อุทาหรณ์"สัญญา 10 ปี"จาพนม ขอความรู้นักกม. "ต่อสัญญาอัตโนมัติ/เซ็นรับเอกสาร" ก็ได้ด้วยหรือ?

เนื่องจากกฎหมายไทยกำหนดให้ "คนไทยทุกคนต้องรู้ข้อกฎหมาย" ทั้งๆที่มันสวนทางกับชีวิตจริงของคนไทยมาก
ที่ไม่มีการสอนพื้นฐานกฎหมายชาวบ้าน อย่างการทำสัญญา ธุรกรรม กู้ยืม ลิขสิทธิ์ หรืออะไรเลย
แต่เมื่อกฎหมายไทยกำหนดไว้แล้วว่าคนไทยทุกึนต้องรู้กฎหมาย จึงเปิดโอกาสให้คนที่ "หัวหมอกว่า" ยกประเด็นนี้เป็นข้ออ้างในการชนะคดีเสมอ

ผมถึงคิดว่ากรณีสัญญาของจาพนมกับบ.เสี่ยเจียง เป็นบทเรียนที่มากกว่า "แค่ข่าวดารา" สำหรับพวกเราทุกคนนะครับ
ผมจึงขอรบกวนเพื่อนๆแลกเปลี่ยนประสบการณ์และคำถามกัน กรณี "สัญญาที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย"
ว่าแบบไหนเอาเปรียบ/ไม่เอาเปรียบ แบบไหน ทำได้/ทำไม่ได้  นะครับ

เริ่มที่ผมก่อนเลย ผมสงสัย 4 ข้อครับ  

1. "สัญญา 10 ปี แบบจาพนมและดงบังชิงกิโดน" ทำได้ด้วยหรือ?  
กฎหมายประเทศอื่นทำไม่ได้ครับ มันคือสัญญาทาสชัดๆ
เพราะสัญญาธุรกิจแบบเป็นทางการ คือ 2-3 ปี เท่านั้น

ข้อเท็จจริง  สัญญาไทยที่สนพ.เซ็นกับนักเขียน หรือค่ายหนังเซ็นกับศิลปิน มักเซ็นยาว 10 ปีแทบทั้งนั้น
ผมเคยเจอเองกับตัว 10 ปี  ผมขอแก้เหลือ 3  ฝ่ายที่เซ็นต่อเหลือ 5 ปี (แปลว่ามันต่อรองได้) ผมยืนกรานแค่ 3 ตามกฎหมายสากล เขาก็โอเค

2. "สัญญาสามารถต่ออัตโนมัติ" ได้ด้วยหรือ?
ของผมเคยเจอในสัญญา (คนละบริษัทกับข้อ 1 นะครับ) ระบุข้อความนี้เลยว่า เมื่อหมดสัญญา ถือว่าผมอนุญาตให้อีกฝ่ายต่อสัญญาได้โดยอัตโนมัติ
ผมเลยแย้งข้อนี้ไป  เขาตอบผมมาว่า "นี่เป็นสัญญาที่ใครๆก็ทำกัน"  ผมก็บอกว่ามันผิดหลักการทำสัญญานะ  ก็ขอแก้ เปลี่ยนเป็น
"หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสงค์จะต่อสัญญา ให้ทำจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรแจ้ง และอีกฝ่ายตอบรับ  ถ้าไม่การแจ้งความประสงค์จะต่อสัญญาจากทั้งสองฝ่าย ก็ถือว่าไม่ต่อสัญญา"
(ภาษากฎหมายจะมีละเอียดกว่านี้ แต่ตอนนี้ง่วง  เอาแค่พอหอมปากหอมคอนะครับ)

3. "การมีคนเซ็นรับเอกสารถือว่าต่อสัญญาแล้วหรือ"  ไม่ใช่เจ้าตัวเป็นคนเซ็นลงนามในเอกสารหรือ?
อันนี้ผิดเห็นๆครับ  มั่วสุดๆ

4. "การยกเลิกสัญญา" ต้องยินยอมทั้ง 2 ฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายเดียวได้? (กรณีไม่มีการละเมิดสัญญานะครับ)
ถ้าเป็นสัญญาธุรกรรมปกติอย่างแฟรนไชส์  ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งที่ตกลงกันไว้  ฝ่ายที่ถูกละเมิดสามารถส่งจดหมายยกเลิกสัญญาได้ทันที
โดยที่ไม่ต้องรอฝ่ายละเมิดยินยอม
แต่กรณีจาพนมเป็นการ "ต่ออายุสัญญา"  แบบนี้ต้องทำยังไงครับ


เพื่อนๆมีประสบการณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำสัญญา ของประเทศไหนก็แล้วแต่ บอกมาได้เลยนะครับ  จะได้เป็นประโยชน์แก่สังคมในวงกว้างด้วย
ขอบคุณมาก


* ปล. ผมตัดสินใจเพิ่มแท็กห้องสีลม ธุรกิจ เพราะผมเชื่อว่าสัญญาธุรกรรมต่างๆ เช่น สัญญาสมัครฟิตเนส  สัญญาว่าจ้างการทำงาน ฯลฯ
ก็สามารถเข้าข่ายกรณีจาพนมได้เช่นกันครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
1. "สัญญา 10 ปี แบบจาพนมและดงบังชิงกิโดน" ทำได้ด้วยหรือ?  
- ตามที่ความเห็นที่5 อธิบายไว้ค่ะว่า กรณีสัญญาจ้างของดารานั้น อาจเป็นได้ทั้งสัญญาจ้างแรงงานหรือสัญญาจ้างทำของ ขึ้นอยู่กับว่าสัญญานั้นมุ่งผลสำเร็จของงานหรือมุ่งแรงงานมากกว่า แต่ถ้าเป็นกรณีสัญญา 10 ปี อย่างนี้ คาดว่าน่าจะเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีการตกลงสินจ้างตามผลงานคำนวณเป็นหน่วยค่ะ เพราะส่วนใหญ่นายจ้างยังมีอำนาจบังคับบัญชานักแสดงอยู่นะคะ ซึ่งโดยปกติแล้วสัญญาจ้างแรงงานนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดตายตัวค่ะ จะตกลงกันทำสัญญานี้เป็นเวลากี่ปีก็ได้ค่ะ เป็นไปตามหลักอิสระในการทำสัญญาค่ะ ในส่วนระยะเวลาของสัญญานี้กฏหมายได้เปิดช่องให้ตกลงกันได้ตามความสมัครใจของคู่สัญญาค่ะ ส่วนในการตกลงข้อสัญญาอื่นๆนั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมายค่ะ คือไม่ขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายอื่น ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่จะทำสัญญาขัดหรือแย้งไม่ได้ค่ะ ถ้าขัด สัญญาจะตกเป็นโมฆะค่ะ (โดยหลักแล้วพวกเอกเทศสัญญาจะเป็นความตกลงกันของเอกชนเสียมาก รัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงหากไม่จำเป็น แต่กรณีสัญญาจ้างแรงงานแม้จัดอยู่ในประเภทหนึ่งของเอกเทศสัญญา แต่เนื่องจากคู่สัญญามีอำนาจต่อรองที่ำไม่เท่าเทียม เพราะความต้องการได้งานมีมากกว่าความต้องการคนเข้าทำงานค่ะ นายจ้างจึงมักจะได้เปรียบเสมอ รัฐจึงบัญญัติกฎหมายเข้ามาคุ้มครองฝ่ายลูกจ้างเสียเยอะน่ะค่ะ จึงมีข้อบังคับยิบย่อยอยู่พอสมควรค่ะ)

2. "สัญญาสามารถต่ออัตโนมัติ" ได้ด้วยหรือ?
โดยปกติแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่ตกลงกันได้ค่ะ ตามหลักการแสดงเจตนาเช่นกันค่ะ หรือในบางกรณีเช่น สัญญาจ้างแรงงาน ก็มีกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นการเกิดสัญญาจ้างแรงงานโดยผลของกฎหมายค่ะ กล่าวคือ กรณีนี้นายจ้างและลูกจ้างเคยทำสัญญาจ้างแรงงานโดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนกันมาก่อนและสัญญานั้นได้สิ้นสุดลง แต่ปรากฎว่าลูกจ้างยังคงทำงานอยู่ต่อโดยนายจ้างไม่ได้ทักท้วง กรณีนี้ถือว่ามีสัญญาจ้างแรงงานเกิดขึ้นใหม่โดยผลของกฎหมายโดยมีข้อตกลงตามสัญญาเดิม เพียงแต่สัญญาใหม่นั้นไม่มีกำหนดเวลาการจ้างที่แน่นอนค่ะ

คือต้องเรียนว่า สัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบค่ะ ตกลงด้วยวาจาก็ได้ ดังนั้นโอกาสที่จะต่อโดยอัตโนมัติเลยมีโอกาสเป็นไปได้ง่ายค่ะ

3. "การมีคนเซ็นรับเอกสารถือว่าต่อสัญญาแล้วหรือ"  ไม่ใช่เจ้าตัวเป็นคนเซ็นลงนามในเอกสารหรือ?
กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้นะคะ หากคนเซ็นสัญญานั้นเป็นตัวแทนค่ะ คือเป็นกรณีที่ตัวนักแสดงอาจทำสัญญาไว้กับบุคคลหนึ่งให้บุคคลนั้นมีอำนาจกระทำการแทนตนในบางเรื่องค่ะ กรณีนี้หากเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงไปเซ็นสัญญา และปรากฎว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานักแสดงจะให้ผู้จัดการคนนี้เป็นคนเซ็นสัญญาหรือรับงานให้ตลอด ก็อาจถือว่าเป็นการต่อสัญญาได้ค่ะ หรือกรณีนี้ผู้จัดการอาจเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไปที่กระทำการแทนนักแสดงทุกอย่าง ก็อาจเกิดข้อผูกพันได้ค่ะ (หากสนใจให้ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง สัญญาตัวแทน นะคะ)

4. "การยกเลิกสัญญา" ต้องยินยอมทั้ง 2 ฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายเดียวได้? (กรณีไม่มีการละเมิดสัญญานะครับ)
ขอแยกให้เห็นภาพง่ายๆอย่างนี้นะคะ
   กรณีสัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระยะเวลาจ้างแน่นอน
-สัญญาย่อมสิ้นสุดเมื่อครบกำหนดระยะเวลา หรือ กรณีที่มีการกำหนดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาในการสิ้นสุดสัญญาและเงื่อนไขนั้นเกิดขึ้นค่ะ หรือจะตกลงยกเลิกสัญญาโดยความตกลงของทั้งสองฝ่ายก็ได้ค่ะ ส่วนหากกรณีที่นายจ้างมีเหตุสมควรหรือลูกจ้างกระทำผิดร้ายแรง นายจ้างก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้เลยเช่นกันค่ะ  
   กรณีสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน
-นายจ้างก็สามารถบอกเลิกสัญญาลูกจ้างฝ่ายเดียวได้ค่ะ แต่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า 1 ระยะเวลาค่าจ้าง หรือ จ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อเลิกสัญญาเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 582 และ พรบ.คุ้มครองแรงงานมาตรา17 แต่หากเป็นกรณีที่ลูกจ้างขอบอกเลิกสัญญา กรณีนี้เนื่องจากความเสียหายที่นายจ้างได้รับอาจจะไม่แน่ชัด กฎหมายเลยไม่ได้บัญญัติไว้ แต่อย่างไรก็ตามนายจ้างย่อมเสียหายแน่นอน ก็อาจเรียกค่าเสียหายจากลูกจ้างได้ค่ะ หากบอกเลิกโดยไม่บอกกล่วล่วงหน้า อาจเรียกตาม ประมวลกฏหมายแพ่ง มาตรา 215

สรุป คือ เลิกฝ่ายเดียวได้นะ หากเข้ากรณีที่กฎหมายกำหนดก็ต้องทำตามกฎหมายบัญญัติไว้ก่อนถึงเลิกได้ แต่หากไม่เข้าหรือเข้าแต่ไม่ยอมทำตามก็เลิกได้แหละ แต่อาจมีความรับผิดตามมาถ้าไปทำคู่สัญญาเขาเสียหาย

ปล.ฝากเจ้าของกระทู้ไว้นิดนะคะ เรื่อง กฎหมายไทย กำหนดไว้ว่า คนไทยทุกคนต้องรู้กฎหมาย คือ เราเข้าใจมุมมองของเจ้าของกระทู้นะคะว่ามีคนไม่ทราบกฎหมายเยอะจริงๆ และอาจมีหลายกรณีที่ผู้รู้กฎหมายนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูก แต่อยากฝากเอาไว้ว่า ลองมองมุมกลับ หากกฎหมายกำหนดว่าคนไม่รู้กฎหมายไม่ผิด ผลเสียที่ตามมาอาจจะมากกว่านี้ทวีคูณนะคะ คนรู้ก็อ้างว่าไม่รู้ก็รอดแล้ว คนไม่รู้ก็ไม่สนใจจะรู้ เพราะอ้างว่ามันไม่รู้ก็คือไม่ผิด สังคมจะไร้ระเบียบหรือกฎเกณฑ์ วุ่นวายไปหมดค่ะ เท่ากับว่ามีกฎหมายก็เหมือนไม่มีค่ะ ทุกวันนี้แม้มีกฎหมายบังคับให้คนปฏิบัติตามคนยังไม่เคารพกันเยอะแยะ แล้วหากกฎหมายบัญญัติให้คนไม่เคารพได้จะยังเหลือคนเคารพกันอีกหรือคะ ฝากมุมมองนี้ไว้ด้วยค่า ขอบคุณค่ะ ยิ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่