ลงทุนมา 8 ปี พอมีกำไรบ้าง ... วันนี้เลยมาเล่าสู่กันฟัง!!!

กระทู้สนทนา
ก่อนเล่าขอ “เปิดปอด” โชว์ก่อนเลย ... เพื่อนๆที่อ่านจะได้ไม่นึกเสียใจภายหลัง!!! 555+

มีสองปอดครับ บอกได้เลยว่าปอดแต่ละข้างนั้น ... มีขนาดกำลังน่ารักน่าชัง ทีเดียว







ผมเป็นนักลงทุนสายเน้นคุณค่า ...
ดูหุ้นโดยใช้หลักวิชาการ แต่ในท้ายที่สุดก็เดาว่าตัวไหนจะโต สรุปคือ ... เทคนิคดูแล้วก็เดา
อาศัยตรงที่ว่าเป็นเงินเย็นไม่รีบใช้แต่ประการใด หรือเรียกได้ว่าเอามาลงทุนในหุ้นโดยเฉพาะ


เกริ่นนำไปแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยครับ ....


ภาคต้น : เล่าเรื่องเก่า


ราว 9 ปีก่อน มีเพื่อนท่านหนึ่งชักชวนให้เรารู้จักคำว่า “หลักทรัพย์” ชวนเรามาทดลองลงทุน
จากพอร์ทจำลอง ชิมลางจากร่วมแข่งขันลงทุนในโปรแกรมจำลองผลคือเจ๊งไม่เป็นท่า
หลังจากนั้นก็ไปศึกษาหาความรู้การลงทุนเพิ่ม จากหนังสือ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ

ไหนก็พูดถึงหนังสือแล้วบอกถึงรายชื่อหนังเก่าๆสุดคลาสสิคที่ผมชอบเป็นพิเศษสักนิด  
- หนังสือชุด เคล็ด(ไม่)ลับสู่อิสรภาพทางการเงิน อยากรวยต้องรู้ อันประกอบไปด้วยหนังสือสี่เล่มที่อ่านง่ายๆสบายๆคือ รู้จักแผนที่นำทาง รู้จักตัวเอง รู้จักเครื่องมือ รู้จังหวะลงทุน
- ก้าวแรกสู่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
- ออมก่อนรวยกว่า
- วิถีแห่งเซียน หุ้นห่านทองคำ
- ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งเป็นต้นแบบของ VI เมืองไทย ทุกเล่ม
- หนังสือที่เกี่ยวกับ นักลงทุนชื่อก้องโลก Warren Buffet ทุกเล่ม
- ตะแกรงร่อนหุ้น
- เหนือกว่าวอลสตรีท : ONE UP ON WALL STREET
- The Intelligent Investor ขอสารภาพว่าเล่มนี้ซื้อมาจะหกปีแล้ว ยังอ่านไม่จบเลย 5555+
และ อีกเยอะแยะมากมายสำหรับหนังสือด้านการลงทุนดีดีที่ไม่ได้กล่าวถึง


ต่อมา ...


ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมทดสอบความรู้ในการลงทุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ซึ่งจัดโดย สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน ความรู้พวกประกัน หุ้น กองทุน พันธบัตร ฯลฯ
ซึ่งถ้าทดสอบผ่าน ก็จะได้รับสิทธ์เข้าร่วมอบรมและแข่งขันในรอบลึกๆต่อไป
ในการอบรมและแข่งขันรายการนั้นทำให้ผมได้ความรู้ติดตัวจนเป็นพื้นฐานในการลงทุน

หลังจากที่ซ้อมในพอร์ทจำลองและศึกษาข้อมูลมาได้ระยะประมาณปีหนึ่งเริ่ม “อยากลองของ”
เลยเข้าสู่สนามจริง เปิดพอร์ทครั้งแรก 50,000 บาท ในสองปีหลังจากนั้นเพิ่มเงินลงทุนเรื่อยๆ

ตัวแรกที่ซื้อคือ BANPU ราคาหุ้น 125 บาท ทำไมถึงซื้อ ตัวผมมาสายหุ้นพื้นฐานครับ
เหตุผลที่ซื้อก็ ตามสายคนเล่นหุ้นพื้นฐานบวกเดา ราคาถูก P/E ต่ำ แนวโน้มดี น้ำมันแพงมาก
จำความรู้สึกแรกที่หุ้นมันขึ้นได้ ขอบอกเลยว่าฟินสุดๆ

หลังจากลงทุนได้ไม่นาน ตลท. มีการ Circuit Breaker
เหวอไปชั่วขณะ … มันคืออะไรหว่า Circuit Breaker?
ลงแล้วไง ขาย? จะขายทำไม? ในเมื่อหุ้นตกเรื่องอะไรยังไม่รู้เลยเอาอย่างนี้ดีกว่า

ค้นไปค้นมาสรุปมันคือการพักการซื้อขายชั่วคราว จากประเด็นร้อนเรื่องทุนกันสำรอง 30%
ถ้าจำไม่ผิดในบ่ายวันนั้นหรือวันถัดมา ธปท. มีการประกาศยกเลิกกันสำรอง 30%
หุ้นดีดกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิม ... เอวัง ตอนนั้นดีใจมากที่ไม่ขาย!!!

ถือ BANPU อยู่หลายปีครับ ราคาก็วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าที่ว่าจะหยุด
แต่ในท้ายที่สุดผมก็ขายไปครับ ... ด้วยเหตุผลสุดอินดี้!!!

มีช่วงหนึ่งผมบ้าศึกษาเรื่องโลกร้อมาก ศึกษาเรื่องธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าแบบจริงจัง
ตอนนั้นอินมาก ทุกอย่างต้อง GREEN ENERGY เพื่อโลกในอนาคตที่เขียวขจี

วันดีคืนดีเปิดพอร์ทมาเจอบ้านปู ... ถ่านหินนี่เลยตัวดี! นี่เลยหนึ่งในตัวการโลกร้อน!!!
ขายทันทีเลยครับ ศูนย์แฮง ตัวการโลกร้อน ... ซื้อมา 125 ปล่อยไปที่ราคาประมาณ 260 บาท
ตอนที่ขายทุกอย่างก็ดูดีมีอนาคต งบสวย แต่รู้สึกว่ามันไม่ GREEN !! เลยต้องขาย
ขายไปเหมือนรู้สึกยกเหมืองถ่านหินออกจากอก ... แล้วราคามันเริ่มก็วิ่ง วิ่ง วิ่ง ๆ ๆ
300 400 500 600 700 … ไม่เป็นไรผมมันคนสาย GREEN (ปลอบใจตัวเองไปวันๆ 5555+)


ตัวที่สองที่ซื้อน่าจะเป็น  CPF ครับ คิดแบบเดิม ราคาถูก P/E ต่ำ บริษัทใหญ่ แนวโน้มเติบโต
ซื้อ 4 บาทหน่อยๆ ถือยาว 4 ปี ราคาแทบไม่กระดิกไปไหนเลยตัดใจขายไป 5 บาทต้นๆ
ถัดจากนั้นอีกมานาน เกิดวิกฤตอาหารโลก ราคา CPF วิ่งทะลุดอยแล้วไม่ลงมาอีกเลย
ผมได้แต่แหงนหน้ามองราคาเสียดฟ้าและทำตาปริบๆ

ขาดทุนก็มีครับ อย่าง BGH งบสวย P/E สูงแต่ก็น่าจะไหว ซื้อครับ 33 บาท
สรุปดอยครับ ราคาล่วงลงมาเหลือ 22 บาท!!! ไม่ขายสิครับก็งบมันดีจะกลัวอะไร
(พูดก็พูดเถอะ จำใจเป็น VI จำเป็น) ถือมานานพึ่งขายไปไม่นานนี้ ... พอได้อยู่กำไรบ้าง

ลักษณะการลงทุนของผมคือถือไม่เยอะตัว ตอนยุคแรกลงทุนก็พวก
SE-ED ผมชอบร้านหนังสือมากอยากเปิดเอง งบการเงินก็ดีปันผลสูง(ในตอนนั้น) เลยซื้อมา
TVO จำได้ว่านั่งดูทีวีข่าวต่างประเทศ เรื่องพายุถล่มประเทศผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก
ในข่าวเขาวิเคราะห์ดี บอกว่าถั่วเหลืองจะขาดแคลน เลยสนใจผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองในประเทศ
PRANDA ตอนนั้นคิดว่าเพชรยังไงราคาก็มันก็ขึ้น เผอิญไปอ่านบทสัมภาษณ์แล้วชอบ
และอีกหลายตัวที่ไม่ได้กล่าวถึง ณ ที่นี้ พอร์ทฯ ผมโดยมากจะไม่ค่อยขาดทุนหนักๆ มีโดนบ้าง
แต่โดยมากจะขาดทุนในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวเดี๋ยวมันก็ขึ้น (ไม่ขายไม่ขาดทุน 555+)
แต่ผมจะไปลงหลุมที่ “หุ้นถูกเรื้อรัง” มากกว่า ถูกแล้วถูกเล่าปีแล้วปีเล่าจนต้องตัดใจขายออก


วิกฤต Subprime ปี 51-52 ปู่ SET วิ่งหัวโหม่งโลก ... จาก 900 จุดเหลือ 400 จุด
ตอนนั้นหัวใจแทบวายตายคาเม้าส์ ... ผมมองดูหุ้นลงทุกวันๆๆ วันแล้ววันเล่า ลบแล้วลบเล่า
เงินในพอร์ทลดลง จากกำไรสะสมตลอดสองสามปีที่ผ่านมา กลับไปติดลบ 37% ทั้งพอร์ท
ไม่รู้ว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หรือ ผีห่านซาตานเข้าสิงกันแน่ที่ตอนนั้นไม่ได้ขายออกสักตัว
หลายเดือนปล่อยให้มันไหลไป ผมเลิกเปิดพอร์ทดูไปพักใหญ่มันเจ็บจี๊ด
จิตใจนักลงทุนยากแท้หยั่งถึงและรู้ซึ่งถึงอนิจจังของหุ้น หุ้นนั้นไซ้ไม่เที่ยงแท้ มีขึ้นมีลง
เมื่อมันลงเดี่ยวมันก็ขึ้น หุ้นพื้นฐานเดิมแทบไม่เปลี่ยนแต่ร่วงลงมาระนาว


เมื่อสติกลับมา ... เหลือบมองกระดานหุ้น ... ของถูกเต็มกระดานเลย!!!
เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ... แต่เงินที่มีทั้งหมดมันก็อยู่ในนั้นเต็มอยู่ในปอดสีแดงช้ำอยู่ในนั้น

เห็นของถูกแล้ว อดใจไม่ได้ ต้องซื้อ ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว ... ขอหน่อยเหอะ
ทุบกระบุกออมสิน ถอนฝากบัญชีออมทรัพย์ ปิดบัญชีฝากประจำทั้งหมด ออกมาซื้อหุ้น
หุ้นถูกเยอะมาก ต้องเลือก ผมทุ่มเงินสดทั้งหมดที่มีไปที่ BIGC และ TTCL
โดยที่ตัวเก่าก็ถืออยู่อย่างนั้น ผมคิดว่าถ้าขายมันออกมาก็กลับไปซื้อมันอยู่ดี
เพราะพื้นฐานดีเหมือนเดิมจะหลอกตัวเองขายปิดตัวแดงแล้วมาซื้อใหม่ทำไมเสียค่าคอมฯ เปล่าๆ

ไม่นานก็ตระหนักได้ว่า หุ้นหลายตัวไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต Subprime เลย
หุ้นก็ขึ้นเรื่อยๆตามลำดับตามความเชื่อมั่น ขึ้นตามผลประกอบการของบริษัทเหล่านั้นๆ
จากติดลบ 37% พลิกกลับไปเป็นพอร์ทมีกำไรไปหลายเท่าตัว!!! ในเวลาไม่กี่ปีหลังจากนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่