คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ถ้าเค้าพูดมาอย่างนั้น คุณต้องทำใจแล้วล่ะค่ะ ถ้าเค้าเจอคนที่ใช่ เค้าไปแน่และไม่รู้สึกผิดด้วย เพราะเค้าบอกคุณอย่างชัดเจนแล้วว่าอยากเป็นพี่เป็นน้อง แถมยังกล้าเล่าให้ฟังถึงสาวๆที่เค้าไปฟาดฟันมาให้ฟังอย่างไม่คิดกลัวว่าพี่จะเสียใจหรือน้ิยใจเลยอีกต่างหาก
ถ้าถามถึงการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริงหรือไม่ ถ้าเค้ามองว่าการกระทำที่เค้าทำต่อคุณ เค้ารู้สึกเพียงแบบพี่ชาย น้องสาวจริงๆ ล่ะคะ รู้จักกันมาตั้ง 8 ปี ถ้าจะคบกันเป็นแฟนก็ต้องให้ชัดเจน เจอญาติหรือเพื่อน หรือใครๆก็ภูมิใจที่จะแนะนำว่าเป็นแฟน แต่นี่ไม่ใช่อะ
เราว่าคุณทำใจหน่อยก็ดีนะคะ
ส่วนเรื่องเวอร์จิ้น ไม่แปลกนี่คะ ก็ถ้ายังไม่อยากมีเซ็กส์ก่อนแต่งงาน ก็เป็นเรื่องปกติ แล้วยิ่งตอนนี้คุณเองก็ไม่มีแฟนด้วย แต่ถ้าคุณมีเซ็กส์กับพี่อายุ 46 คนนี้ โดยที่เค้ากับคุณไม่ได้เป็นแฟนกัน เออ...แบบนี้ค่อยน่าคิดหน่อยว่าแปลกไหม แต่ก็อาจจะไม่ค่อยแปลกถ้าทั้งคู่เห็นพ้องและเข้าใจตรงกัน
เราว่าน่าห่วงสุดก็คือจิตใจของคุณเนี่ยแหละค่ะ ว่าโอเคหรือเปล่ากับสถานภาพนี้ แล้วถ้าวันนึงเค้าหายออกไปจากชีวิตคุณพร้อมกับคนใหม่ คุณจะโอเครึเปล่า อีกทั้งพร้อมตอบคำถามคนที่เข้าใจว่าคุณกับเค้าเป็นแฟนกันแค่ไหน ในวันที่เค้าจากไป คำถามพวกนั้นจะตอกย้ำความรู้สึกของคุณมากเลยนะคะ
ถ้าเป็นเรา ๆ คงไม่ปล่อยเวลาไว้เนิ่นนานขนาด 7-8 ปีอย่างนี้หรอกค่ะ ถ้ารู้ตั้งแต่ปีแรกว่าเค้าอยากคบแค่เป็นพี่น้อง เราก็จะมีระยะห่างแค่ในแบบพี่น้องทำได้ให้ไป เราเป็นคนห่วงจิตใจตัวเองมากกว่าอะค่ะ
ถ้าถามถึงการกระทำสำคัญกว่าคำพูดจริงหรือไม่ ถ้าเค้ามองว่าการกระทำที่เค้าทำต่อคุณ เค้ารู้สึกเพียงแบบพี่ชาย น้องสาวจริงๆ ล่ะคะ รู้จักกันมาตั้ง 8 ปี ถ้าจะคบกันเป็นแฟนก็ต้องให้ชัดเจน เจอญาติหรือเพื่อน หรือใครๆก็ภูมิใจที่จะแนะนำว่าเป็นแฟน แต่นี่ไม่ใช่อะ
เราว่าคุณทำใจหน่อยก็ดีนะคะ
ส่วนเรื่องเวอร์จิ้น ไม่แปลกนี่คะ ก็ถ้ายังไม่อยากมีเซ็กส์ก่อนแต่งงาน ก็เป็นเรื่องปกติ แล้วยิ่งตอนนี้คุณเองก็ไม่มีแฟนด้วย แต่ถ้าคุณมีเซ็กส์กับพี่อายุ 46 คนนี้ โดยที่เค้ากับคุณไม่ได้เป็นแฟนกัน เออ...แบบนี้ค่อยน่าคิดหน่อยว่าแปลกไหม แต่ก็อาจจะไม่ค่อยแปลกถ้าทั้งคู่เห็นพ้องและเข้าใจตรงกัน
เราว่าน่าห่วงสุดก็คือจิตใจของคุณเนี่ยแหละค่ะ ว่าโอเคหรือเปล่ากับสถานภาพนี้ แล้วถ้าวันนึงเค้าหายออกไปจากชีวิตคุณพร้อมกับคนใหม่ คุณจะโอเครึเปล่า อีกทั้งพร้อมตอบคำถามคนที่เข้าใจว่าคุณกับเค้าเป็นแฟนกันแค่ไหน ในวันที่เค้าจากไป คำถามพวกนั้นจะตอกย้ำความรู้สึกของคุณมากเลยนะคะ
ถ้าเป็นเรา ๆ คงไม่ปล่อยเวลาไว้เนิ่นนานขนาด 7-8 ปีอย่างนี้หรอกค่ะ ถ้ารู้ตั้งแต่ปีแรกว่าเค้าอยากคบแค่เป็นพี่น้อง เราก็จะมีระยะห่างแค่ในแบบพี่น้องทำได้ให้ไป เราเป็นคนห่วงจิตใจตัวเองมากกว่าอะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
เราอายุ 40 แล้ว แต่ยัง Vergin ไม่เคยเที่ยวกลางคืนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยดื่มเหล้าและไม่เคยสูบบุหรี่ ผิดปกติไหมคะ
คนแรกคบตอนเราเรียนปริญญาโท ตอนนั้นอายุ 20 คบได้แค่ปีเดียวก็เลิกกัน เพราะเค้ากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าเค้า คือตอนเค้ามาคบกับเราแฟนเค้าไปเรียนภาษาที่เมืองนอกค่ะ พอแฟนเค้ากลับมาเค้าก็เลยเลิกกับเราเพื่อกลับไปคบกับคนเก่า
แฟนคนที่ 2 เราแอบชอบเค้าตั้งตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรี แต่เพิ่งมาคบกันเป็นแฟนตอนที่เราเลิกกับแฟนคนแรก ตอนนั้นเราก็อายุประมาณ 22 แต่พอเรียนจบโท เค้าก็มาขอเลิกกับเรา เพราะเค้าไปสนิทกับรุ่นน้องอีกคนที่ทำวิจัยร่วมกันกับเค้า แล้วก็เป็นคนที่เค่แอบชอบตอนที่เค้าเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวกันด้วย
ช่วงนั้นเราเครียดมาก จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า ทำงานก็ไม่ได้ เพราะไม่มีสมาธิกับการทำงาน ต้องเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายพ่อกับแม่บอกเราว่าอย่าทำงานเลย เงินเดือนที่ได้มามันไม่คุ้มกับการที่เราต้องไปหาหมอจิตเวทย์ทุกอาทิตย์
พอเราไม่ได้ทำงาน ก็เลยหมดโอกาสที่จะได้คบกับคนใหม่ๆ เราเลยลองสมัครเวปหาคู่ ก็มีคนติดต่อขอรู้จักด้วยเยอะ เราก็เลือกดูเป็นคนๆ ไป แต่ถ้าเค้าขอนัดเจอเราจะแอบพาเพื่อนไปด้วยโดยให้เพื่อนนั่งสังเกตการณ์อยู่โต๊ะใกล้ๆ เพื่อความปลอดภัย
แต่สุดท้ายทุกคนที่เราไปกินข้าวด้วย ก็ไม่มีใครขอนัดเป็นครั้งที่สองเลย
ลืมบอกไปว่าพ่อกับแม่เลี้ยงเรามาแบบคุณหนูมากๆ และค่อนข้างโบราณ ห้ามเราไปเที่ยวกลางคืน ห้ามไปนอนข้างบ้านเพื่อน ห้ามกลับบ้านเกิน 1 ทุ่ม ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ทำตัวอยู่ในกรอบมาโดยตลอด ผลการเรียนก็ดึ จบตรีแล้วก็มาต่อโทอีก 2 ใบ ส่วนเรื่องหน้าตา เพื่อนๆ รวมทั้งอาจารย์ที่สอน พวกรุ่นพี่ หรือคนรู้จักก็มักพูดเหมือรกันว่า เราเป็นคนหน้าตาค่อนข้างดี ขาว ผอม ฉลาด เรียนเก่ง
ตั้งแต่เราเลิกกับแฟนคนที่ 2 ตอนนั้นเราอายุประมาณ 25 เราก็ไม่เคยคบใครอีกเลย หรือถ่าพูดชัดๆ ก็คือ แทบไม่มีคนมาจีบเราเลย แต่เราก็พอเข้าใจว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ทำงาน เลยไม่มีสังคม โอกาสที่จะได้เจอผู้คนก็เลยไม่มี แถมเวลาเราจะไปเดินห้าง พ่อหรือแม่ก็จะไปกับเราด้วยตลอด ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ กับใครได้เลย
เหตุการณ์เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ จนเราอายุประมาณ 32 เราตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอก เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นการเปิดโลกใหม่ๆ ให้กับตัวเอง และที่นี่ล่ะค่ะที่เราได้เจอแผนคนที่ 3 ซึ่งก็คือคนปัจจุบันตอนนี้
แต่ปัญหาก็คือ เรากับเค้าไม่เคยพูดว่าเราเป็นแฟนกันนะ แต่เราสองคนจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด นั่งเรียนด้วยกัน ช่วยกันอ่านหนังสือ เพื่อนๆ ในห้องจะรู้ดีว่าถ้าเห็นคนหนึ่งก็จะต้องเห็นอีกคนด้วยเสมอ เค้าเองก็มาไหว้พ่อกับแม่เราที่บ้านตั้งแต่ช่วงที่สนิทกันใหม่ๆ มาทีก็มานานๆ แล้วก็มาแทบทุกวัน เราเคยถามพ่อว่า พ่อคิดว่าพี่เค้าชอบเราไหม พ่อตอบว่าถ้ามันไม่มีใจให้เรา มันไม่เทียวไปเทียวมาอย่างนี้ทุกวันหรอก เพื่อนๆ ในห้องก็ชอบบอกว่าเรากับพี่เค้าดูยังไงก็เกินพี่เกินน้อง เราก็เลยถามแม่ว่า คนอื่นเค้าดูออกเหรอว่าเรากับพี่เค้าไม่ได้เป็นแค่พี่กับน้องธรรมดา แม่เราตอบง่ายๆ ว่า ถ้าคนเค้าไม่ตาบอด เค้าก็เห็นแบบนี้แหละ ซึ่งตัวเราเองก็รู้สึกว่าเค้าคิดกับเราเกินน้องแน่ๆ แต่พอถามเค้า เค้าก็บอกเราว่า เป็นน้องน่ะดีแล้ว อย่าทำให้ชีวิตพี่ไม่เหลือใครเลย คือเค้าบอกว่าเค้ากลัวว่าถ้าตกลงเป็นแฟนกัน แล้วสมมติว่าต้องเลิกกัน เค้าจะเสียเราไป และเค้าจะไม่เหลือใครอีกเลย
แต่การกระทำของเค้ามันเกินความเป็นพี่เป็นน้องอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนเราสมัยมัธยมยังบอกเลยว่า ถ้าอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นแฟนกันก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
แต่เราแอบไปรู้มาอย่างนึงว่า เค้าเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน แต่เค่าไม่ดื่มเหล้านะ ชอบแค่ไปเที่ยว ไปจีบสาว เพราะเราเคยได้ยินเค้ารับโทรศัพท์ว่าผู้หญิงโทรมาให้เค้าออกไปเจอกันตามที่เที่ยวกลางคืนต่างๆ แล้วเค้าก็เคยหลุดปากเล่าให้เราฟังว่า ส่วนใหญ่เค่าก็มักจะไปมี sex กับผู้หญิงที่มาเสนอตัวให้เค้าบ่อยๆ แต่เค่าบอกเราว่าเค้าก็ไม่ได้จริงจังกับคนพวกนั้น แค่เสนอมาเค้าก็สนองตอบไปเท่านั้นเอง
ตอนนี้เราก็ 40 เต็มพอดี ส่วนพี่เค้า 46 นับเวลาตั้งแต่เริ่มสนิทกันตอนเรียนปริญญาเอกจนถึงตอนนี้ก็ 8 ปีแล้ว แต่เรายังไม่แน่ใจเลยว่าเค้าคิดกับเราแบบไหน เพราะเค้าไม่เคยพูด แม้ว่ามันจะขัดกับการกระทำของเค่าอย่างเห็นได้ชัด ชนิทที่คนเพิ่งเจอกันยังทักเลยว่าเราสองคนเป็นแฟนกันแน่ๆ พอเราถามแม่ว่าทำไมเค้าถึงพูดแบบนั้น แม้ก็บอกว่าคนเค้ามีตาย่ะ เค้าไม่ได้ตาบอดนี่จะได้ดูไม่ออก
ยาวไปหน่อยขอโทษนะคะ คือเราอายุขนาดนี้แล้วก็จริง แต่เราไม่ประสีประสาเรื่องความรักเลย เรียกว่าอ่อนต่อโลกมากก็ว่าได้ เราเลยอยากปรึกษาน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ ว่า จริงๆ แล้วการกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดใช่ไหมคะ แต่ถ่าเค้าไม่พูดออกมาเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง
ที่นี้ก็มาถึงปัญหาที่เราตั้งกระทู้ไว้น่ะค่ะ คือตอนนี้เรายัง Vergin อยู่เลย เคยมีจูบบ้างกับแฟน 2 คนแรก แต่เราไม่ยอมมี Sex ด้วยเพราะเรายึดมั่นกับคำสอนของแม่ว่าคุณค่าของผู้หญิงอยู่ที่ไหน แน่พอมาเจอเด็กสมัยนี้มี Sex กันตั้งแต่ม.ปลาย หรือปริญญาตรีนี่ เราถึงกับเงิบเลยค่ะ พาลคิดไปว่านี่เราหัวโบราณเกินไปหรือเปล่า แถมยังไม่เคยเที่ยวกลางคืนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะพ่อกับแม่ไม่อนุญาต เหล้าก็ไม่เคยกิน ไวน์ก็ไม่เคยกิน กินไม่เป็น ขนาด Cocktail ยังกินไม่เป็นเลยค่ะ
เพื่อนๆ น้องๆ คิดว่าเราใสจน Over มากเกินไปหรือเปล่าคะ เราแปลกหรือผิดปกติไหมถ้าดูจากสภาพสังคมตอนนิ้
เราขอสาบานเลยนะคะว่านี่คือเรื่องจริงทั้งหมด เรากลัวว่าเพื่อนๆ น้องๆ ที่เข้ามาอ่านจะหาว่าเราแอ๊บแบ๊วน่ะค่ะ แต่ทั้งหมดนี้คืดชีวิตจริงของเราจริงๆ
ส่วนเลขที่สมาชิก อันนี้เราสมัครใหม่เพื่อมาถามเรื่องนี้โดยเฉพาะค่ะ ไม่กล้าใช้ Log In จริงๆ ของเรา เพราะเราไม่อยากให้คนรู้ว่าเราคือใครน่ะค่ะ อีกอย่างคนทืรู้จักว่าเราใช้ Log In อะไรก็มีเยอะ แฟนเราก็รู้ เลยต้องขอถอด Log In สำหรับกระทู้นี้นะคะ
ขอบคุณที่เสียสละเวลาอ่านค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ยาวไปหน่อย