ก เลยไปสมัครที่ศูนย์ทหารฟอร์ด แจ๊กสัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไหร่นัก ก็ปรากฏว่าได้รับคัดเลือก และก็ได้มีโอกาสเรียนต่อวิชาชีพที่ จบแล้วได้ติดยศสิบเอก ถูกส่งไปประจำการครั้งแรกที่ฮาวาย
- จากทหารธรรมดา มาเป็นอนุศาสนาจารย์?
คือหลังจากได้รับคัดเลือกเป็นทหาร และใกล้ที่จะเรียนจบก่อน ผมได้ไปสมัครตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ไว้ด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้ต้องบอกว่าโชคดีมาก เพราะพอไปประจำที่ฮาวายได้สักพัก ก็มีคำสั่งจากหน่วยเหนือให้ไปรบที่ประเทศอิรัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร พอดีทาง Buddhist Churches of America ที่เคยไปสมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ไว้เรียกไปสัมภาษณ์ ทางหัวหน้ากองอนุศาสนาจารย์ และส่งจดหมายมาหา เขายินดีมากที่ให้ผมไปเป็นเรียนเป็นอนุศาสนาจารย์ของกองทัพ
ผมก็กังวลเรื่องที่จะไปประจำการอิรัก แต่คนของ Buddhist Churches of America บอกว่าจะจัดการให้ ไม่ต้องห่วง จะช่วยจัดการเรื่องระเบียบการต่างๆ ให้ไม่ต้องไปประจำการที่อิรัก แล้วก็จริงๆ พอสักระยะก็มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องไปอิรักแล้ว แต่ให้ไปเรียนเป็นอนุศาสนาจารย์
- เป็นอนุศาสนาจารย์คนไทยคนแรก ประจำกองทัพ?
ครับเป็นคนไทยคนแรก ซึ่งหลังจากที่มาจากฮาวายแล้วทาง Buddhist Churches of America ก็ส่งให้ไปเรียนต่อปริญญาโท หลักสูตรอนุศาสนาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยเดอเวส เมืองลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เรียนอยู่ 3 ปีครึ่งก็จบปริญญาโท หลักสูตร 75 เครดิต ถ้าปริญญาโทธรรมดาประมาณ 35 เครดิต แต่ว่าก็เรียนนานเหมือนกัน โดยรายละเอียดในหลักสูตร เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลักศาสนาทั่วๆ และเรียนวิธีให้คำปรึกษาแก่บรรดาทหารชาวพุทธที่ประจำการอยู่ในกองทัพ
หลังสำเร็จการศึกษาก็ได้ติดยศว่าที่ร้อยตรี แล้วพอช่วงซัมเมอร์ผมก็ไปเรียนเป็นนายทหารที่ฟอร์ด แจ๊กสัน เรียน 4 เดือน ได้ติดยศร้อยตรี จากนั้นก็ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่ฟอร์ดหลุยส์ รัฐวอชิงตัน ทำงานเป็นอนุศาสนาจารย์
- มาเป็นนักบวชในนิกายมหายานของเกาหลีได้อย่างไร?
ไม่ได้ตั้งใจ (ยิ้ม) คือเนื่องจากสหรัฐอเมริกานั้น ตามกฎระเบียบของกองทัพ ถ้าเป็นอนุศาสนาจารย์ ต้องเป็นนักบวชในนิการมหายาน สำหรับนิกายเถรวาทแบบของไทยนั้นเขาไม่ยอมรับ โดยกองทัพสหรัฐค่อนข้างที่จะให้ความเชื่อถือในเรื่องของศาสนาพุทธแบบมหายานจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลีมาก และใครที่จะมีทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์ จะต้องบวชเป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธแบบสองประเทศนี้
ผมเลยบวชในนิกายเตกู เป็นมหายาน ของประเทศเกาหลีใต้ ก็สามารถทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์ได้ ตอนนี้เป็นทำหน้าที่มาแล้ว 2 ปี 8 เดือน ซึ่งขณะนี้ทางกองทัพบกสหรัฐ กำลังจะส่งไปเรียนต่อปริญญาเอกทางศาสนา ซึ่งเป็นโรงเรียนของทหาร เป็นหลักสูตรต่อเนื่อง โดยหากมีเวลาว่างก็จะมาช่วยงานตามวัดต่างๆ ด้วย
- หน้าที่การงานที่ทำเป็นอย่างไร?
ผมทำงานให้กำลังใจทหาร ให้คำปรึกษาทหาร และครอบครัวของทหาร อย่างเช่นให้คำปรึกษาเวลาที่ทหารเขาเครียดหรือมีความทุกข์เกิดขึ้น หรือบางครั้งก็มีไปสอนทหารที่อยู่ในคุกด้วย สอนไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ
ทหารอเมริกันที่เป็นชาวพุทธจากทั่วประเทศ จะถูกส่งมาหาผม ทหารเหล่านั้นก็จะมีคำถามให้ตอบในเรื่องที่ไม่สบายใจ เพราะพวกทหารไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เมื่อคุยไปสักระยะ ก็จะเริ่มเปิดใจมากขึ้น เขาก็สบายใจ นำคำแนะนำ หลักธรรมที่ให้ไปแก้ปัญหาชีวิตได้ นอกจากนี้ ก็จะมีทหารที่แม้ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่สนใจ ก็จะมาถามได้เหมือนกัน
การเป็นอนุศาสนาจารย์ทางพุทธ ของประเทศสหรัฐอเมริกา มีตำแหน่งอีกตำแหน่งคือเป็นบาทหลวงด้วย มีหน้าที่ทำพิธีแต่งงาน พิธีขึ้นบ้านใหม่ หรือวันสำคัญของชาวพุทธต่างๆ ที่อยู่ที่นั่นได้ โดยเฉพาะในกองทัพอเมริกา ซึ่งมีทหารชาวพุทธจากหลายเชื้อชาติอยู่ด้วยกัน
สำหรับนักบวชในนิกายนี้ สามารถแต่งงานได้ และไม่ต้องแต่งกายเป็นนักบวชตลอดเวลา จะแต่งชุดพระก็เฉพาะเวลาทำพิธีกรรมต่างๆ เท่านั้น
- แล้วตอนนี้แต่งงานหรือยัง?
ครับ ผมมีครอบครัวแล้ว
- ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ไหน?
ตอนแรกประจำอยู่ที่ฟอร์ดหลุยส์รัฐวอชิงตัน ดี.ซี. ตอนหลังย้ายมาที่ ฟอร์ด เวบัวด์ แต่ปัจจุบันผมเพิ่งถูกส่งมาเรียนต่อปริญญาเอก ก็เลยมีโอกาสได้มาช่วยงานวัดไทยที่วอชิงตัน ดี.ซี.มากขึ้น ผมอยากช่วยเหลือทหารที่เป็นชาวพุทธประจำกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 กว่าคน ทั้งที่เป็นฝรั่งและเอเชีย บางครั้งก็มีการจัดค่ายสอนเรื่องทำสมาธิ สอนฝึกทำโยคะ
นอกจากนี้ ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญจัดงานวันวิสาขบูชา และงานวันสงกรานต์ครั้งแรกในค่ายทหารที่อเมริกาด้วย
- จากเด็กยากจนในต่างจังหวัด มาถึงวันนี้ได้มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกอย่างไร?
ภาคภูมิใจ และแม่ผมก็ภูมิใจในตัวผมมาก ครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็ภูมิใจที่ผมมาถึงวันนี้ได้ผมยังจำคำของ หลวงพ่อท่านบอกตอนเป็นสามเณรได้ดีเลยว่า "ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นหนึ่ง ที่คนอื่นเขาไม่เป็น" ผมเพิ่งนึกออกว่าตรงที่ผมเป็นคือสิ่งที่คนอื่นเขายังไม่เป็น ผมเป็นคนแรกที่ทำได้ เพิ่งรู้ตัวเองเรื่องนี้เหมือนกัน
ในที่สุดความฝันทั้งหมดที่เคยวาดไว้ตั้งแต่เด็ก สำเร็จแล้ว คิดคำนึงไปในอดีตว่าที่เราได้ประสบความสำเร็จก็เพราะความพยายามฝึกฝน ภาษาอังกฤษ (หัวเราะ) แต่ผลสำเร็จนี้ตั้งแต่แรกก็คือการที่ได้ร่ำเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า จากศาสนาพุทธในประเทศไทย ที่เทิดทูนไว้เหนือจิตสำนึกของตัวเองแท้ๆ
ความสำเร็จครั้งนี้ก็มีอีกคนหนึ่งคืออาจารย์ที่สอนผมมาตอนเด็กๆ ผมจำมาตลอด ถามผมว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผมตอบอาจารย์ด้วยเสียงที่มั่นใจทุกครั้งว่าเป็นทหาร แต่ว่าการเป็นทหารในเมืองไทยมันค่อนข้างยาก เพราะว่าผมไม่มีอะไรเลยๆ (กล่าวเสียงสั่น น้ำตาคลอ)
- "พุทธศาสนาช่วยอะไรคุณบ้าง"
พระพุทธศาสนาช่วยผมได้มากมายเลย ถ้าไม่มีพุทธศาสนาผมคงไม่มีโอกาสยืนอยู่จุดๆ นี้เลย เพราะว่าที่บ้านผมจนมาก แม้แต่คิดว่าจะได้ขี่เครื่องบิน แค่คิดก็ยังไม่กล้า เพราะว่ามันสูงเกินไป (หัวเราะ)
ตอนเป็นเด็กไม่มีข้าวจะกิน ชีวิตผมจากไม่มีอะไรเลยก็ได้เรียนหนังสือได้มีโอกาส ก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อพระพุทธศาสนาด้วย
เมื่อก่อนผมเป็นลูกน้องมีฝรั่งเป็นหัวหน้า แต่ตอนนี้คนที่เป็นเลขาฯผมเป็นฝรั่ง คนที่จะมาหาผม ถ้าจะมาหาโดยตรงไม่ได้ ต้องมาหาลูกน้องซึ่งเป็นฝรั่งก่อน (ยิ้ม) ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ
ผมอยากจะบอกว่า คนเราทุกคน หากมีความตั้งใจ มุ่งมั่นทุ่มเทจริงๆ คิดหวังอะไรก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
"อย่าไปคิดว่าเราทำไม่ได้ ถ้ามั่นคงในสิ่งที่คิดแล้ว ให้ลงมือทำ สักวันก็จะประสบความสำเร็จ"
ที่มา : www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1378086718&grpid=03&catid=03