US BOX OFFICE September 6-8, 2013
(ข้อมูล-แปล/เรียบเรียงจาก
www.boxofficemojo.com)
ด้วยรายได้ 19.03 ล้านเหรียญก็เพียงพอแล้วที่จะให้ Riddick หนัวไซ-ไฟภาคต่อคว้าอันดับ 1 หนังทำเงินได้สำเร็จ และไม่ต้องแปลกใจที่สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเป็นสัปดาห์หงอยที่สุดในอันดับหนังทำเงิน โดยหนังใน 12 อันดับแรกทำเงินรวมกันแค่ 66.1 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำที่สุดในปีนี้ แต่ก็มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 27% ส่งให้เป็นการเร่ิมต้นเดือนกันยายนแบบเอื่อยๆ สำหรับอันดับหนังทำเงินในอเมริกาสัปดาห์ที่ผ่านๆ มา คลิกดูได้ที่
http://www.sadaos.com/category/one-short/us-box-office/
จากโรงฉาย 3,107 โรง รายได้เปิดตัว 19.3 ล้านเหรียญของ Riddick ถือว่าพอๆ กับการคาดหมาย และถ้าปรับค่าเงินเฟ้อ Riddick ถือว่าเปิดตัวได้สูงกว่า Pitch Black เล็กน้อย แต่ต่ำกว่า The Chronicles of Riddick ซึ่งลงทุนมากกว่า 3 เท่า แล้วกับหนังในแนวนี้ที่พี่วินไม่ค่อยมีให้เล่นมากนัก Riddick ก็ทำได้ดีกว่า 9.5 ล้านเหรียญของ Babylon A.D. เมื่อปี 2008 กับโรงเรียนที่เปิดเทอมแล้ว และเอ็นเอฟแอลก็เปิดฤดูกาล ภาพยนตร์ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ สำหรับความบันเทิงในช่วงเวลานี้ของทุกปี เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็คือ ปล่อยหนังที่มีคนดูเฉพาะกลุ่ม และทำการตลาดแบบพุ่งเป้าไปที่คนดูกลุ่มนี้ ซึ่ง Riddick ถือเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะยูนิเวอร์แซลเน้นไปที่คนดูที่ชอบ Pitch Black และแฟนๆ ของวิน ดีเซล โดยที่ไม่สนใจกลุ่มอื่นเลย ผลลัพธ์ก็คือรายได้เปิดตัวที่มากกว่า 19 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าออกมาดีทีเดียว คนดูของ Riddick 59% เป็นชาย และ 53% อายุเกิน 30 แล้ว 37% เป็นพวกละติน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ดีเซลดึงเข้ามาในโรงภาพยนตร์ หนังได้ B จากซีนีมาสกอร์ ถ้ามองว่าหนังไซ-ไฟจะทำรายได้วันแรกๆ ได้แรง ก่อนจะแผ่ว ดูถ้าว่าหนังไม่น่าจะทำรายได้ผ่าน 50 ล้านเหรียญไปได้
กับการฉายในสัปดาห์ที่ 4 The Butler รายได้ตกแค่ 44% ทำเงินมาอีก 8.4 ล้านเหรียญ ถึงวันนี้หนังดราม่า อิงประวัติศาสตร์ทำเงินไปแล้ว 91.4 ล้านเหรียญ และน่าจะผ่านหลักร้อยในสุดสัปดาห์นี้
หลังเปิดตัวได้อย่างแข็งแรงเมื่อสัปดาห์ก่อน หนังตลก-ครอบครัวพูดสแปนิช Instructions Not Included เพิ่มดรงเป็น 717 โรงในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังทำงินเพิ่มขึ้น 4% ทำรายได้มาอีก 8.15 ล้านเหรียญ มากพอจะดันให้ขึ้นมาอยู่ที่ 3 ผ่าน 10 วันหนังฟันเงินไปทั้งหมด 20.4 ล้านเหรียญ
ขณะที่หนังตลกฮิตอย่าง We're the Millers รายได้ตก 40% ทำเงินมาอีก 7.7 ล้านเหรียญ ตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 123.6 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าหนังฮิตเดือนสิงหาคมในอดีตอย่าง Superbad (121.5 ล้านเหรียญ), Tropic Thunder (110.5 ล้านเหรียญ) และ The 40-Year-Old Virgin (109.4 ล้านเหรียญ)
Planes ยังไม่หลุดจาก 5 อันดับแรก เมื่อทำเงินไปอีก 4.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 79.1 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าดีมากๆ กับหนังตอนแรกจะลงแผ่น และเป็นการวางแผนการตลาดที่ดีของดิสนีย์ ที่ทำให้หนังกลายเป็นงานสำหรับครอบครัวเรื่องสุดท้ายของซัมเมอรืนี้
หนังคอนเสิร์ต 3 มิติ One Direction: This is Us รายได้ร่วงกระจาย 74% ทำเงินเพิ่มได้ 4.05 ล้านเหรียญ แม้รายได้จะรูดขนาดนี้ แต่ก็ยังดีกว่าหนังของวง เดอะ โจนาส บราเธอร์ส (77%) ขณะที่ Justin Bieber: Never Say Never ตกเพียง 55% ในสัปดาห์ที่สอง เพราะฉะนั้นรายได้ตกทะรูดทะราดขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับหนังคอนเสิร์ต ตอนนี้หนังได้เงินไปแล้ว 23.9 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดโปรแกรมที่ตัวเลขราวๆ 30 ล้านเหรียญ
หนังของผู้กำกับ/ เขียนบท วูดี้ อัลเลน Blue Jasmine ได้เงินมาอีก 2.35 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รายได้รวมอยู่ที่ 25.1 ล้านเหรียญ เอาชนะทั้ง Match Point และ Vicky Cristina Barcelona แต่ก็ยังห่างไกลจาก Midnight in Paris
ทางโซนี อาศัยข่าวจากซีรี่ส์ The Comedy Central Roast of James Franco มากระตุ้นรายได้ของ This is the End โดยเพิ่มโรงเป็น 2,161 โรง และผลลัพธ์ก็ออกมาดี เมื่อหนังทำเงินไป1.9 ล้านเหรียญ รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 98.85 ล้านเหรียญ และดูท่าว่าน่าจะผ่านร้อยล้านได้ในสุดสัปดาห์นี้
The Ultimate Life เปิดตัวแค่ 412 โรง ทำเงินมาได้แค่ 659,912 เหรียญ ซึ่งห่างไกลจากหนังคริสเตียน 2 เรื่องหลัง อย่าง To Save a Life และ The Grace Card ทำไว้ โดยเปิดตัวที่กว่า 1 ล้านเหรียญจากโรงฉายเท่าๆ กันทั้งคู่
มาดูตลาดนอกอเมริกา Elysium นำหัวแถวมาเป็นสัปดาห์ที่สองด้วยรายได้ 21.2 ล้านเหรียญ โดยครึ่งหนึ่งมาจากจีน ซึ่งหนังเปิดตัวอันดับ 1 11.7 ล้านเหรียญ มากกว่ารายได้เปิดตัวของ Oblivion เล็กน้อย มาถึงตอนนี้ Elysium ทำเงินนอกอเมริกาไปแล้ว 127.1 ล้านเหรียญ โดยยังไม่เปิดตัวที่บราซิล และญี่ปุ่น
White House Down เปิดตัวในตลาดใหญ่อีก 5 แห่ง ทำเงินมาอีก 12.6 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 79.9 ล้านเหรียญ หนังขึ้นอันดับ 1 ในเยอรมันนี 3.1 ล้านเหรียญ, ฝรั่งเศส 2.01 ล้านเหรียญ, ออสเตรเลีย 1.7 ล้านเหรียญ, เม็กซิโก 1.6 ล้านเหรียญ และบราซิล 1.5 ล้านเหรียญ ยกเว้นที่ออสเตรเลีย หนังเปิดตัวชนะ Olympus Has Fallen ได้หมด
One Direction: This is Us ทำรายได้นอกอเมริกา 26 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ารายได้ที่ Justin Bieber: Never Say Never ทำได้รายได้จากการฉายตลอดโปรแกรม
เปิดตัวพร้อมอเมริกาใน 31 ตลาด Riddick ทำเงินไป 7.4 ล้านเหรียญ โดยทำได้ดีที่ อังกฤษ 2.2 ล้านเหรียญ (รวมรอบพรีวิว) และที่อิตาลี 721,000 เหรียญ หนังจะทะยอยเปิดตัวในตลาดต่างประเทศไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน
หนังโรแมนติคข้ามเวลาของริชาร์ด เคอร์ติส About Time คว้าอันดับ 1 ในอังกฤษ ด้วยรายได้ 2.2 ล้านเหรียญ หนังจะฉายในอเมริกาเดือนพฤศจิกายน โดยก่อนหน้านั้นจะเปิดฉายในตลาดต่างๆ ทั่วโลกไปเรื่อยๆ
อ่านแล้วชอบคลิก Like ได้ที่
www.facebook.com/Sadaos
และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงได้ที่
www.sadaos.com
วิน มาวิน พา Riddick ขึ้นที่ 1 ในสัปดาห์เหงาๆ ของหนังทำเงิน
(ข้อมูล-แปล/เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
ด้วยรายได้ 19.03 ล้านเหรียญก็เพียงพอแล้วที่จะให้ Riddick หนัวไซ-ไฟภาคต่อคว้าอันดับ 1 หนังทำเงินได้สำเร็จ และไม่ต้องแปลกใจที่สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเป็นสัปดาห์หงอยที่สุดในอันดับหนังทำเงิน โดยหนังใน 12 อันดับแรกทำเงินรวมกันแค่ 66.1 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำที่สุดในปีนี้ แต่ก็มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 27% ส่งให้เป็นการเร่ิมต้นเดือนกันยายนแบบเอื่อยๆ สำหรับอันดับหนังทำเงินในอเมริกาสัปดาห์ที่ผ่านๆ มา คลิกดูได้ที่ http://www.sadaos.com/category/one-short/us-box-office/
จากโรงฉาย 3,107 โรง รายได้เปิดตัว 19.3 ล้านเหรียญของ Riddick ถือว่าพอๆ กับการคาดหมาย และถ้าปรับค่าเงินเฟ้อ Riddick ถือว่าเปิดตัวได้สูงกว่า Pitch Black เล็กน้อย แต่ต่ำกว่า The Chronicles of Riddick ซึ่งลงทุนมากกว่า 3 เท่า แล้วกับหนังในแนวนี้ที่พี่วินไม่ค่อยมีให้เล่นมากนัก Riddick ก็ทำได้ดีกว่า 9.5 ล้านเหรียญของ Babylon A.D. เมื่อปี 2008 กับโรงเรียนที่เปิดเทอมแล้ว และเอ็นเอฟแอลก็เปิดฤดูกาล ภาพยนตร์ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ สำหรับความบันเทิงในช่วงเวลานี้ของทุกปี เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็คือ ปล่อยหนังที่มีคนดูเฉพาะกลุ่ม และทำการตลาดแบบพุ่งเป้าไปที่คนดูกลุ่มนี้ ซึ่ง Riddick ถือเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะยูนิเวอร์แซลเน้นไปที่คนดูที่ชอบ Pitch Black และแฟนๆ ของวิน ดีเซล โดยที่ไม่สนใจกลุ่มอื่นเลย ผลลัพธ์ก็คือรายได้เปิดตัวที่มากกว่า 19 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าออกมาดีทีเดียว คนดูของ Riddick 59% เป็นชาย และ 53% อายุเกิน 30 แล้ว 37% เป็นพวกละติน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ดีเซลดึงเข้ามาในโรงภาพยนตร์ หนังได้ B จากซีนีมาสกอร์ ถ้ามองว่าหนังไซ-ไฟจะทำรายได้วันแรกๆ ได้แรง ก่อนจะแผ่ว ดูถ้าว่าหนังไม่น่าจะทำรายได้ผ่าน 50 ล้านเหรียญไปได้
กับการฉายในสัปดาห์ที่ 4 The Butler รายได้ตกแค่ 44% ทำเงินมาอีก 8.4 ล้านเหรียญ ถึงวันนี้หนังดราม่า อิงประวัติศาสตร์ทำเงินไปแล้ว 91.4 ล้านเหรียญ และน่าจะผ่านหลักร้อยในสุดสัปดาห์นี้
หลังเปิดตัวได้อย่างแข็งแรงเมื่อสัปดาห์ก่อน หนังตลก-ครอบครัวพูดสแปนิช Instructions Not Included เพิ่มดรงเป็น 717 โรงในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังทำงินเพิ่มขึ้น 4% ทำรายได้มาอีก 8.15 ล้านเหรียญ มากพอจะดันให้ขึ้นมาอยู่ที่ 3 ผ่าน 10 วันหนังฟันเงินไปทั้งหมด 20.4 ล้านเหรียญ
ขณะที่หนังตลกฮิตอย่าง We're the Millers รายได้ตก 40% ทำเงินมาอีก 7.7 ล้านเหรียญ ตอนนี้หนังทำเงินไปแล้ว 123.6 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าหนังฮิตเดือนสิงหาคมในอดีตอย่าง Superbad (121.5 ล้านเหรียญ), Tropic Thunder (110.5 ล้านเหรียญ) และ The 40-Year-Old Virgin (109.4 ล้านเหรียญ)
Planes ยังไม่หลุดจาก 5 อันดับแรก เมื่อทำเงินไปอีก 4.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 79.1 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าดีมากๆ กับหนังตอนแรกจะลงแผ่น และเป็นการวางแผนการตลาดที่ดีของดิสนีย์ ที่ทำให้หนังกลายเป็นงานสำหรับครอบครัวเรื่องสุดท้ายของซัมเมอรืนี้
หนังคอนเสิร์ต 3 มิติ One Direction: This is Us รายได้ร่วงกระจาย 74% ทำเงินเพิ่มได้ 4.05 ล้านเหรียญ แม้รายได้จะรูดขนาดนี้ แต่ก็ยังดีกว่าหนังของวง เดอะ โจนาส บราเธอร์ส (77%) ขณะที่ Justin Bieber: Never Say Never ตกเพียง 55% ในสัปดาห์ที่สอง เพราะฉะนั้นรายได้ตกทะรูดทะราดขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับหนังคอนเสิร์ต ตอนนี้หนังได้เงินไปแล้ว 23.9 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดโปรแกรมที่ตัวเลขราวๆ 30 ล้านเหรียญ
หนังของผู้กำกับ/ เขียนบท วูดี้ อัลเลน Blue Jasmine ได้เงินมาอีก 2.35 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รายได้รวมอยู่ที่ 25.1 ล้านเหรียญ เอาชนะทั้ง Match Point และ Vicky Cristina Barcelona แต่ก็ยังห่างไกลจาก Midnight in Paris
ทางโซนี อาศัยข่าวจากซีรี่ส์ The Comedy Central Roast of James Franco มากระตุ้นรายได้ของ This is the End โดยเพิ่มโรงเป็น 2,161 โรง และผลลัพธ์ก็ออกมาดี เมื่อหนังทำเงินไป1.9 ล้านเหรียญ รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 98.85 ล้านเหรียญ และดูท่าว่าน่าจะผ่านร้อยล้านได้ในสุดสัปดาห์นี้
The Ultimate Life เปิดตัวแค่ 412 โรง ทำเงินมาได้แค่ 659,912 เหรียญ ซึ่งห่างไกลจากหนังคริสเตียน 2 เรื่องหลัง อย่าง To Save a Life และ The Grace Card ทำไว้ โดยเปิดตัวที่กว่า 1 ล้านเหรียญจากโรงฉายเท่าๆ กันทั้งคู่
มาดูตลาดนอกอเมริกา Elysium นำหัวแถวมาเป็นสัปดาห์ที่สองด้วยรายได้ 21.2 ล้านเหรียญ โดยครึ่งหนึ่งมาจากจีน ซึ่งหนังเปิดตัวอันดับ 1 11.7 ล้านเหรียญ มากกว่ารายได้เปิดตัวของ Oblivion เล็กน้อย มาถึงตอนนี้ Elysium ทำเงินนอกอเมริกาไปแล้ว 127.1 ล้านเหรียญ โดยยังไม่เปิดตัวที่บราซิล และญี่ปุ่น
White House Down เปิดตัวในตลาดใหญ่อีก 5 แห่ง ทำเงินมาอีก 12.6 ล้านเหรียญ รายได้รวมอยู่ที่ 79.9 ล้านเหรียญ หนังขึ้นอันดับ 1 ในเยอรมันนี 3.1 ล้านเหรียญ, ฝรั่งเศส 2.01 ล้านเหรียญ, ออสเตรเลีย 1.7 ล้านเหรียญ, เม็กซิโก 1.6 ล้านเหรียญ และบราซิล 1.5 ล้านเหรียญ ยกเว้นที่ออสเตรเลีย หนังเปิดตัวชนะ Olympus Has Fallen ได้หมด
One Direction: This is Us ทำรายได้นอกอเมริกา 26 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่ารายได้ที่ Justin Bieber: Never Say Never ทำได้รายได้จากการฉายตลอดโปรแกรม
เปิดตัวพร้อมอเมริกาใน 31 ตลาด Riddick ทำเงินไป 7.4 ล้านเหรียญ โดยทำได้ดีที่ อังกฤษ 2.2 ล้านเหรียญ (รวมรอบพรีวิว) และที่อิตาลี 721,000 เหรียญ หนังจะทะยอยเปิดตัวในตลาดต่างประเทศไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน
หนังโรแมนติคข้ามเวลาของริชาร์ด เคอร์ติส About Time คว้าอันดับ 1 ในอังกฤษ ด้วยรายได้ 2.2 ล้านเหรียญ หนังจะฉายในอเมริกาเดือนพฤศจิกายน โดยก่อนหน้านั้นจะเปิดฉายในตลาดต่างๆ ทั่วโลกไปเรื่อยๆ
อ่านแล้วชอบคลิก Like ได้ที่ www.facebook.com/Sadaos
และติดตามข่าวสาร, อ่านเรื่องราว บทวิจารณ์หนัง-เพลงได้ที่ www.sadaos.com