เริ่มแรกจากการสอบราชการ บางคนไม่เข้าใจว่าสอบราชการแบ่งเป็นอะไรบ้าง
ซึ่งจริงๆงานราชการแบ่งเป็นหลายแบบ ในส่วนนี้ผมจะขออธิบายของข้าราชการ พลเรือนและส่วนท้องถิ่น ที่คนจะเข้าใจสับสน ว่าการบรรจุในสองแบบนี้ทำได้อย่างไรและต้องสอบอะไรบ้าง
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ต้องมี ภาค ก. ซึ่งข้าราชการพลเรือน ภาค ก. จะเป็น ของ กพ. ที่เราจะคุ้นเคยกันดี สมัยก่อนจะมีการสอบหน้าสนามใหญ่ของ กรมที่เปิดสอบ เช่น ปลัดอำเภอเปิดสอบปี 51 คนไม่มี ภาค ก. สอบตอนเช้า และตอนบ่าย สอบ ภาค ข.
ภาค ก. ของ กพ. จะใช้ได้ตลอดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนเป็นอื่น ก็คือใช้ได้ตลอดชีวิตนั้นแหละสอบได้แล้วไม่ต้องไปสอบอีก ซึ่งการสอบจะแบ่งเป็น สี่ระดับ คือระดับ1วุฒิ ปวช. ระดับสอง วุฒิ ปวส. ระดับสาม วุฒิ ป.ตรี ระดับ สี่ วุฒิ ป.โท (ขออธิบายเป็นซีนะครับจะได้เข้าใจง่ายๆ)
ส่วน ภาค ก. ท้องถิ่นก็เคยทำแต่เป็นการให้จังหวัดเปิดสอบกันเอง เราก็คงจะเคยไ้ด้ยินว่า อบต. จังหวัดนี้เปิดสอบ ซึ่ง ภาค ก.นั้นในอดีตไม่ได้กำหนดว่ามีอายุกี่ปี แต่ประมาณปี 49 ท้องถิ่นเริ่มมี ภาค ก.ของตัวเอง เรียกว่า ภาค ก. ของ สถ. ตอนนั้นมีอายุสามปี ขอสอบจะไม่ยากเหมือน กพ. คนที่ไปสอบแล้วจะรู้ดี
ซึ่งข้อสอบทั้งสองอย่างนี้ จะใช้เกณฑ์ในการตัดสินคือ 60% พูดง่ายๆข้อสอบห้าข้อเราทำได้สามข้อก็ผ่านแล้ว
สอบ ภาค ก. จะไม่มีเส้นสายเท่าไรเพราะผ่านไปยังไม่มีการบรรจุ แต่มีภาค ก. ให้ถืออุ่นใจ ว่าเหลือสอบอีกสองก้าวเอง
แต่เดือนหน้าที่ ท้องถิ่นจะเปิดสอบรายจังหวัดจะให้มีการสอบ ภาค ก.และข.พร้อมกัน คือคนไม่มี ภาค ก.ท้องถิ่นก็สอบได้นะครับ
และจะใ้ห้เลือกรายภาคลงเลยเช่น ภาคเหนือมีสองโซนตอนบนและตอนล่างให้เราเลือกเอาเลยว่าอยากอยู่โซนไหน
พอได้ ภาค ก. มาถือแล้วปุ๊บ ก็คอยดูว่า กรมไหนเปิดสอบ ภาค ข.
เช่น กรมการปกครองประกาศรับสมัครปลัดอำเภอ โดยมีคุณสมบัติดังนี้
ต้องมี ภาค ก. ของ กพ. และต้องมีวุฒิ ปริญญาตรีของ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์
ถ้าเราีวุฒิดังนี้ก็สามารถสมัครได้ และจะมีข้อผิดพลาดคือ บางคนไม่ได้จบ ป.ตรี สามคณะนั้นสอบได้ไหม
ให้เรายึดถือประกาศไว้นะครับ เค้าบอกว่า ป.ตรีก็คือแค่ตรี แม้จะจบโทแต่ตรีไม่จบสามคณะก็สอบไม่ได้
ส่วนท้องถิ่นก็จะคล้ายๆกันในส่วนนี้
และพอถึง ภาค ค. ภาคที่คนกลัวกันเหลือเกิน เพราะคือการสัมภาษณ์ ที่กลัวไม่ได้กลัวคำถามแต่กลัวเส้น
ในส่วนของ กพ. นั้น จะมีช่องให้คะแนนซึ่งใครจะได้เต็มต้องแจงเหตุผล ซึ่งที่หนึ่งกับที่สุดท้ายคะแนนสัมภาษณ์ ไม่น่าต่างกันเกินสิบคะแนน
คะแนนจะไปตัดสินกันที่ภาค ข. เพราะคะแนนสอบตั้ง 200 คะแนน
ฉะนั้นเมือสอบเสร็จ ภาค ข. ถ้าเราไม่สบายใจกลัวมีปัญหา ให้รีบทำเรื่องขอดูคะแนนสอบที่กรมเราเปิดสอบ ภายใน 15 วันหลังจากที่สอบ
พอสอบสามภาคแล้วก็ถึงนาทีระทึกใจคือ รอวันประกาศผล ซึ่งจะมีการขึ้นบัญชี ไว้ตามจำนวนผู้ที่สอบผ่านข้อเขียน ภาค ข.และสัมภาษณ์ ภาค ค. และรอเรียกตามลำดับที่สอบได้โดยไม่มีการข้ามลำดับ ยกเว้น เช้นกรมการปกครองทำประจำคือ สมัครใจลงสามจังหวัดชายแดนใต้ อาจจะให้ลำดับหลังที่มีความประสงค์จะลงได้บรรจุก่อน
และถามว่าจะเรียกหมดไหมหลังจากขึ้นบัญชี บอกไ้ด้เลยส่วนมากไม่หมด วิธีแก้ก็คือหาสนามสอบใหม่
อย่างเช่น สนาม ศุลกากร ปี 51 คนสอบประมาณแสนเจ็ด ผ่านข้อเขียนประมาณไม่ถึงห้าร้อย แต่เรียกไม่หมดบัญชี
ปลัดปี51 คนสอบ 79000 ขึ้นบัญชี1500 เรียกจริงไ่ม่ถึง900
ส่วนเรื่องของบำนาญที่มีคนถามกันตลอดและมีคนตอบตรงบ้างไม่ตรงบ้าง
ตอบคือ มีอยู่ครับ
แต่อตนนี้คนอาจจะไปสับสนกับ กบข. ซึ่ง ล่าสุดก็จะมีมติว่าใครอยากออกไปรับบำนาญเหมือนเก่าก็ทำได้แต่ต้องรับราชการก่อนปี 40
ขออธิบายเรื่องบำนาญให้เข้าใจนะครับ
สมัยก่อนบำนาญ คือ เอาเงินเดือนสุดท้าย มาคูณปีรับราชการและหารด้วย50
เช่น นาย ก. เงินเดือนสุดท้าย 50000 รับราชการ 40 ปี หารด้วย50 นายก็ก็จะรับบำนาญ40000 บาท จนกว่าจะตาย และพอตาย นาย ก.ก็จะรับเงินบำนาญ และคูณด้วย 33 เท่า ก็จะได้ประมาณ 1320000 บาท นี่คือหลักการคิดบำนาญในสมัยนั้น
ซึ่งทหารตำรวจที่ไปชายแดนก็จะได้วันทวีคูณคือทำหนึ่งปีได้สองปี พอเกษียณ ก็จะเอามาบวก เช่น นาย ก.เงินเดือน50000 ทำงาน40 ปี และไปชายแดน15ปี ให้เอา15ปีมาบวกกับ40 ปี ก็จะกลายเป็นอายุราชการ55 ปี แต่หลักบำนาญให้คิดไม่เกิน50
ฉะนั้น นาย ก.ก็จะรับบำนาญ 50000เต็มเพราะไม่ต้องหารเลย
แต่พอปัจจุบัน มี กบข. การรับบำนาญเปลี่ยนไปคือ กพ.กำหนดว่า เงินเดือนสุดท้ายที่จะเอามาคิดบำนาญให้เอ่ามาถัวเฉลี่ยห้าปีสุดท้ายหรือ60เดือนสุดท้าย เช่น นาย ก. เงินเดือน 50000 บาท แต่เอามาถัวเฉลี่ยแล้ว ในห้าปีหลังเหลือ 45000
ให้เอา45000 ไปคูณปีรับราชการ ซึ่งให้สูงสุดไม่เกิน35ปี ไม่ว่าจะรับกี่ปีก็ตาม และหารด้วย50
นาย ก. ก็จะรับบำนาญ 31500 บาท ซึ่งจะเห็นว่าต่างกันค่อนข้างมากสำหรับผุ้ที่ีอายุราชการมากแต่ก็จะมีกองทุนต่างๆมาชดเชยซึ่งบางคนก็ไม่ต้องการและต้องการไปรับบำนาญแบบเก่า
และคนถามว่าทำงานไม่ถึง25ปีไม่ได้รับบำนาญจริงไหม ตอบได้เลยไม่จริง บำนาญมีการขอรับในการณีพิเศษอีก ถ้าเราได้บรรจุ กจ.(กองการเจ้าหน้าที่) จะเป็นคนอธิบายให้เราฟังเอง
และคำถามยอดฮิตที่มกจะถามว่า งานราชการรับอายุไม่เกินเท่าไร
ตอบว่าไม่มีจำกัด ที่จำกัดจะเป็นทหารตำรวจ ซะส่วนมาก อย่างข้าราชการพลเรือนนี้ ไม่จำกัดครับอย่างปลัดอำเภอ51 มีปลัดในตำนาน อายุ54 ได้บรรจุครั้งแรกครับ ก้ทำอีกหกปีก็เกษียณ
จะต่อเรื่องความก้าวหน้านะครับว่า ข้าราชการเป็นอย่างไรบ้างมีความก้าวหน้าจากอะไร
ขอตั้งกระทู้อธิบายและแนะนำเกี่ยวกับการสอบราชการนะครับ เผื่อมีคนสนใจจะสอบ
ซึ่งจริงๆงานราชการแบ่งเป็นหลายแบบ ในส่วนนี้ผมจะขออธิบายของข้าราชการ พลเรือนและส่วนท้องถิ่น ที่คนจะเข้าใจสับสน ว่าการบรรจุในสองแบบนี้ทำได้อย่างไรและต้องสอบอะไรบ้าง
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ต้องมี ภาค ก. ซึ่งข้าราชการพลเรือน ภาค ก. จะเป็น ของ กพ. ที่เราจะคุ้นเคยกันดี สมัยก่อนจะมีการสอบหน้าสนามใหญ่ของ กรมที่เปิดสอบ เช่น ปลัดอำเภอเปิดสอบปี 51 คนไม่มี ภาค ก. สอบตอนเช้า และตอนบ่าย สอบ ภาค ข.
ภาค ก. ของ กพ. จะใช้ได้ตลอดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนเป็นอื่น ก็คือใช้ได้ตลอดชีวิตนั้นแหละสอบได้แล้วไม่ต้องไปสอบอีก ซึ่งการสอบจะแบ่งเป็น สี่ระดับ คือระดับ1วุฒิ ปวช. ระดับสอง วุฒิ ปวส. ระดับสาม วุฒิ ป.ตรี ระดับ สี่ วุฒิ ป.โท (ขออธิบายเป็นซีนะครับจะได้เข้าใจง่ายๆ)
ส่วน ภาค ก. ท้องถิ่นก็เคยทำแต่เป็นการให้จังหวัดเปิดสอบกันเอง เราก็คงจะเคยไ้ด้ยินว่า อบต. จังหวัดนี้เปิดสอบ ซึ่ง ภาค ก.นั้นในอดีตไม่ได้กำหนดว่ามีอายุกี่ปี แต่ประมาณปี 49 ท้องถิ่นเริ่มมี ภาค ก.ของตัวเอง เรียกว่า ภาค ก. ของ สถ. ตอนนั้นมีอายุสามปี ขอสอบจะไม่ยากเหมือน กพ. คนที่ไปสอบแล้วจะรู้ดี
ซึ่งข้อสอบทั้งสองอย่างนี้ จะใช้เกณฑ์ในการตัดสินคือ 60% พูดง่ายๆข้อสอบห้าข้อเราทำได้สามข้อก็ผ่านแล้ว
สอบ ภาค ก. จะไม่มีเส้นสายเท่าไรเพราะผ่านไปยังไม่มีการบรรจุ แต่มีภาค ก. ให้ถืออุ่นใจ ว่าเหลือสอบอีกสองก้าวเอง
แต่เดือนหน้าที่ ท้องถิ่นจะเปิดสอบรายจังหวัดจะให้มีการสอบ ภาค ก.และข.พร้อมกัน คือคนไม่มี ภาค ก.ท้องถิ่นก็สอบได้นะครับ
และจะใ้ห้เลือกรายภาคลงเลยเช่น ภาคเหนือมีสองโซนตอนบนและตอนล่างให้เราเลือกเอาเลยว่าอยากอยู่โซนไหน
พอได้ ภาค ก. มาถือแล้วปุ๊บ ก็คอยดูว่า กรมไหนเปิดสอบ ภาค ข.
เช่น กรมการปกครองประกาศรับสมัครปลัดอำเภอ โดยมีคุณสมบัติดังนี้
ต้องมี ภาค ก. ของ กพ. และต้องมีวุฒิ ปริญญาตรีของ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์
ถ้าเราีวุฒิดังนี้ก็สามารถสมัครได้ และจะมีข้อผิดพลาดคือ บางคนไม่ได้จบ ป.ตรี สามคณะนั้นสอบได้ไหม
ให้เรายึดถือประกาศไว้นะครับ เค้าบอกว่า ป.ตรีก็คือแค่ตรี แม้จะจบโทแต่ตรีไม่จบสามคณะก็สอบไม่ได้
ส่วนท้องถิ่นก็จะคล้ายๆกันในส่วนนี้
และพอถึง ภาค ค. ภาคที่คนกลัวกันเหลือเกิน เพราะคือการสัมภาษณ์ ที่กลัวไม่ได้กลัวคำถามแต่กลัวเส้น
ในส่วนของ กพ. นั้น จะมีช่องให้คะแนนซึ่งใครจะได้เต็มต้องแจงเหตุผล ซึ่งที่หนึ่งกับที่สุดท้ายคะแนนสัมภาษณ์ ไม่น่าต่างกันเกินสิบคะแนน
คะแนนจะไปตัดสินกันที่ภาค ข. เพราะคะแนนสอบตั้ง 200 คะแนน
ฉะนั้นเมือสอบเสร็จ ภาค ข. ถ้าเราไม่สบายใจกลัวมีปัญหา ให้รีบทำเรื่องขอดูคะแนนสอบที่กรมเราเปิดสอบ ภายใน 15 วันหลังจากที่สอบ
พอสอบสามภาคแล้วก็ถึงนาทีระทึกใจคือ รอวันประกาศผล ซึ่งจะมีการขึ้นบัญชี ไว้ตามจำนวนผู้ที่สอบผ่านข้อเขียน ภาค ข.และสัมภาษณ์ ภาค ค. และรอเรียกตามลำดับที่สอบได้โดยไม่มีการข้ามลำดับ ยกเว้น เช้นกรมการปกครองทำประจำคือ สมัครใจลงสามจังหวัดชายแดนใต้ อาจจะให้ลำดับหลังที่มีความประสงค์จะลงได้บรรจุก่อน
และถามว่าจะเรียกหมดไหมหลังจากขึ้นบัญชี บอกไ้ด้เลยส่วนมากไม่หมด วิธีแก้ก็คือหาสนามสอบใหม่
อย่างเช่น สนาม ศุลกากร ปี 51 คนสอบประมาณแสนเจ็ด ผ่านข้อเขียนประมาณไม่ถึงห้าร้อย แต่เรียกไม่หมดบัญชี
ปลัดปี51 คนสอบ 79000 ขึ้นบัญชี1500 เรียกจริงไ่ม่ถึง900
ส่วนเรื่องของบำนาญที่มีคนถามกันตลอดและมีคนตอบตรงบ้างไม่ตรงบ้าง
ตอบคือ มีอยู่ครับ
แต่อตนนี้คนอาจจะไปสับสนกับ กบข. ซึ่ง ล่าสุดก็จะมีมติว่าใครอยากออกไปรับบำนาญเหมือนเก่าก็ทำได้แต่ต้องรับราชการก่อนปี 40
ขออธิบายเรื่องบำนาญให้เข้าใจนะครับ
สมัยก่อนบำนาญ คือ เอาเงินเดือนสุดท้าย มาคูณปีรับราชการและหารด้วย50
เช่น นาย ก. เงินเดือนสุดท้าย 50000 รับราชการ 40 ปี หารด้วย50 นายก็ก็จะรับบำนาญ40000 บาท จนกว่าจะตาย และพอตาย นาย ก.ก็จะรับเงินบำนาญ และคูณด้วย 33 เท่า ก็จะได้ประมาณ 1320000 บาท นี่คือหลักการคิดบำนาญในสมัยนั้น
ซึ่งทหารตำรวจที่ไปชายแดนก็จะได้วันทวีคูณคือทำหนึ่งปีได้สองปี พอเกษียณ ก็จะเอามาบวก เช่น นาย ก.เงินเดือน50000 ทำงาน40 ปี และไปชายแดน15ปี ให้เอา15ปีมาบวกกับ40 ปี ก็จะกลายเป็นอายุราชการ55 ปี แต่หลักบำนาญให้คิดไม่เกิน50
ฉะนั้น นาย ก.ก็จะรับบำนาญ 50000เต็มเพราะไม่ต้องหารเลย
แต่พอปัจจุบัน มี กบข. การรับบำนาญเปลี่ยนไปคือ กพ.กำหนดว่า เงินเดือนสุดท้ายที่จะเอามาคิดบำนาญให้เอ่ามาถัวเฉลี่ยห้าปีสุดท้ายหรือ60เดือนสุดท้าย เช่น นาย ก. เงินเดือน 50000 บาท แต่เอามาถัวเฉลี่ยแล้ว ในห้าปีหลังเหลือ 45000
ให้เอา45000 ไปคูณปีรับราชการ ซึ่งให้สูงสุดไม่เกิน35ปี ไม่ว่าจะรับกี่ปีก็ตาม และหารด้วย50
นาย ก. ก็จะรับบำนาญ 31500 บาท ซึ่งจะเห็นว่าต่างกันค่อนข้างมากสำหรับผุ้ที่ีอายุราชการมากแต่ก็จะมีกองทุนต่างๆมาชดเชยซึ่งบางคนก็ไม่ต้องการและต้องการไปรับบำนาญแบบเก่า
และคนถามว่าทำงานไม่ถึง25ปีไม่ได้รับบำนาญจริงไหม ตอบได้เลยไม่จริง บำนาญมีการขอรับในการณีพิเศษอีก ถ้าเราได้บรรจุ กจ.(กองการเจ้าหน้าที่) จะเป็นคนอธิบายให้เราฟังเอง
และคำถามยอดฮิตที่มกจะถามว่า งานราชการรับอายุไม่เกินเท่าไร
ตอบว่าไม่มีจำกัด ที่จำกัดจะเป็นทหารตำรวจ ซะส่วนมาก อย่างข้าราชการพลเรือนนี้ ไม่จำกัดครับอย่างปลัดอำเภอ51 มีปลัดในตำนาน อายุ54 ได้บรรจุครั้งแรกครับ ก้ทำอีกหกปีก็เกษียณ
จะต่อเรื่องความก้าวหน้านะครับว่า ข้าราชการเป็นอย่างไรบ้างมีความก้าวหน้าจากอะไร