"ชีวิตแสนสั้น" ... (ทุกข์ไม่ไป หรือเราไม่ปล่อย : ท่าน ว.วชิรเมธี)

กระทู้สนทนา




รู้ไหมว่า มนุษย์เรามีเวลาอยู่บนโลกนี้คนละกี่ปี



พระพุทธองค์ทรงอุปมาเปรียบช่วงแห่งการมีชีวิตของมนุษย์ไว้หลายประการ อาทิ

"ชีวิตนี้สั้นดังหนึ่งน้ำค้างที่หยาดหยดลงบนยอดหญ้า" หากอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร พรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมา ลองลุกออกไปเดินนอกบ้าน เราก็จะเห็นน้ำค้างใสพราวอยู่บนยอดหญ้า แต่พอเดินวกกลับมา น้ำค้างบนยอดหญ้าก็เหือดหายไปเรียบร้อย เช่นเดียวกับชีวิตของมนุษย์ทุกคนที่แสนสั้น ชั่วครั้งชั่วคราวดั่งน้ำค้าง

"ชีวิตนั้นสั้นเหมือนฟูมฟองของหยดน้ำ ซึ่งเดือดปุด ๆ ขึ้นมาในหม้อ แล้วก็จางหายไป" คำอุปมานี้ พระพุทธองค์ทรงเปรียบชีวิตมนุษย์กับกาต้มน้ำร้อน ก่อนที่น้ำจะเดือดถึงร้อยองศา เราจะสังเกตเห็นฟองน้ำเดือดปุด ๆ ขึ้นมา ฟองน้ำเหล่านั้นทุกฟอง เดือดแล้วก็แตก เดือดแล้วก็แตก ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนั้น เกิดมาแล้วก็แตกดับไป

"ชีวิตนั้นสั้นและไม่มีตัวตนเหมือนกับพยับแดด" ใครที่ขับรถไปตามถนนในช่วงเวลากลางวันที่แดดเปรี้ยง ๆ คงจะเคยเห็นผิวถนนที่เต็มไปด้วยพยับแดดเต้นเร่าวับวามระยิบระยับ แต่พอขับรถเข้าไปใกล้ ๆ กลับพบว่า พยับแดดเหล่านั้นอันตรธานหายไป ไม่มีตัวตนแล้ว ชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนั้น เปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งกว่าพยับแดดหาตัวตนไม่ได้

"ชีวิตนี้สั้นดังหนึ่งหยดน้ำที่หยาดหยดลงบนใบบัวใบบอน" พระพุทธองค์ทรงเปรียบชีวิตคนเราแสนสั้นดังหยดน้ำที่อยู่บนใบบัว ทันทีที่หยดน้ำหยดลงบนใบบัวหรือใบบอน มันจะไม่ได้ค้างเติ่งอยู่นิ่ง ๆ แต่จะกลิ้งไปมาและแตกดับหายไปกับตา



ทั้งหมดนี้เป็นความจริงของชีวิต เมื่อมีเกิดก็ย่อมมีดับ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเรายังใช้เวลาอันแสนสั้นไปกับการหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง โดยลืมไปว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง คิดดูเถิดว่าเราจะขาดทุนขนาดไหน

คนจำนวนมากรู้ทั้งรู้ว่าชีวิตนั้นมีวันเวลาแสนสั้น แต่กลับไม่รู้จักวางแผนชีวิตให้ดี เอาวันเวลาทั้งหมดนั้นไปใช้อย่างเปล่าเปลืองกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ส่วนเรื่องที่ควรทำจริง ๆ กลับไม่ได้ทำ

บางคนไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านมากเกินไป บางคนยุ่งเรื่องของสังคมมากเกินไป บางคนก็ทำงานมากเกินไป บางคนเอาเวลาไปให้องค์กรมากเกินไป สุดท้ายสิ่งที่ตัวเองปรารถนาจะทำเพื่อชีวิตนี้ก็ไม่ได้ทำ เพราะเราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนอื่น เพื่อสิ่งอื่น จนหลงลืมความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเอง




ครั้งหนึ่งผู้เขียนเคยไปแสดงธรรมเทศนา แล้วมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมากราบแลถามว่า "ขอโทษนะครับ ปีนี้พระอาจารย์อายุเท่าไหร่"

ผู้เขียนบอก "๓๖ ปี"

เขาบอก "ขอโทษนะครับ ตอนนี้พระอาจารย์ได้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสแล้วหรือยัง"

ผู้เขียนบอกว่า "ยัง ตอนนี้อาตมากำลังจะย้ายออกจากกรุงเทพฯ ไปอยู่วัดป่านะโยม"

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย "พระอาจารย์จะย้ายออกไปทำไมครับ อยู่ที่วัดใหญ่ในเมืองแบบตอนนี้ก็มีอนาคต อายุ ๓๖ ปี อีกไม่นานท่านก็มีโอกาสได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นพระราชาคณะแล้ว นี่ท่านจะย้ายออกไป ท่านกำลังคิดสั้น หมดโอกาสจะได้เป็นเจ้าคนนายคน อย่าย้ายนะครับ ผมขอร้อง อยู่ต่อไปเถอะครับ สติปัญญาอย่างพระอาจารย์ สูงสุดก็สมเด็จพระราชาคณะล่ะครับ"

ผู้เขียนไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้ม พอขึ้นรถ ผู้ใหญ่ท่านนั้นก็มากระซิบย้ำอีกว่า "พระอาจารย์คิดให้ดี ๆ นะครับ อย่าไปอยู่วัดป่าวิมุตตยาลัยต่างจังหวัดเลย ไม่มีอนาคตหรอก"



พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ชีวิตสั้นแว่บเดียวเหมือนสายฟ้าแลบ" ในวันฝนตก ฟ้าคะนอง พายุโหมกระหน่ำ หากเรามองขึ้นไปบนฟ้า เราจะเห็นสายฟ้าแลบแปลบปลาบ แผล็บเดียวก็หาย ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนั้น แผล็บเดียวก็จางหายดั่งสายฟ้าแลบ

เมื่อชีวิตแสนสั้นอย่างนั้น หากเรายังเอาวันเวลาแสนสั้นนี้ไปเที่ยวไล่ทำความต้องการของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่ความปรารถนาจากน้ำใสใจจริงของตัวเอง ถามว่า เราเกิดมาชาติหนึ่ง เสียดายชาติเกิดไหม

เกิดมาทั้งชีวิต เอาวันเวลาแสนสั้นนี้ไปเติมเต็มความปรารถนาของคนอื่น โดยที่ความฝันของตัวเองไม่ได้รับการเติมเต็มเช่นนี้ ผู้เขียนจึงบอกผู้ใหญ่ท่านนั้นไปว่า "โยมบอกว่าอาตมาควรจะเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส อาตมาควรจะเป็นพระราชาคณะหรือเจ้าคุณ อาตมาควรจะอยู่ในวัดใหญ่ที่กรุงเทพฯ เพื่อจะรอเป็นสมเด็จฯ นั่นเป็นความปรารถนาดีที่ไม่เคยถามตัวอาตมาเลย เหล่านั้นเป็นสิ่งที่โยมคิดว่า อาตมาควรจะเป็นทั้งนั้น มันเป็นความต้องการของโยม แต่ไม่ใช่ความต้องการของอาตมา"





ถามว่า ในชีวิตนี้ สิ่งที่ผู้เขียนต้องการคืออะไร คำตอบมีอยู่เพียง ๔ ข้อ คือ



๑. ต้องการพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับพำนัก ในชีวิตผู้เขียนไม่เคยคิดอยากจะเป็นเจ้าอาวาส ไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าคุณ ไม่เคยคิดอยากจะเป็นสมเด็จฯ แต่ผู้เขียนอยากเป็นแค่ผู้มีที่ซุกหัวนอนเป็นของตัวเองแม้เพียงพื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย แต่เป็นที่ที่เราบริหารจัดการได้ เราก็จะหลับอย่างเป็นสุขทุกค่ำคืน

๒. ต้องการทำงานที่รักจริง ๆ เพราะการที่คนเราได้ทำงานที่รักทุกวันนั้นถือเป็นความสุขของที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ความสุขของวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่ความสุขเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เมื่อวันทำงานกลายเป็นวันแห่งความสุข แม้ต้องทำงานทุกวันก็ไม่เกิดทุกข์ ไม่ต่างอะไรกับการที่ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ตัวเองรัก ทุกวันจะกลายเป็นวันที่เขามีความสุข เช่นเดียวกับความสุขของผู้เขียนเกิดขึ้นทุกวันที่ทำงาน เมื่อมีความสุขในการทำงาน เราก็สามารถนั่งลงทำงานนั้นอย่างประณีตบรรจงที่สุด งานทุกชิ้นจึงมีโอกาสกลายเป็นงานที่ดีเลิศ

๓. ต้องการเสรีภาพในการใช้ปัญญา มนุษย์ทุกคนต้องการเสรีภาพ คงไม่มีใครอยากเป็นนกน้อยที่สวยงามอยู่ในกรงทองแต่ไม่มีเสรีที่จะโบยบิน ผู้เขียนก็เช่นนั้น ต้องการเสรีภาพในการแสดงออกทางสติปัญญา จะได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มขีดความสามารถ อยากเขียนก็ขอให้ได้เขียน อยากเทศน์ก็ขอให้ได้เทศน์ อยากสอนก็ขอให้ได้สอน อยากแสดงออกก็ขอให้ได้แสดงออก อยากเดินทางท่องเที่ยวสำรวจไปทั่วโลกก็ขอให้ได้ทำอย่างที่ใจต้องการ ก็ขอให้ได้ท่องเที่ยว เสรีภาพคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ

๔. ต้องการมีสุขภาพที่ดี เพราะผู้เขียนเชื่อว่าถ้าตัวเรามีสุขภาพดีก็จะได้มีเวลาบำเพ็ญประโยชน์ และหว่านโปรยธรรมะให้แก่คนทั้งโลกตราบนานเท่านาน



นี่คือ ๔ เรื่องที่ผู้เขียนต้องการ และทุกวันนี้ก็ได้ครบหมดแล้วจึงทำให้ทุกวันนี้ผู้เขียนมีชีวิตที่มีความสุขมาก แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้เขียนต้องการเป็นเจ้าอาวาส แล้วเจ้าอาวาสคนเก่าก็ไม่มรณภาพเสียที กว่าจะได้เป็นก็แก่จนงอม ถามว่าทุกข์ไหม หรืออยากจะเป็นเจ้าแล้วไม่มีใครแต่งตั้งเสียที กว่าจะได้เป็นก็แก่หงักเช่นกัน ถามว่าทุกข์ไหม หรือตลอดชีวิตนี้ไม่ได้เป็นอะไร แป้กอยู่ที่เดิม ทุกข์ไหม



ผู้เขียนจึงตั้งปณิธานไว้ว่า ชีวิตนี้จะเป็นอย่างที่อยากจะเป็น และจะไม่เป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น เพราะถ้าเป็นอย่างที่คนอื่นอยากให้เป็น คงไม่ต่างอะไรกับชายหนุ่มที่แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่รัก ผู้เขียนคงไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต

...
...
...



ผู้เขียนเลือกที่จะเป็นพระเล็ก ๆ ที่มีเสรีภาพในดำรงชีวิต ได้ทำงานที่ตัวเองรัก คืองานเผยแพร่ธรรมะด้วยการเขียนหนังสือ ด้วยการเดินสายบรรยายธรรมไปทั่วโลก ดีกว่าจะเอาคอนี้ไปรับเอาแอกแห่งอำนาจราชศักดิ์ แล้วถูกจองจำอยู่ในขื่อคาโซ่ตรวนของยศช้างขุนนางพระ หรือตำแหน่งแห่งหนบรรดามีทั้งหมด



ชีวิตของเรา เราต้องออกแบบด้วยตัวเอง อย่าใช้ชีวิตตามที่สังคมคาดหวังอยากให้มี อยากให้เป็น จนสูญเสียอิสรภาพ แต่จงถามหัวใจตัวเองว่าเราอยากเป็นอะไร และมุ่งไปตามเส้นทางนั้น การเลือกที่จะเดินตามเสียงหัวใจตัวเองนี่แหละ ทำให้ทุกวันนี้ผู้เขียนมีชีวิตที่เรียกได้ว่ามีความสุขทุกวัน และเป็นความสุขที่ไม่ใช่ภาวะในอุดมคติ แต่เป็นความสุขที่เกิดขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ และจับต้องได้จริง โดยไม่ต้องรอที่จะมีความสุขต่อเมื่อได้เป็นเจ้าอาวาส ต่อเมื่อได้เป็นเจ้าคุณ หรือต่อเมื่อได้เป็นสมเด็จฯ


ท่ามกลางชีวิตที่แสนสั้นนี้ เคยถามตัวเองหรือยังว่า เราได้ทำสิ่งที่ต้องการแล้วหรือยัง




http://www.gotoknow.org/posts/544746
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่