ตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ ''พี่เป้า'' สายัณห์ สัญญา เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งตับ จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 11 ก.ย. 56 ชื่อของ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวคอยให้ข่าวความเคลื่อนไหวของ ''นักร้องขวัญใจคนเดิม'' กับกองทัพผู้สื่อข่าวผ่านไปยังมิตรรักแฟนเพลงที่เฝ้าติดตามให้กำลังใจนักร้องคนโปรดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
อันที่จริงชื่อของ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายอยู่แล้วในหมู่ของคนลูกทุ่ง และวงการการเมือง เพียงแต่อาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนรุ่นใหม่เท่านั้น
''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ หรือที่น้องๆ นักข่าวพากันเรียกขานว่า ''พี่อ้อ'' ตลอดระยะเวลาที่ติดตามความเคลื่อนไหวอาการป่วยของ ''สายัณห์ สัญญา'' นั้นมีความผูกพันกับขุนพลเพลงลูกทุ่งผู้ล่วงลับมายาวนาน ตั้งแต่สมัยที่เขากำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเซนต์จอห์น ในระดับปวช. จนกระทั่งชักชวนมาร่วมเปิดวงดนตรี ''สายัณห์ สัญญา'' หนที่สอง และเข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวดูแลเรื่องงานให้กับพี่เป้าเรื่อยมา
ทั้งนี้ในสมัยที่ ''อ้อ-มานิตย์'' ยังเรียนอยู่นั้น ''สายัณห์'' ได้ออกค่าเทอม ค่าใช้จ่ายๆ ต่างๆ ให้ทั้งหมดด้วย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ ''พี่เป้า'' สายัณห์ สัญญา ยกให้ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ เป็นน้องชายที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด
ขนาดช่วงที่เริ่มรู้ตัวเองว่าป่วยหนักเป็นมะเร็ง ''พี่เป้า'' ก็ไม่เคยปริปากบอกใครแม้แต่เมียและลูก แต่บอกน้องชายสุดที่รักเป็นคนแรก และน้องชายคนนี้ก็อยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้กับพี่ชายสุดที่รักของเขาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจนกระทั่งลาโลกนี้ไปสร้างความโศกเศร้าให้กับมิตรรักแฟนเพลงทั่วสารทิศ
''ผมรู้จักกับพี่เป้าตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนอยู่ปวช. พอรู้จักกันปั๊บแกก็ออกค่าเทอมให้ บอกผมว่าไม่ต้องยุ่งเรื่องค่าเทอมค่ารถแกออกให้หมดขอผมเป็นน้อง ตอนเรียนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านให้กลับบ้านผมก็ไม่กลับ ไปสำนักงานพี่เป้า มาเที่ยวมากินนอน แล้วก็มารับเงินรายอาทิตย์ด้วย ถ้าพี่เป้าไม่อยู่เขาไปเดินสายก็ฝากเงินไว้ให้ ผมว่าเป็นความผูกพันกับพี่ชายผมมากกว่า เขาเห็นผมเป็นน้องชายมากกว่า แต่ก็มีข้อแม้นะว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่กลับเมืองเพชรนะ ต้องไปอยู่ที่สำนักงานสายัณห์อยู่ซอยพาณิชยการ พอหยุดปั๊บผมก็ไม่เคยกลับเพชรเลย ไปอยู่ที่สำนักงานแกตลอด สบายได้นั่งรถไปไหนมาไหนกับนักร้องดังนี่โอ้โหพอลงปั๊มเข้าห้องน้ำทีนี่คนมารุมเต็มห้องน้ำเลย ออกมานี่คนยังออเต็มหน้าห้องน้ำเลย ตอนนั้นพี่เป้าดังมากไปเที่ยวกับแกตอนเด็กๆ นะ กว่าจะเข้างานได้เนี่ยเหนื่อยสุดๆ แหละ''
สายัณห์ สัญญา ให้ความรักความเอ็นดูกับ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ มาก ขนาดมาเปิดวิกทำการแสดงที่โรงหนังลาดพร้าวราม่า (ปัจจุบันคือห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอลล์) ยังแวะไปหาที่โรงเรียนเซนต์จอห์น ทำเอานักเรียน ครูบาอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ แตกตื่นกันหมด
''ตอนที่แกไปเล่นที่ลาดพร้าวราม่า แกก็แวะไปหาผมที่กำลังเรียนปวช.อยู่เซนต์จอห์น ไม่เป็นอันเรียนกันเลย ตอนนั้นยังเป็นช่วงเรียนอยู่ไม่ใช่ช่วงพัก ด้วยความตกใจของห้องธุรการเขาประกาศว่าสายัณห์มาหา นายมานิตย์ อังกินันท์ พอประกาศว่าสายัณห์มาหาผมปั๊บที่นี้ก็เอาล่ะแห่กันมาเต็มที่ห้องธุรการเลย ผมเลยกลายเป็นตัวเด่นไปเลยเพราะเป็นคนที่รู้จักกับสายัณห์ ก่อนหน้านั้นก็รู้จักกันแล้วครับที่เพชรบุรี เขามาเจอผมที่นั่นแล้วก็ขอกับพ่อผมว่า ขอดูแลอ้อก็แล้วกัน เรื่องค่าเทอมไม่ต้องยุ่ง เขาขอดูแลให้หมด''
ก่อนขยับเป็นผู้จัดการส่วนตัว มานิตย์ อังกินันท์ เล่าว่า เขามีความสนิทสนมกับ สายัณห์ สัญญามากๆ วันหยุดไม่กลับบ้านที่ จ.เพชรบุรี เลือกที่ไปขลุกอยู่กับนักร้องคนดังที่ สำนักงาน ซ.พาณิชยการ รวมถึงไปช่วยถือของตอนไปไหนมาไหนให้
''โอ้โหสมัยนั้น สายัณห์ สัญญา โด่งดังมาก โด่งดังจริงๆ เข้ามาเล่นที่ลาดพร้าวราม่าเนี่ยรอบค่ำเนี่ยเต็มหมดแล้ว เหลือแต่รอบกลางวันอย่างเดียว เก็บบัตรใบ 80 บาทประมาณปี พ.ศ. 2520-2521 เก็บบัตรคืนหนึ่งได้เยอะนะ แต่ค่าเช่าโรงหนังก็สูงคืนหนึ่ง 20,000 กว่าบาท แต่ถ้าอย่างกับพระโขนงเธียเตอร์เนี่ยสมัยนั้นเช่าแพงที่สุด คืนหนึ่ง 45,000 -50,000 บาท ของบรรดาโรงหนังทั่วประเทศไทย แต่ก็จุคนได้เยอะที่สุดจุได้ 2,000 คน ทุกโรงอื่นๆ จุได้แค่ 700-800 คน อย่างมากก็ไม่เกิน 1,200 คน เป็นเก้าอี้เหล็กสมัยก่อน แต่พระโขนงเธียเตอร์นี่ถ้าเสริมจุได้ 3,000 คนสบาย เป็นโรงหนังที่ใหญ่ที่สุด ตอนนั้นที่ไหนก็ไม่สู้พระโขนง ผมก็ไปช่วยแกถือโน่นถือนี่เรื่อยไปจนกระทั่งผมเรียนหนังสือจบก็ยังติดต่อกันตลอด เรียนจบผมก็กลับมาอยู่บ้านที่เพชรบุรี ช่วงที่ผมอยู่เพชรบุรีแกก็เริ่มซาๆ แล้ว เป็นช่วงขาลงเราก็กลับมาสนิทกันช่วงนั้นสนิทมากแกก็ไปมาหาสู่เราตลอดซื้อขนมมาฝากกันตลอด ที่มาสนิทกันมากคือช่วงที่แกมาบันทึกเสียงชุดบัวตูมบัวบาน ประมาณปี 2533-2534 แล้วก็มาชวนกันทำวงดนตรี เปิดวงใหม่ นั่นแหละผมเข้ามาเต็มตัวช่วงนั้น ก่อนหน้านี้แกก็ทำวงแล้วแกก็เลิกวงไป เพราะเป็นช่วงที่แกมีครอบครัวแล้วด้วยไงแกก็อยู่กับครอบครัว 3-4 ปี ไม่ทำอะไรเลยเลี้ยงลูกอย่างเดียวไม่ทำงาน รับอัดเสียงอย่างเดียว''
ด้วยความผูกพันที่มีต่อกันมายาวนาน และมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำให้ มานิตย์ อังกินันท์ รู้จักนิสัยใจคอของพี่เป้าเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผจก.ส่วนตัวบอกว่าขุนพลเพลงผู้ล่วงลับมีนิสัยดื้อ พูดจาโผงผาง แต่จริงใจ
''ผมคอยช่วยถือกระเป๋าถือของอะไรให้แกมานานเพราะมีความผูกพันกัน ยังไม่ได้เป็นถึงผู้จัดการส่วนตัวนะตอนนั้น อันนี้เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว พอคบกันผมรู้ว่าเออแกไม่ใช่คนดุนะ แต่ผมก็เคยมองเหมือนทุกคนว่าเป็นคนดุแน่เลย เพราะตาแกน่ากลัว พอได้คบกันรู้เลยว่าแกเป็นคนใจดีนะครับ มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสหลังเวทีการแสดงคอนเสิร์ตผมรู้เลยทันทีว่าคนนี้ไม่ใช่คนหยิ่ง ลูกน้องกินอะไรกินด้วยไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นปิ้งรถเข็นหรืออะไรมาขายกินด้วยกันได้หมด เวลาไปงานอะไรเขาก็ไปรถกับลูกวงเนี่ยแหละไม่เวอร์เลย ทั้งๆ ที่ในยุคนั้นตัวเองก็มีบีเอ็ม ซีตรองก็มีจอดอยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็โบกแท็กซี่ไป อย่างไปแสดงคอนเสิร์ตที่อยุธยา เพชรบุรี ขอโทษโบกแท็กซี่ไปนะครับ จนบางครั้งเจ้าของงานเขาไม่ให้เข้า คนดูแลของเจ้าของงานบอกเข้าไม่ได้ เข้าไม่ได้ พอเขาว่านี่สายัณห์นะ คนดูแลยังบอกอีกว่าเฮ้ยไม่ใช่หรอก สายัณห์ไม่มารถแท็กซี่ ผมยังนั่งขำเลย ขนาดลงจากรถมาบอกว่านี่ไงสายัณห์ เจ้าของงานยังคาใจอยู่เลย ถามว่ามันตัวจริงหรือตัวปลอม''
แม้เป็นคนดื้อ แต่ สายัณห์ สัญญา ก็เป็นคนรู้จักขอโทษ เมื่อเป็นฝ่ายผิด ไม่ได้เถียงชนฝาเพื่อต้องการเป็นฝ่ายถูกท่าเดียว โดยนักร้องขวัญใจคนเดิมมีลีลาออดอ้อนเพื่อขอโทษอีกฝ่ายด้วยคำพูดคำจาอ่อนหวาน ไม่แตกต่างจากการอ้อนมิตรรักแฟนเพลงด้านหน้าเวทีคอนเสิร์ตเลยทีเดียว
''สายัณห์ เป็นคนดื้อ บางเรื่องแกรับไม่ได้ สมมติว่าเรารับงาน 50,000 บาท แต่เราต้องบวกค่าโทรศัพท์เรา เป็น 55,000 บาทนะ ไม่งั้นผมจะกินอะไรล่ะ แล้วค่าโทรศัพท์ติดต่องาน 5,000 ไม่ได้เยอะนะพี่ เขาบอกว่าสงสารเจ้าภาพ ผมก็บอกว่าพี่ก็ลดราคาเหลือ 45,000 บาท สิ ค่าจ้าง 50,000 บาท ผมจะได้ 5,000 บาท แกก็ไม่ลด ก็เถียงกันเรื่อยแหละกับเรื่องแบบนี้เรื่องไม่เป็นเรื่องทะเลาะกัน 2-3 เดี๋ยวแกก็โทร.มาหาเองแหละถามว่าแกอยู่ไหน แกก็มาอ้อนมาง้อตามสไตล์ของแกนั่นแหละ เวลามีปัญหาผมไม่เคยโทร.ไปหาเขาเลย เดี๋ยวแกก็โทร.มาของแกเอง พี่เป้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นถ้าแกไม่ผิดนะเถียงหัวชนฝาเหมือนกัน''
นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของนักร้องขวัญใจคนเดิม ในความทรงจำ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายของ ''สายัณห์ สัญญา'' ที่น้องชายสุดที่รักถ่ายทอดออกมาให้มิตรรักแฟนเพลงได้รับรู้
รับรองเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผยที่ไหนมาก่อนทั้งสิ้น
เคยสงสัยมั้ยว่า "มานิตย์ อังกินันท์" เป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับพี่เป้า สายัณห์ สัญญา
ตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ ''พี่เป้า'' สายัณห์ สัญญา เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งตับ จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 11 ก.ย. 56 ชื่อของ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ในฐานะผู้จัดการส่วนตัวคอยให้ข่าวความเคลื่อนไหวของ ''นักร้องขวัญใจคนเดิม'' กับกองทัพผู้สื่อข่าวผ่านไปยังมิตรรักแฟนเพลงที่เฝ้าติดตามให้กำลังใจนักร้องคนโปรดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
อันที่จริงชื่อของ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายอยู่แล้วในหมู่ของคนลูกทุ่ง และวงการการเมือง เพียงแต่อาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนรุ่นใหม่เท่านั้น
''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ หรือที่น้องๆ นักข่าวพากันเรียกขานว่า ''พี่อ้อ'' ตลอดระยะเวลาที่ติดตามความเคลื่อนไหวอาการป่วยของ ''สายัณห์ สัญญา'' นั้นมีความผูกพันกับขุนพลเพลงลูกทุ่งผู้ล่วงลับมายาวนาน ตั้งแต่สมัยที่เขากำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเซนต์จอห์น ในระดับปวช. จนกระทั่งชักชวนมาร่วมเปิดวงดนตรี ''สายัณห์ สัญญา'' หนที่สอง และเข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวดูแลเรื่องงานให้กับพี่เป้าเรื่อยมา
ทั้งนี้ในสมัยที่ ''อ้อ-มานิตย์'' ยังเรียนอยู่นั้น ''สายัณห์'' ได้ออกค่าเทอม ค่าใช้จ่ายๆ ต่างๆ ให้ทั้งหมดด้วย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ ''พี่เป้า'' สายัณห์ สัญญา ยกให้ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ เป็นน้องชายที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด
ขนาดช่วงที่เริ่มรู้ตัวเองว่าป่วยหนักเป็นมะเร็ง ''พี่เป้า'' ก็ไม่เคยปริปากบอกใครแม้แต่เมียและลูก แต่บอกน้องชายสุดที่รักเป็นคนแรก และน้องชายคนนี้ก็อยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้กับพี่ชายสุดที่รักของเขาตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจนกระทั่งลาโลกนี้ไปสร้างความโศกเศร้าให้กับมิตรรักแฟนเพลงทั่วสารทิศ
''ผมรู้จักกับพี่เป้าตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนอยู่ปวช. พอรู้จักกันปั๊บแกก็ออกค่าเทอมให้ บอกผมว่าไม่ต้องยุ่งเรื่องค่าเทอมค่ารถแกออกให้หมดขอผมเป็นน้อง ตอนเรียนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ที่บ้านให้กลับบ้านผมก็ไม่กลับ ไปสำนักงานพี่เป้า มาเที่ยวมากินนอน แล้วก็มารับเงินรายอาทิตย์ด้วย ถ้าพี่เป้าไม่อยู่เขาไปเดินสายก็ฝากเงินไว้ให้ ผมว่าเป็นความผูกพันกับพี่ชายผมมากกว่า เขาเห็นผมเป็นน้องชายมากกว่า แต่ก็มีข้อแม้นะว่าวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่กลับเมืองเพชรนะ ต้องไปอยู่ที่สำนักงานสายัณห์อยู่ซอยพาณิชยการ พอหยุดปั๊บผมก็ไม่เคยกลับเพชรเลย ไปอยู่ที่สำนักงานแกตลอด สบายได้นั่งรถไปไหนมาไหนกับนักร้องดังนี่โอ้โหพอลงปั๊มเข้าห้องน้ำทีนี่คนมารุมเต็มห้องน้ำเลย ออกมานี่คนยังออเต็มหน้าห้องน้ำเลย ตอนนั้นพี่เป้าดังมากไปเที่ยวกับแกตอนเด็กๆ นะ กว่าจะเข้างานได้เนี่ยเหนื่อยสุดๆ แหละ''
สายัณห์ สัญญา ให้ความรักความเอ็นดูกับ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ มาก ขนาดมาเปิดวิกทำการแสดงที่โรงหนังลาดพร้าวราม่า (ปัจจุบันคือห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอลล์) ยังแวะไปหาที่โรงเรียนเซนต์จอห์น ทำเอานักเรียน ครูบาอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ แตกตื่นกันหมด
''ตอนที่แกไปเล่นที่ลาดพร้าวราม่า แกก็แวะไปหาผมที่กำลังเรียนปวช.อยู่เซนต์จอห์น ไม่เป็นอันเรียนกันเลย ตอนนั้นยังเป็นช่วงเรียนอยู่ไม่ใช่ช่วงพัก ด้วยความตกใจของห้องธุรการเขาประกาศว่าสายัณห์มาหา นายมานิตย์ อังกินันท์ พอประกาศว่าสายัณห์มาหาผมปั๊บที่นี้ก็เอาล่ะแห่กันมาเต็มที่ห้องธุรการเลย ผมเลยกลายเป็นตัวเด่นไปเลยเพราะเป็นคนที่รู้จักกับสายัณห์ ก่อนหน้านั้นก็รู้จักกันแล้วครับที่เพชรบุรี เขามาเจอผมที่นั่นแล้วก็ขอกับพ่อผมว่า ขอดูแลอ้อก็แล้วกัน เรื่องค่าเทอมไม่ต้องยุ่ง เขาขอดูแลให้หมด''
ก่อนขยับเป็นผู้จัดการส่วนตัว มานิตย์ อังกินันท์ เล่าว่า เขามีความสนิทสนมกับ สายัณห์ สัญญามากๆ วันหยุดไม่กลับบ้านที่ จ.เพชรบุรี เลือกที่ไปขลุกอยู่กับนักร้องคนดังที่ สำนักงาน ซ.พาณิชยการ รวมถึงไปช่วยถือของตอนไปไหนมาไหนให้
''โอ้โหสมัยนั้น สายัณห์ สัญญา โด่งดังมาก โด่งดังจริงๆ เข้ามาเล่นที่ลาดพร้าวราม่าเนี่ยรอบค่ำเนี่ยเต็มหมดแล้ว เหลือแต่รอบกลางวันอย่างเดียว เก็บบัตรใบ 80 บาทประมาณปี พ.ศ. 2520-2521 เก็บบัตรคืนหนึ่งได้เยอะนะ แต่ค่าเช่าโรงหนังก็สูงคืนหนึ่ง 20,000 กว่าบาท แต่ถ้าอย่างกับพระโขนงเธียเตอร์เนี่ยสมัยนั้นเช่าแพงที่สุด คืนหนึ่ง 45,000 -50,000 บาท ของบรรดาโรงหนังทั่วประเทศไทย แต่ก็จุคนได้เยอะที่สุดจุได้ 2,000 คน ทุกโรงอื่นๆ จุได้แค่ 700-800 คน อย่างมากก็ไม่เกิน 1,200 คน เป็นเก้าอี้เหล็กสมัยก่อน แต่พระโขนงเธียเตอร์นี่ถ้าเสริมจุได้ 3,000 คนสบาย เป็นโรงหนังที่ใหญ่ที่สุด ตอนนั้นที่ไหนก็ไม่สู้พระโขนง ผมก็ไปช่วยแกถือโน่นถือนี่เรื่อยไปจนกระทั่งผมเรียนหนังสือจบก็ยังติดต่อกันตลอด เรียนจบผมก็กลับมาอยู่บ้านที่เพชรบุรี ช่วงที่ผมอยู่เพชรบุรีแกก็เริ่มซาๆ แล้ว เป็นช่วงขาลงเราก็กลับมาสนิทกันช่วงนั้นสนิทมากแกก็ไปมาหาสู่เราตลอดซื้อขนมมาฝากกันตลอด ที่มาสนิทกันมากคือช่วงที่แกมาบันทึกเสียงชุดบัวตูมบัวบาน ประมาณปี 2533-2534 แล้วก็มาชวนกันทำวงดนตรี เปิดวงใหม่ นั่นแหละผมเข้ามาเต็มตัวช่วงนั้น ก่อนหน้านี้แกก็ทำวงแล้วแกก็เลิกวงไป เพราะเป็นช่วงที่แกมีครอบครัวแล้วด้วยไงแกก็อยู่กับครอบครัว 3-4 ปี ไม่ทำอะไรเลยเลี้ยงลูกอย่างเดียวไม่ทำงาน รับอัดเสียงอย่างเดียว''
ด้วยความผูกพันที่มีต่อกันมายาวนาน และมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำให้ มานิตย์ อังกินันท์ รู้จักนิสัยใจคอของพี่เป้าเป็นอย่างดี ทั้งนี้ผจก.ส่วนตัวบอกว่าขุนพลเพลงผู้ล่วงลับมีนิสัยดื้อ พูดจาโผงผาง แต่จริงใจ
''ผมคอยช่วยถือกระเป๋าถือของอะไรให้แกมานานเพราะมีความผูกพันกัน ยังไม่ได้เป็นถึงผู้จัดการส่วนตัวนะตอนนั้น อันนี้เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว พอคบกันผมรู้ว่าเออแกไม่ใช่คนดุนะ แต่ผมก็เคยมองเหมือนทุกคนว่าเป็นคนดุแน่เลย เพราะตาแกน่ากลัว พอได้คบกันรู้เลยว่าแกเป็นคนใจดีนะครับ มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสหลังเวทีการแสดงคอนเสิร์ตผมรู้เลยทันทีว่าคนนี้ไม่ใช่คนหยิ่ง ลูกน้องกินอะไรกินด้วยไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นปิ้งรถเข็นหรืออะไรมาขายกินด้วยกันได้หมด เวลาไปงานอะไรเขาก็ไปรถกับลูกวงเนี่ยแหละไม่เวอร์เลย ทั้งๆ ที่ในยุคนั้นตัวเองก็มีบีเอ็ม ซีตรองก็มีจอดอยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็โบกแท็กซี่ไป อย่างไปแสดงคอนเสิร์ตที่อยุธยา เพชรบุรี ขอโทษโบกแท็กซี่ไปนะครับ จนบางครั้งเจ้าของงานเขาไม่ให้เข้า คนดูแลของเจ้าของงานบอกเข้าไม่ได้ เข้าไม่ได้ พอเขาว่านี่สายัณห์นะ คนดูแลยังบอกอีกว่าเฮ้ยไม่ใช่หรอก สายัณห์ไม่มารถแท็กซี่ ผมยังนั่งขำเลย ขนาดลงจากรถมาบอกว่านี่ไงสายัณห์ เจ้าของงานยังคาใจอยู่เลย ถามว่ามันตัวจริงหรือตัวปลอม''
แม้เป็นคนดื้อ แต่ สายัณห์ สัญญา ก็เป็นคนรู้จักขอโทษ เมื่อเป็นฝ่ายผิด ไม่ได้เถียงชนฝาเพื่อต้องการเป็นฝ่ายถูกท่าเดียว โดยนักร้องขวัญใจคนเดิมมีลีลาออดอ้อนเพื่อขอโทษอีกฝ่ายด้วยคำพูดคำจาอ่อนหวาน ไม่แตกต่างจากการอ้อนมิตรรักแฟนเพลงด้านหน้าเวทีคอนเสิร์ตเลยทีเดียว
''สายัณห์ เป็นคนดื้อ บางเรื่องแกรับไม่ได้ สมมติว่าเรารับงาน 50,000 บาท แต่เราต้องบวกค่าโทรศัพท์เรา เป็น 55,000 บาทนะ ไม่งั้นผมจะกินอะไรล่ะ แล้วค่าโทรศัพท์ติดต่องาน 5,000 ไม่ได้เยอะนะพี่ เขาบอกว่าสงสารเจ้าภาพ ผมก็บอกว่าพี่ก็ลดราคาเหลือ 45,000 บาท สิ ค่าจ้าง 50,000 บาท ผมจะได้ 5,000 บาท แกก็ไม่ลด ก็เถียงกันเรื่อยแหละกับเรื่องแบบนี้เรื่องไม่เป็นเรื่องทะเลาะกัน 2-3 เดี๋ยวแกก็โทร.มาหาเองแหละถามว่าแกอยู่ไหน แกก็มาอ้อนมาง้อตามสไตล์ของแกนั่นแหละ เวลามีปัญหาผมไม่เคยโทร.ไปหาเขาเลย เดี๋ยวแกก็โทร.มาของแกเอง พี่เป้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นถ้าแกไม่ผิดนะเถียงหัวชนฝาเหมือนกัน''
นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของนักร้องขวัญใจคนเดิม ในความทรงจำ ''อ้อ'' มานิตย์ อังกินันท์ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายของ ''สายัณห์ สัญญา'' ที่น้องชายสุดที่รักถ่ายทอดออกมาให้มิตรรักแฟนเพลงได้รับรู้
รับรองเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้รับการเปิดเผยที่ไหนมาก่อนทั้งสิ้น