ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อวานกลับมาดูตั้งแต่ต้นไม่ทัน เพิ่งได้ดูย้อนค่ะ
1. ตัด
องค์อาหเม็ดเสียงอ่อนโยนแต่จริงจัง “ผู้หญิงคนนี้ คนที่เดินทางจากเกซาห์มาถึงฮิลฟาราในฤกษ์ดีที่ตามคำทำนายจะมีลูกชาย 6 คน...ใช่หรือไม่...ถึงแม้ว่าพ่อของเด็กชาย 6 คนนั้นจะไม่ใช่เรา แต่เป็นญาติสนิทของเรา…ชารีฟ เรายินดีกับเขาอย่างจริงใจ”
“ข้าพระองค์ขอไปบอกเรื่องนี้ให้พันเอกชารีฟทราบก่อนพระเจ้าค่ะ”
2. ตัด
"ลือกันว่าไม่แต่งงานแต่เป็นสามีภรรยากันตั้งแต่อยู่ทะเลทราย”
3. แทนเสียง (ฉากที่มิเชลไปเข้าเฝ้งองค์อาเหม็ดเพื่อรับเข้าศาสนา)
เพิ่ม "หลังจากนี้จะมีการฉลองสมรส" แทน "เราคาดว่าจะมีพิธีสมรสที่โอ่อ่าที่สุดในรอบสิบปี"
เพิ่ม "เราจะมีงานฉลองที่ว่านี้ หลังจากที่เรายึดอำนาจจากโอมาน ไอ้คนทรยศ"
แทน “คงอีกไม่นานที่เราจะทำพิธีสมรสที่ว่านี้ หลังจากที่เรายึดอำนาจของเรากลับคืนมาจากโอมาน คนทรยศ”
4. ตัด
"ทรงเสน่ห์ หม่อมฉันคิดว่าชารีฟจะทนแม่คนนี้ยั่วยวนไม่ไหวมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
5. แทนเสียง (ฉากองค์อาเหม็ดคุยกับอับดุลลา)
เพิ่ม "ในวันฉลองแต่งงาน" แทน "ในวันแต่งงาน”
6. ตัด
"น้ำมันที่อัลเลาะห์ประทานมาให้เรา อย่าหวังว่าใครจะขุดไปง่ายๆ”
7. ตัด
“ชารีฟ” มิเชลล์พึมพำเบาๆ “ฉันเป็นห่วงท่าน ระวังตัวด้วย”
ชารีฟฝึกเสร็จแล้ว เดินเช็ดเหงื่อมากับพวกทหารที่ประลองกำลังด้วยกัน 2-3 คน มิเชลล์จ้องมองอย่างลืมตัว ชารีฟเดินเข้ามากับทหาร ตรงมาที่ลำธาร
“เฮ้ย...นั่นนางทาสต่ำทรามยืนดูอะไรนั่น” ทหาร 1 ใน นั้นเอะอะ
มิเชลล์สะดุ้งแล้วถอยหลัง 3-4 ก้าว สะดุดขาตัวเองล้มลง
“นางคนนี้ บังอาจนัก เป็นทาสมีหน้าที่ตักน้ำใยมาเดินเก้กังอยู่ตรงนี้ มีแผนอะไรรึเปล่า”
ทหารคนนี้พูดเสียงดังฟังชัด พูดพลางเดินพรวดๆ เข้ามา มิเชลล์ลนลาน หันหลังตะกายตัวหนี
ทหารตะโกน “เฮ้ย หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าขยับนะ”
ชารีฟปราม “ช่างเถอะเจ้า นางอาจอยากดูเราต่อสู้กันก็ได้”
มิเชลล์พยักหน้าซ้อนๆ กันหลายที ก้มหน้าลงเกือบถึงพื้นทราย
“ก็นั่นแหละท่าน มันอยากดู ก็ต้องดูไกลๆ อะไรทะเล่อทะล่าเข้ามาดูถึงนี้” ทหารคนเดิมบ่น
มิเชลล์ลุกขึ้นจะไป หันไปดูชารีฟที่ยืนมองมาอย่างปราณี ใจเต้นแรงอยากเข้าไปหาเหลือเกิน
“ลุกขึ้นแล้วกลับไปตักน้ำเสียให้เสร็จ มิฉะนั้นเจ้าอาจจะโดนลงโทษ”
มิเชลล์รีบไปทันที ตะเกียกตะกายไปตามกองทราย ลุกยังไม่ขึ้น
“ไปเร็วๆ” ทหารคนนั้นตะคอกอีก
มิเชลล์ล้มลงไปอีกด้วยความตกใจ จังหวะนี้มือชารีฟเอื้อมมาจับแขนมิเชลล์ให้ลุกขึ้น
มิเชลล์ใจวาบหวาม กลั้นน้ำตา อยู่ใกล้จนเอื้อมถึงแล้ว แต่ยังไม่สามารถรู้กันได้
ชารีฟไม่ได้สงสัยอะไรเลย ปล่อยมือเมื่อมิเชลล์ยืนได้แล้ว พูดเบาๆ ว่า “รีบไปเสีย”
แล้วตัวเองหันไปพยักหน้ากับทหาร เดินต่อไปทางลำธาร มิเชลล์ยืนใจสั่นสะท้านแทบจะทะลักออกมานอกทรวงอก
แล้วฉับพลันก็เดินรวดเร็วไปที่ลำธาร ชารีฟแยกกับครูฝึก เดินย้อนไปทางต้นน้ำ
8. ตัด
ที่ตลาดแห่งหนึ่งในฮิลฟารา ผู้คนกำลังซื้อของ ขายของ เป็นที่อลหม่านไปหมด นายพลอิมรอนเดินเข้ามาในตลาดนั้น สีหน้าเครียดจัดมาก มีทหารสองคนยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางคมเข้ม เครียดจัดเช่นกัน
ทหารคนที่ 1 พูดโดยไม่มองหน้าอิมรอน “จะให้ทำอย่างไรท่านนายพล”
ทหารคนที่ 2 เสริม “หลู่เกียรติกันขนาดนี้ ปลงพระชนม์เสียเถิดท่านนายพล”
หัวคิ้วนายพลอิมรอนขมวดเข้าหากัน แล้วค่อยๆ คลายลง “จะต้องทำเองทำไม ขอยืมมือคนอื่นทำไม่ดีกว่ารึ”
ทหารคนที่ 1 งง “ยืมมือใครหรือท่านนายพล”
นายพลอิมรอนเดินเนิบๆ อยู่กลางตลาด ทำท่าเหมือนมาซื้อของ ทหารสองคนตาม ชาวบ้านหลีกทางบ้าง ซาลามบ้าง
“ดูอินทผลัมพวกนี้สิ ลูกใหญ่ลูกโตดีจริง” นายพลอิมรอนหยิบอินทผลัมขึ้นมาหลายๆ ลูก “เราจะซื้อไปฝากเมียเรา” พลางหันมาทางทหารคนสนิท “ราชองครักษ์ชารีฟ ยังไม่ตาย เวลานี้อยู่ที่หมู่บ้านอานาอิซา” แล้วหันไปอีกทางพูดเสียงดังขึ้น “ไปทางโน้นเถอะ นั่นผ้าแพรพรรณพวกนั้นเราจะซื้อไปฝากเมียเรา”
พ่อค้าอินทผลัมตะโกนตาม ไม่เอาเหรอ อินทผลัมสดๆ ไม่เอาเหรอ
ครู่ต่อมานายพลอิมรอนเดินนำไปที่แผงผ้าแพรพรรณ “เจ้าว่าเมียข้าจะชอบผืนไหน” แล้วลดเสียงลง “คนที่อยากให้กษัตริย์โอมานตายมากที่สุด...” นายพลอิมรอนมองหน้า สองลูกน้อง
“สุลต่าน” ทหารคนที่ 1 กระซิบ
“ถูกต้อง แต่สุลต่านจะทำเองหรือไม่”
“ไม่มีวัน คนที่โดนใช้ให้ทำคือ พันเอกชารีฟ” ทหารคนที่ 1 บอก
9. ตัด
ข่าวชิ้นดังกล่าวถูกส่งมาถึงอานาอิซา อย่างรวดเร็ว เวลานั้นทหารลาดตระเวน เดินแกมวิ่งมาแต่ไกล หน้าตาตื่นเต้นมาก มุ่งตรงมาหานายพลมุสกัตที่กำลังเจรจากับทหารสี่ห้าคน อยู่ตรงมุมหนึ่งของกลุ่มกระโจม
ทหารลาดตะเวนมาถึง ทำความเคารพ ท่าทียังตื่นเต้นอยู่ นายพลมุสกัตเหลียวมามอง
“ท่านนายพล”
“ตื่นเต้นอะไรจะปานนั้น มีอะไรพูดไป”
“มีข่าว...ข่าว เอ้อ...”
“เออ ข่าวร้ายหรือข่าวดี”
“ข้าวร้าย... ที่เป็น...เป็น...”
นายพลมุสกัตเริ่มดูออก “เจ้าติดอ่างเหรอเนี่ย”
ทหารลาดตระเวน พยักหน้าซ้อนๆ กัน “ใช่...ใช่ครับ”
“ใครเอาทหารติดอ่างมาเป็นพลลาดตระเวนวะ ที่จริงติดอ่างก็เป็นทหารไม่ได้อยู่แล้ว” นายพลมุสกัตชักหงุดหงิด
ทหารลาดตระเวนท้วง “เป็น...เป็นทหาร ไม่...ไม่ต้องพูด...เอ้อ...พูดมาก
“เออ…เข้าใจ เป็นทหารไม่ต้องพูด…แค่รบเป็น เอ้า ก็ได้ ข่าวร้ายที่เป็นอะไร ที่เจ้าจะพูด”
“เป็น...ข่าวดีครับ” ทหารลาดตระเวนบอก
“งั้นรึ ยาวมั้ย ถ้ายาวให้เพื่อนเจ้ามาพูดบอกข้าดีกว่า”
ทหารลาดตระเวน คนที่ 1 ร้อง “ครับผม” ด้วยท่าทีเข้มแข็งสุดๆ แล้วหันหลังวิ่งโกยอ้าวไป
นายพลมุสกัตมองขำๆ “อ้าว...ท่าน” แล้วเห็นชารีฟเดินเดินมาถึง
“เสียงเอะอะ มีอะไรกัน”
ทหารลาดตระเวนคนที่ 1 วิ่งนำทหารคนที่ 2 กลับมาถึง 2 คนทำความเคารพ
“มาแล้วหรือ เอ้า ว่าไป เจ้าคนนี้เขาบอกว่ามีข่าวร้ายที่กลายเป็นข่าวดี อะไรหรือเจ้า” นายพลมุสกัตถาม
ทหารลาดตระเวน คนที่ 1 ทำท่าจะอ้าปากตอบ
นายพลมุสกัตร้องบอก “หยุด”
ทหารลาดตระเวน 1 ตกใจ ทำท่าน่าขำมาก หุบปากดังหมับ แล้วพึมพำ “ละ ละ ลืม” ก่อนจะถอยไปดันตัวให้เพื่อนทหารลาดตระเวนคนที่ 2 ขึ้นหน้าไป
10. ตัด
ชารีฟพรวดไปดักข้างหน้า ลงนั่งราบกับพื้น ซาลามต่ำหน้าโขกกับพื้น ทว่าองค์อาหเม็ดเดินหลีกไปอย่างเลือดเย็น
ชารีฟ มองตาม แววตาผิดหวังเหลือเกิน
11. ตัด
“ข้าพเจ้า…การิมได้รับคำสั่งให้ร่วมงานยิ่งใหญ่ที่สำคัญยิ่งและที่เป็นความลับสุดยอดกับท่านราชองครักษ์ ข้าพเจ้าภูมิใจและเป็นเกียรติที่สุดแม้ว่าจะถึงตายก็ยอม” การิมบอกด้วยเสียงเข้มแข็ง เป็นทางการ
ชารีฟเดินมาจับแขน “ลุกขึ้น เราบอกมไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
สองคนกอดกันอย่างตื้นตันใจ
“เราภาวนาตลอดเวลาให้เจ้ารอดตาย รวมทั้งทหารอีกสองคน ที่เราให้ไปบ้านบิดาเราด้วย”
“ผมก็หวังเช่นนั้นครับท่านราชองครักษ์” การิมเปลี่ยนสรรพนามจากข้าพเจ้าเป็นผม
------
“ทหารกอง....” การิมหัวเราะเหมือนกัน “ไม่เคยจำชื่อกองทหารนั่นได้เลย ชื่อยาวๆ น่ะครับ”
“กองรักษาการณ์ ลาดตระเวน สอดแนม อะไรทำนองนี้”
“ครับ กองนั่นน่ะครับ มีทหารมาจากทุกทิศทุกทาง มั่วไปหมด ไม่มีใครรู้ระเบียบวินัยของทหารซักคน ลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว”
“ก็นั่นแหละที่โอมานต้องการ รู้จักฆ่าคนเท่านั้น”
สองคนลงนั่ง สีหน้าบ่งบอกทั้งเสียใจและเศร้าใจ
----
การิมมองชารีฟด้วยสายตาซื่อสัตย์มั่นคงดังเดิม เสียงสั่นด้วยความสะเทือนใจ “ผมภาวนา ขอให้พระอัลเลาะห์บันดาลให้ผมไปทางเดียวกับท่าน ผมรู้ว่าท่านต้องหาทางออกจากเมืองจนได้”
ขอบคุณเรื่องย่อจาก ผู้จัดการออนไลน์ค่ะ
ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 8 ฉากที่เพิ่มและตัด (ย้อนหลัง)
1. ตัด
องค์อาหเม็ดเสียงอ่อนโยนแต่จริงจัง “ผู้หญิงคนนี้ คนที่เดินทางจากเกซาห์มาถึงฮิลฟาราในฤกษ์ดีที่ตามคำทำนายจะมีลูกชาย 6 คน...ใช่หรือไม่...ถึงแม้ว่าพ่อของเด็กชาย 6 คนนั้นจะไม่ใช่เรา แต่เป็นญาติสนิทของเรา…ชารีฟ เรายินดีกับเขาอย่างจริงใจ”
“ข้าพระองค์ขอไปบอกเรื่องนี้ให้พันเอกชารีฟทราบก่อนพระเจ้าค่ะ”
2. ตัด
"ลือกันว่าไม่แต่งงานแต่เป็นสามีภรรยากันตั้งแต่อยู่ทะเลทราย”
3. แทนเสียง (ฉากที่มิเชลไปเข้าเฝ้งองค์อาเหม็ดเพื่อรับเข้าศาสนา)
เพิ่ม "หลังจากนี้จะมีการฉลองสมรส" แทน "เราคาดว่าจะมีพิธีสมรสที่โอ่อ่าที่สุดในรอบสิบปี"
เพิ่ม "เราจะมีงานฉลองที่ว่านี้ หลังจากที่เรายึดอำนาจจากโอมาน ไอ้คนทรยศ"
แทน “คงอีกไม่นานที่เราจะทำพิธีสมรสที่ว่านี้ หลังจากที่เรายึดอำนาจของเรากลับคืนมาจากโอมาน คนทรยศ”
4. ตัด
"ทรงเสน่ห์ หม่อมฉันคิดว่าชารีฟจะทนแม่คนนี้ยั่วยวนไม่ไหวมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
5. แทนเสียง (ฉากองค์อาเหม็ดคุยกับอับดุลลา)
เพิ่ม "ในวัน
ฉลองแต่งงาน" แทน "ในวันแต่งงาน”6. ตัด
"น้ำมันที่อัลเลาะห์ประทานมาให้เรา อย่าหวังว่าใครจะขุดไปง่ายๆ”
7. ตัด
“ชารีฟ” มิเชลล์พึมพำเบาๆ “ฉันเป็นห่วงท่าน ระวังตัวด้วย”
ชารีฟฝึกเสร็จแล้ว เดินเช็ดเหงื่อมากับพวกทหารที่ประลองกำลังด้วยกัน 2-3 คน มิเชลล์จ้องมองอย่างลืมตัว ชารีฟเดินเข้ามากับทหาร ตรงมาที่ลำธาร
“เฮ้ย...นั่นนางทาสต่ำทรามยืนดูอะไรนั่น” ทหาร 1 ใน นั้นเอะอะ
มิเชลล์สะดุ้งแล้วถอยหลัง 3-4 ก้าว สะดุดขาตัวเองล้มลง
“นางคนนี้ บังอาจนัก เป็นทาสมีหน้าที่ตักน้ำใยมาเดินเก้กังอยู่ตรงนี้ มีแผนอะไรรึเปล่า”
ทหารคนนี้พูดเสียงดังฟังชัด พูดพลางเดินพรวดๆ เข้ามา มิเชลล์ลนลาน หันหลังตะกายตัวหนี
ทหารตะโกน “เฮ้ย หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าขยับนะ”
ชารีฟปราม “ช่างเถอะเจ้า นางอาจอยากดูเราต่อสู้กันก็ได้”
มิเชลล์พยักหน้าซ้อนๆ กันหลายที ก้มหน้าลงเกือบถึงพื้นทราย
“ก็นั่นแหละท่าน มันอยากดู ก็ต้องดูไกลๆ อะไรทะเล่อทะล่าเข้ามาดูถึงนี้” ทหารคนเดิมบ่น
มิเชลล์ลุกขึ้นจะไป หันไปดูชารีฟที่ยืนมองมาอย่างปราณี ใจเต้นแรงอยากเข้าไปหาเหลือเกิน
“ลุกขึ้นแล้วกลับไปตักน้ำเสียให้เสร็จ มิฉะนั้นเจ้าอาจจะโดนลงโทษ”
มิเชลล์รีบไปทันที ตะเกียกตะกายไปตามกองทราย ลุกยังไม่ขึ้น
“ไปเร็วๆ” ทหารคนนั้นตะคอกอีก
มิเชลล์ล้มลงไปอีกด้วยความตกใจ จังหวะนี้มือชารีฟเอื้อมมาจับแขนมิเชลล์ให้ลุกขึ้น
มิเชลล์ใจวาบหวาม กลั้นน้ำตา อยู่ใกล้จนเอื้อมถึงแล้ว แต่ยังไม่สามารถรู้กันได้
ชารีฟไม่ได้สงสัยอะไรเลย ปล่อยมือเมื่อมิเชลล์ยืนได้แล้ว พูดเบาๆ ว่า “รีบไปเสีย”
แล้วตัวเองหันไปพยักหน้ากับทหาร เดินต่อไปทางลำธาร มิเชลล์ยืนใจสั่นสะท้านแทบจะทะลักออกมานอกทรวงอก
แล้วฉับพลันก็เดินรวดเร็วไปที่ลำธาร ชารีฟแยกกับครูฝึก เดินย้อนไปทางต้นน้ำ
8. ตัด
ที่ตลาดแห่งหนึ่งในฮิลฟารา ผู้คนกำลังซื้อของ ขายของ เป็นที่อลหม่านไปหมด นายพลอิมรอนเดินเข้ามาในตลาดนั้น สีหน้าเครียดจัดมาก มีทหารสองคนยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางคมเข้ม เครียดจัดเช่นกัน
ทหารคนที่ 1 พูดโดยไม่มองหน้าอิมรอน “จะให้ทำอย่างไรท่านนายพล”
ทหารคนที่ 2 เสริม “หลู่เกียรติกันขนาดนี้ ปลงพระชนม์เสียเถิดท่านนายพล”
หัวคิ้วนายพลอิมรอนขมวดเข้าหากัน แล้วค่อยๆ คลายลง “จะต้องทำเองทำไม ขอยืมมือคนอื่นทำไม่ดีกว่ารึ”
ทหารคนที่ 1 งง “ยืมมือใครหรือท่านนายพล”
นายพลอิมรอนเดินเนิบๆ อยู่กลางตลาด ทำท่าเหมือนมาซื้อของ ทหารสองคนตาม ชาวบ้านหลีกทางบ้าง ซาลามบ้าง
“ดูอินทผลัมพวกนี้สิ ลูกใหญ่ลูกโตดีจริง” นายพลอิมรอนหยิบอินทผลัมขึ้นมาหลายๆ ลูก “เราจะซื้อไปฝากเมียเรา” พลางหันมาทางทหารคนสนิท “ราชองครักษ์ชารีฟ ยังไม่ตาย เวลานี้อยู่ที่หมู่บ้านอานาอิซา” แล้วหันไปอีกทางพูดเสียงดังขึ้น “ไปทางโน้นเถอะ นั่นผ้าแพรพรรณพวกนั้นเราจะซื้อไปฝากเมียเรา”
พ่อค้าอินทผลัมตะโกนตาม ไม่เอาเหรอ อินทผลัมสดๆ ไม่เอาเหรอ
ครู่ต่อมานายพลอิมรอนเดินนำไปที่แผงผ้าแพรพรรณ “เจ้าว่าเมียข้าจะชอบผืนไหน” แล้วลดเสียงลง “คนที่อยากให้กษัตริย์โอมานตายมากที่สุด...” นายพลอิมรอนมองหน้า สองลูกน้อง
“สุลต่าน” ทหารคนที่ 1 กระซิบ
“ถูกต้อง แต่สุลต่านจะทำเองหรือไม่”
“ไม่มีวัน คนที่โดนใช้ให้ทำคือ พันเอกชารีฟ” ทหารคนที่ 1 บอก
9. ตัด
ข่าวชิ้นดังกล่าวถูกส่งมาถึงอานาอิซา อย่างรวดเร็ว เวลานั้นทหารลาดตระเวน เดินแกมวิ่งมาแต่ไกล หน้าตาตื่นเต้นมาก มุ่งตรงมาหานายพลมุสกัตที่กำลังเจรจากับทหารสี่ห้าคน อยู่ตรงมุมหนึ่งของกลุ่มกระโจม
ทหารลาดตะเวนมาถึง ทำความเคารพ ท่าทียังตื่นเต้นอยู่ นายพลมุสกัตเหลียวมามอง
“ท่านนายพล”
“ตื่นเต้นอะไรจะปานนั้น มีอะไรพูดไป”
“มีข่าว...ข่าว เอ้อ...”
“เออ ข่าวร้ายหรือข่าวดี”
“ข้าวร้าย... ที่เป็น...เป็น...”
นายพลมุสกัตเริ่มดูออก “เจ้าติดอ่างเหรอเนี่ย”
ทหารลาดตระเวน พยักหน้าซ้อนๆ กัน “ใช่...ใช่ครับ”
“ใครเอาทหารติดอ่างมาเป็นพลลาดตระเวนวะ ที่จริงติดอ่างก็เป็นทหารไม่ได้อยู่แล้ว” นายพลมุสกัตชักหงุดหงิด
ทหารลาดตระเวนท้วง “เป็น...เป็นทหาร ไม่...ไม่ต้องพูด...เอ้อ...พูดมาก
“เออ…เข้าใจ เป็นทหารไม่ต้องพูด…แค่รบเป็น เอ้า ก็ได้ ข่าวร้ายที่เป็นอะไร ที่เจ้าจะพูด”
“เป็น...ข่าวดีครับ” ทหารลาดตระเวนบอก
“งั้นรึ ยาวมั้ย ถ้ายาวให้เพื่อนเจ้ามาพูดบอกข้าดีกว่า”
ทหารลาดตระเวน คนที่ 1 ร้อง “ครับผม” ด้วยท่าทีเข้มแข็งสุดๆ แล้วหันหลังวิ่งโกยอ้าวไป
นายพลมุสกัตมองขำๆ “อ้าว...ท่าน” แล้วเห็นชารีฟเดินเดินมาถึง
“เสียงเอะอะ มีอะไรกัน”
ทหารลาดตระเวนคนที่ 1 วิ่งนำทหารคนที่ 2 กลับมาถึง 2 คนทำความเคารพ
“มาแล้วหรือ เอ้า ว่าไป เจ้าคนนี้เขาบอกว่ามีข่าวร้ายที่กลายเป็นข่าวดี อะไรหรือเจ้า” นายพลมุสกัตถาม
ทหารลาดตระเวน คนที่ 1 ทำท่าจะอ้าปากตอบ
นายพลมุสกัตร้องบอก “หยุด”
ทหารลาดตระเวน 1 ตกใจ ทำท่าน่าขำมาก หุบปากดังหมับ แล้วพึมพำ “ละ ละ ลืม” ก่อนจะถอยไปดันตัวให้เพื่อนทหารลาดตระเวนคนที่ 2 ขึ้นหน้าไป
10. ตัด
ชารีฟพรวดไปดักข้างหน้า ลงนั่งราบกับพื้น ซาลามต่ำหน้าโขกกับพื้น ทว่าองค์อาหเม็ดเดินหลีกไปอย่างเลือดเย็น
ชารีฟ มองตาม แววตาผิดหวังเหลือเกิน
11. ตัด
“ข้าพเจ้า…การิมได้รับคำสั่งให้ร่วมงานยิ่งใหญ่ที่สำคัญยิ่งและที่เป็นความลับสุดยอดกับท่านราชองครักษ์ ข้าพเจ้าภูมิใจและเป็นเกียรติที่สุดแม้ว่าจะถึงตายก็ยอม” การิมบอกด้วยเสียงเข้มแข็ง เป็นทางการ
ชารีฟเดินมาจับแขน “ลุกขึ้น เราบอกมไม่ถูกว่าดีใจแค่ไหนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”
สองคนกอดกันอย่างตื้นตันใจ
“เราภาวนาตลอดเวลาให้เจ้ารอดตาย รวมทั้งทหารอีกสองคน ที่เราให้ไปบ้านบิดาเราด้วย”
“ผมก็หวังเช่นนั้นครับท่านราชองครักษ์” การิมเปลี่ยนสรรพนามจากข้าพเจ้าเป็นผม
------
“ทหารกอง....” การิมหัวเราะเหมือนกัน “ไม่เคยจำชื่อกองทหารนั่นได้เลย ชื่อยาวๆ น่ะครับ”
“กองรักษาการณ์ ลาดตระเวน สอดแนม อะไรทำนองนี้”
“ครับ กองนั่นน่ะครับ มีทหารมาจากทุกทิศทุกทาง มั่วไปหมด ไม่มีใครรู้ระเบียบวินัยของทหารซักคน ลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว”
“ก็นั่นแหละที่โอมานต้องการ รู้จักฆ่าคนเท่านั้น”
สองคนลงนั่ง สีหน้าบ่งบอกทั้งเสียใจและเศร้าใจ
----
การิมมองชารีฟด้วยสายตาซื่อสัตย์มั่นคงดังเดิม เสียงสั่นด้วยความสะเทือนใจ “ผมภาวนา ขอให้พระอัลเลาะห์บันดาลให้ผมไปทางเดียวกับท่าน ผมรู้ว่าท่านต้องหาทางออกจากเมืองจนได้”
ขอบคุณเรื่องย่อจาก ผู้จัดการออนไลน์ค่ะ