http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=49715
หนังสือคลาสสิก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หนังสือการลงทุนที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมคิดว่าเป็นหนังสือคลาสสิก เหตุผลสำคัญคือ เป็นหนังสือที่เป็น "Original"
นั่นคือ เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่เขียนเกี่ยวกับแนวความคิดที่สำคัญที่ต่อมาได้รับการยอมรับกว้างขวาง หรือเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องของบุคคลสำคัญได้อย่างมีแง่มุมที่แหลมคมเป็นบทเรียนสำหรับคนรุ่นใหม่ หรือเป็นหนังสือที่ประยุกต์ความรู้และวิชาการลงทุนมาเขียนให้คนทั่วไปอ่านอย่างเข้าใจได้ง่าย ต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น
เล่มแรกก็คือ The Intelligent Investor โดย เบน เกรแฮม นี่คือสุดยอดหนังสือคลาสสิกที่พูดถึงการลงทุนแบบ Value Investment ซึ่งได้สร้าง Value Investor หรือนักลงทุนเน้นคุณค่าขึ้นทั่วโลก ว่าที่จริง สร้างสิ่งที่เรียกว่า "การวิเคราะห์หลักทรัพย์สำหรับการลงทุน" ของนักลงทุนทั่วไปให้เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเล่มนี้ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังแทบจะไม่มีใครทำ นักลงทุนเล่นหุ้นโดยการฟังข่าวและอาจจะสนใจแต่เรื่องของภาวะเศรษฐกิจ มากกว่าจะดูถึงมูลค่าพื้นฐานของกิจการ หนังสือเล่มนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งนอกจากจะพูดถึงการวิเคราะห์คำนวณหาตัวเลขแล้ว ยังบอกถึงความสำคัญของจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนด้วย
เล่มที่สองคือ Common Stocks and Uncommon Profits and Other Writings โดย ฟิลลิป ฟิสเชอร์ นี่เป็นหนังสือการลงทุนเล่มแรกๆ ที่พูดถึงการลงทุนในกิจการที่ดีสุดยอด ซึ่งกลายเป็นแนวความคิดของกลุ่มนักลงทุนที่เน้นกิจการที่โตเร็วหรือที่เรียกว่า Growth Investment ซึ่งต่อมากลายเป็นแนวความคิดที่นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนมืออาชีพส่วนใหญ่นิยมยึดถือเป็นหลัก
เล่มที่ 3 คือ A Random Walk Down Wall Street โดย Burton Malkiel นี่คือหนังสือที่เขียนขึ้นโดยอิงจากการศึกษาทางวิชาการลงทุนที่บอกว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพสูงมาก และสามารถกำหนดราคาของหลักทรัพย์ทุกตัวให้มีราคาที่เหมาะสม ดังนั้นไม่มีใครสามารถจะหาหุ้นราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานได้ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ ที่จะไปวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว แต่ควรลงทุนหุ้นให้กระจายไปหลายๆ ตัว เช่น ลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีเป็นต้น หัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ให้ข้อมูลและประวัติศาสตร์การลงทุนที่ดีมาก ทำให้นักลงทุนเข้าใจภาพใหญ่ของการลงทุน และตัดสินได้ว่าจะทำอย่างไรกับการลงทุนของตนเอง
เล่มที่ 4 คือ One Up On Wall Street โดย ปีเตอร์ ลินช์ กับ John Rothchild นี่เป็นหนังสือคลาสสิกที่ค่อนข้างใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้เป็นหนังสือคลาสสิกอยู่ที่ว่า ถูกเขียนโดยนักบริหารกองทุนรวมหุ้นที่ประสบความสำเร็จ "สูงที่สุดในโลก" แต่สิ่งที่เผยออกมา คือ "คนธรรมดาก็สามารถที่จะทำได้" หนังสือเล่มนี้เขียนได้สนุกและอ่านง่าย มีตัวเลขน้อยมาก แต่อาศัย Common Sense หรือสามัญสำนึกมากกว่า และถ้าให้เดา ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของหนังสือการลงทุนตลอดกาล
เล่มที่ 5 คือ Technical Analysis of Stock Trends โดย Robert Edwards และ John Magee นี่คือหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เป็นเหมือน "คู่มือ" มาตรฐานของนักวิเคราะห์ทางเทคนิค อธิบายการวิเคราะห์อย่างยืดยาวและครอบคลุมคล้ายๆ กับหนังสือ Securities Analysis ของ เบน เกรแฮม ที่พูดถึงเรื่องการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐาน ส่วนตัวผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะไม่ได้เชื่อถือเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค นักวิเคราะห์ทางเทคนิคน่าจะต้องรู้จักมันเป็นอย่างดี
เล่มที่ 6 คือ Reminiscences of a Stock Operator โดย Edwin Lefevre นี่เป็นหนังสือที่เขียนเป็นแบบนิยาย แต่น่าจะอิง หรือเป็นการเล่าเรื่องราวและชีวิตการลงทุนของ Jesse Livermore ซึ่งเป็นนักเล่นหุ้นและเก็งกำไรระดับโลกที่มีชีวิตที่มีสีสัน เคยร่ำรวยระดับประเทศและล้มละลายหลายครั้งจนสุดท้ายฆ่าตัวตาย หนังสือบอกให้เห็นถึงการเริ่มต้นเข้าสู่การเล่นหุ้นในฐานะของเด็กยากจนต่ำต้อยจนก้าวขึ้นสู่ "ราชันย์" ในวงการหุ้นและหลักทรัพย์ในสมัยที่ตลาดอเมริกายังไม่ได้พัฒนาแบบทุกวันนี้แต่คล้ายๆ กับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังไม่มีกฎระเบียบในการควบคุมธุรกิจมากนัก
เล่มที่ 7 คือ Buffet: The Making of an American Capitalist โดย Roger Lowenstein นี่คือหนังสือที่บอกเล่าประวัติและผลงานของบัฟเฟตต์อย่างละเอียดเป็นเล่มแรกๆ และอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เป็นหนังสือคลาสสิก แม้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว บัฟเฟตต์จะอนุญาตและร่วมมือในการเขียนหนังสือประวัติของตนเองชื่อ The Snowball โดย Alice Schroeder เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่ามันจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิกได้หรือไม่ เหตุผลก็คือ ประวัติของบัฟเฟตต์นั้นมีการพูดถึงกันมามากก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ The Snowball อาจจะไม่เด่นมากอย่างที่คาด
เล่มที่ 8 The Money Master และ The New Money Master โดย John Train นี่เป็นหนังสือที่นำเสนอประวัติและกลยุทธ์การลงทุนของเซียนหุ้นแถวหน้าแห่งยุคสมัยหลายๆ คนในเล่มเดียวกัน และเช่นเคย เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่เขียนได้ดีและมีมุมมองที่เฉียบคม จึงกลายเป็นหนังสือคลาสสิก แม้จะมีหนังสือแนวนี้ออกมาในภายหลัง จึงเป็นเพียงผู้ตามและก็คงยากที่จะกลายเป็นหนังสือคลาสสิกได้
สุดท้ายก็คือคำถามที่ว่า เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องอ่านหนังสือคลาสสิกถ้าจะเป็นนักลงทุนที่มุ่งมั่น คำตอบของผมก็คือ ไม่จำเป็น เพราะบ่อยครั้ง หนังสือคลาสสิกก็ "อ่านยาก" เพราะบางเล่มเก่ามาก และใช้ภาษาสำนวนที่ค่อนข้างเก่า บางเล่มผู้เขียนก็ไม่ได้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพราะเขาอาจเป็นนักวิชาการมากกว่านักเขียน แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าเนื้อหาในหนังสือคลาสสิก มีความสำคัญต่อความเข้าใจของเรามาก เราต้องหาหนังสือที่ Simplify หรือเขียนอธิบายแนวความคิดนั้นอย่างง่ายมาอ่าน ซึ่งโชคดีที่ปัจจุบันมีหนังสือแบบนี้มากมาย ทำให้เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือคลาสสิก เราก็ยังเข้าใจแนวคิดของมันได้ ผมก็ยังคิดว่า ถ้าจะให้ดี เราก็ควรจะอ่านหนังสือคลาสสิกด้วย สักจบหนึ่งก็ยังดี เพื่อที่จะได้ "คุย" ได้ว่า เราเคยอ่านมาแล้ว
*********************
หนังสือคลาสสิก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา
http://bit.ly/AlBMvu
หนังสือคลาสสิก : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หนังสือคลาสสิก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หนังสือการลงทุนที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ผมคิดว่าเป็นหนังสือคลาสสิก เหตุผลสำคัญคือ เป็นหนังสือที่เป็น "Original"
นั่นคือ เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่เขียนเกี่ยวกับแนวความคิดที่สำคัญที่ต่อมาได้รับการยอมรับกว้างขวาง หรือเป็นหนังสือที่เล่าเรื่องของบุคคลสำคัญได้อย่างมีแง่มุมที่แหลมคมเป็นบทเรียนสำหรับคนรุ่นใหม่ หรือเป็นหนังสือที่ประยุกต์ความรู้และวิชาการลงทุนมาเขียนให้คนทั่วไปอ่านอย่างเข้าใจได้ง่าย ต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น
เล่มแรกก็คือ The Intelligent Investor โดย เบน เกรแฮม นี่คือสุดยอดหนังสือคลาสสิกที่พูดถึงการลงทุนแบบ Value Investment ซึ่งได้สร้าง Value Investor หรือนักลงทุนเน้นคุณค่าขึ้นทั่วโลก ว่าที่จริง สร้างสิ่งที่เรียกว่า "การวิเคราะห์หลักทรัพย์สำหรับการลงทุน" ของนักลงทุนทั่วไปให้เกิดขึ้น ทั้งนี้เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเล่มนี้ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยังแทบจะไม่มีใครทำ นักลงทุนเล่นหุ้นโดยการฟังข่าวและอาจจะสนใจแต่เรื่องของภาวะเศรษฐกิจ มากกว่าจะดูถึงมูลค่าพื้นฐานของกิจการ หนังสือเล่มนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งนอกจากจะพูดถึงการวิเคราะห์คำนวณหาตัวเลขแล้ว ยังบอกถึงความสำคัญของจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนด้วย
เล่มที่สองคือ Common Stocks and Uncommon Profits and Other Writings โดย ฟิลลิป ฟิสเชอร์ นี่เป็นหนังสือการลงทุนเล่มแรกๆ ที่พูดถึงการลงทุนในกิจการที่ดีสุดยอด ซึ่งกลายเป็นแนวความคิดของกลุ่มนักลงทุนที่เน้นกิจการที่โตเร็วหรือที่เรียกว่า Growth Investment ซึ่งต่อมากลายเป็นแนวความคิดที่นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนมืออาชีพส่วนใหญ่นิยมยึดถือเป็นหลัก
เล่มที่ 3 คือ A Random Walk Down Wall Street โดย Burton Malkiel นี่คือหนังสือที่เขียนขึ้นโดยอิงจากการศึกษาทางวิชาการลงทุนที่บอกว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพสูงมาก และสามารถกำหนดราคาของหลักทรัพย์ทุกตัวให้มีราคาที่เหมาะสม ดังนั้นไม่มีใครสามารถจะหาหุ้นราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานได้ต่อเนื่อง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ ที่จะไปวิเคราะห์หุ้นเป็นรายตัว แต่ควรลงทุนหุ้นให้กระจายไปหลายๆ ตัว เช่น ลงทุนในกองทุนรวมที่อิงดัชนีเป็นต้น หัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ให้ข้อมูลและประวัติศาสตร์การลงทุนที่ดีมาก ทำให้นักลงทุนเข้าใจภาพใหญ่ของการลงทุน และตัดสินได้ว่าจะทำอย่างไรกับการลงทุนของตนเอง
เล่มที่ 4 คือ One Up On Wall Street โดย ปีเตอร์ ลินช์ กับ John Rothchild นี่เป็นหนังสือคลาสสิกที่ค่อนข้างใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้เป็นหนังสือคลาสสิกอยู่ที่ว่า ถูกเขียนโดยนักบริหารกองทุนรวมหุ้นที่ประสบความสำเร็จ "สูงที่สุดในโลก" แต่สิ่งที่เผยออกมา คือ "คนธรรมดาก็สามารถที่จะทำได้" หนังสือเล่มนี้เขียนได้สนุกและอ่านง่าย มีตัวเลขน้อยมาก แต่อาศัย Common Sense หรือสามัญสำนึกมากกว่า และถ้าให้เดา ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของหนังสือการลงทุนตลอดกาล
เล่มที่ 5 คือ Technical Analysis of Stock Trends โดย Robert Edwards และ John Magee นี่คือหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เป็นเหมือน "คู่มือ" มาตรฐานของนักวิเคราะห์ทางเทคนิค อธิบายการวิเคราะห์อย่างยืดยาวและครอบคลุมคล้ายๆ กับหนังสือ Securities Analysis ของ เบน เกรแฮม ที่พูดถึงเรื่องการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐาน ส่วนตัวผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะไม่ได้เชื่อถือเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค นักวิเคราะห์ทางเทคนิคน่าจะต้องรู้จักมันเป็นอย่างดี
เล่มที่ 6 คือ Reminiscences of a Stock Operator โดย Edwin Lefevre นี่เป็นหนังสือที่เขียนเป็นแบบนิยาย แต่น่าจะอิง หรือเป็นการเล่าเรื่องราวและชีวิตการลงทุนของ Jesse Livermore ซึ่งเป็นนักเล่นหุ้นและเก็งกำไรระดับโลกที่มีชีวิตที่มีสีสัน เคยร่ำรวยระดับประเทศและล้มละลายหลายครั้งจนสุดท้ายฆ่าตัวตาย หนังสือบอกให้เห็นถึงการเริ่มต้นเข้าสู่การเล่นหุ้นในฐานะของเด็กยากจนต่ำต้อยจนก้าวขึ้นสู่ "ราชันย์" ในวงการหุ้นและหลักทรัพย์ในสมัยที่ตลาดอเมริกายังไม่ได้พัฒนาแบบทุกวันนี้แต่คล้ายๆ กับประเทศกำลังพัฒนาที่ยังไม่มีกฎระเบียบในการควบคุมธุรกิจมากนัก
เล่มที่ 7 คือ Buffet: The Making of an American Capitalist โดย Roger Lowenstein นี่คือหนังสือที่บอกเล่าประวัติและผลงานของบัฟเฟตต์อย่างละเอียดเป็นเล่มแรกๆ และอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เป็นหนังสือคลาสสิก แม้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว บัฟเฟตต์จะอนุญาตและร่วมมือในการเขียนหนังสือประวัติของตนเองชื่อ The Snowball โดย Alice Schroeder เราก็คงต้องดูกันต่อไปว่ามันจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิกได้หรือไม่ เหตุผลก็คือ ประวัติของบัฟเฟตต์นั้นมีการพูดถึงกันมามากก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ The Snowball อาจจะไม่เด่นมากอย่างที่คาด
เล่มที่ 8 The Money Master และ The New Money Master โดย John Train นี่เป็นหนังสือที่นำเสนอประวัติและกลยุทธ์การลงทุนของเซียนหุ้นแถวหน้าแห่งยุคสมัยหลายๆ คนในเล่มเดียวกัน และเช่นเคย เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่เขียนได้ดีและมีมุมมองที่เฉียบคม จึงกลายเป็นหนังสือคลาสสิก แม้จะมีหนังสือแนวนี้ออกมาในภายหลัง จึงเป็นเพียงผู้ตามและก็คงยากที่จะกลายเป็นหนังสือคลาสสิกได้
สุดท้ายก็คือคำถามที่ว่า เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องอ่านหนังสือคลาสสิกถ้าจะเป็นนักลงทุนที่มุ่งมั่น คำตอบของผมก็คือ ไม่จำเป็น เพราะบ่อยครั้ง หนังสือคลาสสิกก็ "อ่านยาก" เพราะบางเล่มเก่ามาก และใช้ภาษาสำนวนที่ค่อนข้างเก่า บางเล่มผู้เขียนก็ไม่ได้ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เพราะเขาอาจเป็นนักวิชาการมากกว่านักเขียน แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าเนื้อหาในหนังสือคลาสสิก มีความสำคัญต่อความเข้าใจของเรามาก เราต้องหาหนังสือที่ Simplify หรือเขียนอธิบายแนวความคิดนั้นอย่างง่ายมาอ่าน ซึ่งโชคดีที่ปัจจุบันมีหนังสือแบบนี้มากมาย ทำให้เราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือคลาสสิก เราก็ยังเข้าใจแนวคิดของมันได้ ผมก็ยังคิดว่า ถ้าจะให้ดี เราก็ควรจะอ่านหนังสือคลาสสิกด้วย สักจบหนึ่งก็ยังดี เพื่อที่จะได้ "คุย" ได้ว่า เราเคยอ่านมาแล้ว
*********************
หนังสือคลาสสิก
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา http://bit.ly/AlBMvu