เรื่องแก๊ส ผมให้ความสำคัญดังนี้ครับ คือ Hardware 25% และ Software 75%
Hardware คืออุปกรณ์และชิ้นส่วนสำคัญของระบบแก๊ส ระบบแก๊ส LPG บ้านเราโตมากว่า 30 ปีแล้ว มากกว่าอายุใครบางคนเสียอีก ดังนั้น ผมว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันของแต่ละยี่ห้อนั้น ทันกันหมด ที่เป็นจุดขายของแต่ละยี่ห้อ ก็เป็นเพียงประเด็นปลีกย่อยซึ่ง จำเป็นบ้าง ไม่จำเป็นบ้าง เอามาชูเป็นจุดขาย แต่ความสามารถหลักๆนั้น ผมว่าไม่ต่างกัน

ส่วนเรื่อง Software คือฝีมือของช่างจูน ผมให้เป็นประเด็นหลัก ต่อให้อุปกรณ์ดีเด่น OBD CAN แต่ช่างจูนไม่เก่ง ผลก็ออกมาไม่ดี ในทางกลับกัน ต่อให้แก๊สเป็นระบบดูด หรือ Fix Mix เก่าล้าสมัย แต่ช่างมีความชำนาญ จูนจนเก่ง จูนจนเนียน ก็สามารถทำให้ผลออกมาได้ตรงกันข้ามเลยทีเดียวครับ

ดังนั้น ในส่วนของการเลือกยี่ห้อแก๊ส ปัจจุบันผมแทบไม่สนใจยี่ห้อหลักเลย ผมสนใจเพียงว่า การให้บริการหลังการขาย ความชำนาญของช่างรถยี่ห้อนั้นๆ และราคา บางยี่ห้อไม่โหมกระหน่ำโฆษณา คุณสามารถใช้ฟังก์ชั่น OBD CAN ได้ในราคา 25,000 ในขณะที่ยี่ห้อหลักๆนั้นต้องเตรียมเอาไว้ 35,000 ก็เป็นได้ครับ

ต่อคำถามของท่าน ผมขออนุญาตให้ความเห็นไว้เป็นข้อๆ
1.ระหว่างถังแค๊ปซูลกับถังโดนัท แบบไหนเหมาะกับรถรุ่นนี้
ระหว่างถังแคปซูลหรือโดนัท เรื่องของรุ่นรถยนต์ไม่ใช่ปัจจัยหลักครับ แต่ปัจจัยหลักของการเลือกถังแต่ละประเภทคือ คุณต้องการพื้นที่สัมภาระท้ายรถไว้มากแค่ไหน และยางอะไหล่มีความจำเป็นมากแค่ไหน หากเป็นผู้ที่ต้องเดินทางไกล เดินทางบ่อย ผมว่ายางอะไหล่สำคัญ ควรเก็บไว้ และติดตั้งถังชนิดแคปซูลแทน แต่หากวิ่งแต่ในเมือง ใช้รถแบบครอบครัว สัมภาระเย๊อะ ติดแบบโดนัทก็ได้ครับ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมมีประสบการณ์รถไปยางระเบิดในป่า ระเบิดทีละ 2 เส้น ต่อให้ผมมียางอะไหล่ มันก็ไม่พอ ดังนั้น ยางอะไหล่ถึงจำเป็นสำหรับผม ผมจึงเลือกติดตั้งแบบแคปซูลครับ อีกทั้งความเห็นส่วนตัว Honda City รุ่นนี้ท้ายค่อนข้างใหญ่มากนะครับ สละที่เอาไว้วางถังแคปซูล เพื่อเก็บยางอะไหล่ไว้ก็ไม่น่าเกลียดครับ

  2.อยากติดตั้งรุ่นที่ดีๆ  ราคาไม่เกิน3หมื่น
ถ้าเอารุ่นท๊อป (OBD CAN) ยี่ห้อดังๆ 35,000 ครับ แต่ถ้ายี่ห้อรอง ประสิทธิภาพเท่ากัน ลองไปหาดูครับ หาได้ที่ไม่เกิน 25,000 ครับ

  3.ถ้าติดตั้งแล้วควรตัดปั้มติ๊กออกหรือไม่ครับ
เรื่องตัดปั๊มติกนี้ ผู้ใช้แก๊สมีความเห็นไปใน 2 ทางครับ คือควรตัดและไม่ควรตัด
ฝ่ายที่บอกว่าควรตัด ก็ใช้เหตุผลว่า เมื่อเราไม่ได้ใช้แก๊ส ก็ไม่ควรให้ปั๊มติ๊กไปทำงานกระทุ้งน้ำมันเล่น อีกทั้งเวลาที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น หรือสายส่งน้ำมันขาดกลางทาง ในขณะที่เราใช้แก๊ส ปั๊มติ๊กจะได้ไม่สูบฉีดน้ำมันออกไปโดยที่เราไม่รู้ตัว ส่งผลให้เกิดอันตรายได้

ฝ่ายที่ให้ความเห็นว่าไม่ควรตัด ก็ให้เหตุผลว่า เทคโนโลยีแก๊สในยุโรป ไม่มีการตัดปั๊มติ๊ก
แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวผมแล้ว ผมค่อนข้างให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพของชิ้นส่วนต่างๆ และเรื่องของความปลอดภัย ผมจึงเลือกตัดปั๊มติ๊ก แต่การตัดปั๊มติ๊กของผมต้องมีโจทย์ตามนี้คือ
1. เปลี่ยนน้ำมันเป็นแก๊ส เปลี่ยนแก๊สเป็นน้ำมัน ต้องเนียนและตอบสนองตามสวิตซ์แก๊สได้ดี
2. มีระบบหน่วงเวลา หลังจากน้ำมันเข้าแก๊ส
3. บายพาสได้
ดังนั้น การตัดปั๊มติ๊กของผม จึงใช้การตัดด้วยวงจรอิเลคโทรนิค มีการหน่วงเวลาหลังจากเข้าแก๊สแล้ว 10 นาที หลังจากเข้าแก๊สสมบูรณ์แล้ว ปั๊มติ๊กจึงตัด และอนุญาตให้ปั๊มติ๊กทำงานคราวละ 15วินาที ทุกๆ 20 นาที เพื่อรักษาแรงดันในสายน้ำมัน เวลาที่ตัดจากแก๊ส เป็นน้ำมัน จึงเนียนเช่นเดิมครับ

แต่ทั้งนี้ หากเราตัดติ๊กด้วยรีเลย์ จะทำให้เกิดการตัดโดยทันทีทันใด แก๊สในบางยี่ห้อที่มีระบบการหน่วงแก๊สเมื่อเข้าแก๊ส อาจทำให้รถกระชากหรือดับได้ ค่อนข้างอันตรายครับ ตรวจสอบวิธีการตัดติ๊กให้เหมาะสมกับยี่ห้อแก๊สของท่านจะดีที่สุดครับ

ส่วน Honda City รุ่นนี้ ต้องติดตัว reset การบอกปริมาณน้ำมันเพิ่มเติมครับ เนื่องจากเมื่อใช้แก๊สแล้ว เกจน์น้ำมันจะลดเนื่องจากไปเอาค่าการวิ่งมาคำนวณ ดังนั้น เกจน์น้ำมันจะลดตามระยะทางที่วิ่ง (แต่จริงๆแล้วน้ำมันไม่หาย) มีวิธีแก้อยู่ 2 อย่างคือ ติดกล่องหลอกเกจน์น้ำมัน หรือถ้าไม่ติด เวลาจะสตาร์ทให้บิดกุญแจสตาร์ททันทีไม่รอจังหวะ ON จะเป็นการรีเซตเกจน์น้ำมันได้อีกวิธีครับ

  3.บ้านผมอยู่แถวจรัญ-ปิ่นเกล้า มีร้านแก๊สดีๆแนะนำไหมครับ
แนะนำให้ดูในคลับของรถท่าน ว่าเขาติดกันที่ไหน จะได้ประโยชน์กว่ามากครับ อู่ติดแก๊ส ถึงชำนาญเรื่องแก๊สยี่ห้อนั้นๆจริง แต่ไม่ได้ชำนาญที่จะติดแก๊สไปเสียทุกยี่ห้อรถยนต์ ดังนั้น ช่างที่ชำนาญรถรุ่นของเรา ผมให้เป็นปัจจัยแรกครับ กรณีของรถผมเองนั้น ผมเอาไปหาช่างที่ผมไว้ใจ และชำนาญ Chevrolet ผมส่งกุญแจให้เขาแล้วบอกว่า "พี่ครับ...ติดแก๊ส" เพียงเท่านี้จริงๆครับ ผมไม่สนใจด้วยว่า ช่างเขาจะเอาแก๊สยี่ห้ออะไรมาให้ หรือจูนยังไง เพราะผมเชื่อว่า ช่างคนนี้ชำนาญรถยี่ห้อที่ผมใช้อยู่ และงานออกมาดีพอใจ ผมพอใจแล้วครับ