ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง กระแสสังคมสมัยใหม่พัดไหลเชี่ยวทะลายกำแพงวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน หนังละคร เพลงสมัยนิยมหลั่งไหลเข้ามาอย่างไร้การควบคุม เจ้าอาวาสวัดเห็นว่าอย่างน้อยควรจะมีการแสดงที่เป็นศิลปวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าเข้ามาเสริมในงานวัดที่จัดเป็นประจำทุกปี
"ผมมีความคิดที่จะนำละครเชิดหุ่นกระบอกของคณะครูแม้นมาจัดแสดงในงานวัดประจำปีของเรา เพื่อเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของเราจริงๆ เพื่อให้อย่างน้อยที่สุด เด็กๆในบ้านเราจะได้รู้ว่าเราเคยมีอะไรบ้างที่เป็นของเรา ปีนี้ขอเป็นคณะหุ่นกระบอกก่อนแล้วปีหน้าค่อยว่ากัน” เจ้าอาวาสเสนอความคิดเห็น
"ผมก็ว่าดีนะท่าน งานวัดของเราไม่ได้นำเสนออะไรที่เป็นสาระมานานแล้ว มหรสพของเราจะตัดคอนเสิร์ตนักร้องออกไป เพื่อจะได้เอาเวลาและงบประมาณไปใช้กับคณะเชิดหุ่นกระบอก ว่าแต่ท่านติดต่อและแจ้งกำหนดการไปให้คณะหุ่นเชิดหรือยังครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้ครับท่าน" รองเจ้าอาวาสกล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้
_________________
หัวค่ำในงานวัดประจำปีวันแรก ร้านค้าตั้งเต็นท์เตรียมตัวขายของเหมือนเช่นทุกปี การละเล่นมากมายถูกจัดไว้ให้อยู่ในงาน ไฮไลท์ของงานทุกปีจะเป็นคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังมากมาย แต่ปีนี้วัดงดกิจกรรมคอนเสิร์ตโดยนำละครหุ่นมาแสดงแทน ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับแนวคิดของวัด เพราะวัดนี้เป็นที่นับถือของชาวบ้านและคณะหุ่นเชิดครูแม้นก็เป็นคณะที่มีชื่อเสียง ดีกรีความสนุกสนานคงไม่แพ้คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังสักเท่าไหร่นัก
โรงละครหุ่นกระบอกถูกจัดให้อยู่หน้าโบสถ์วัด ลักษณะเป็นเพิงไม้ไผ่ขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงของฉากโรงละครไม่สูงหากมองเลยข้ามไปจะเห็นพระพุทธรูปองค์พระประทานประจำโบสถ์ แสงไฟสะท้อนสะท้อนภาพพระพุทธรูปออกมาให้ผู้ชมที่นั่งระนาบตรงหน้าเวทีสามารถมองเห็นเป็นฉากหลังได้อย่างกลมกลืน
"เบื้องนั้นในแผ่นดินไกลโพ้น องค์ชายหนุ่มแห่งแคว้นเมืองเหนือ เสด็จหลบหนีออกจากเมือง เมื่อองค์ราชาผู้เป็นพระบิดาถูกวางยาพิษโดยพระอานุชาต่างพระมารดา หลังจากพิธีราชาภิเษกของพระองค์ราชาองค์ใหม่ แว่นแคว้นแผ่นดินเก่าลุกเป็นไฟ ไร้ที่ยืนให้องค์ชายหนุ่มผู้ที่ถูกคาดหวังให้ปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า ตอนนี้องค์ชายหนุ่มต้องระเห็จออกจากเมืองโดยเรือสำเภาพร้อมสหายคนสนิทซึ่งเป็นทหารเอก"
หุ่นกระบอกรูปองค์ชายยักย้ายไปมา ด้านหลังเป็นฉากเรือสำเภาวาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบผืนเก่า คนเชิดหุ่นหลบอยู่หลังฉากผ้าสีดำปิดหลัง
เสียงลุงแช่มคนเชิดหุ่นกระบอกดังกังวาน แม้จะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่น้ำเสียงยังไม่ตก เมื่อปี่พาทย์ขึ้น แกกลับกายเป็นคนมีชีวิตชีวา เล่าเรื่องตามบททันที
"สายน้ำเชี่ยวกราก องค์ชายหนุ่มเสด็จพร้อมพระสหายและผู้พายและบังคับหางเสืออีกสองคน อันว่าลำเรือนั้นเคยผ่านเจ็ดย่านน้ำ ลำเรือประณีต สลักเป็นรูปดอกบัว ด้วยองค์ชายนั้นเป็นนักเดินทางอีกทั้งยังเป็นนักกวีเอก บนลำเรือนั้นยังเต็มไปด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่มักทรงประพันธ์เมื่อยามออกเสด็จไปยังถิ่นแคว้นแดนไกล ยังมีเงินทองเครื่องใช้ของส่วนตัว"
"ตลอดทางองค์ชายทรงกลัดกลุ้มถึงความคาดหวังจากคนรอบข้างและชาวประชาให้ทวงคืนราชบัลลังก์โดยพลัน ทหารเอกคนสนิทรู้ดีว่าพระทัยของพระองค์นั้นไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นไปอย่างไรเป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ทหารเอกไม่เคยคิดที่จะเกลี้ยกล่อมองค์ชายเพื่อให้กอบกู้ราชบัลลังก์หากพระองค์ไม่ต้องการ"
"ใกล้จุดหมายเมืองคนป่าที่องค์ชายจะเสด็จมาลี้ภัย เนื่องด้วยเป็นเมืองที่เคยเสด็จมาและคุ้นเคยกับหัวหน้าเผ่า แต่ยังไม่ทันที่เรือสำเภาจะเข้าท่า ปืนใหญ่จากเรือรบดังและพุ่งทะยานหมายปลิดชีพคนที่อยู่บนเรือสำเภา โชคดีกระสุนพลาดไม่โดนเป้าหมาย แต่แรงคลื่นน้ำจากแรงกระสุนปืนใหญ่ยังแรงพอที่จะพลิกเรือสำเภาคว่ำ"
เด็กหลังเวทีจุดประทัดเสียงดังประกอบฉาก หลายคนสะดุ้ง บางคนหัวเราะชอบใจ
"ทหารจำนวนสามนายจากเรือรบพุ่งทะยานลงน้ำหมายปลิดชีพองค์ชายและลูกเรือ องค์ชายที่แม้จะพิสมัยเรื่องกาพย์กลอนและการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์จึงถูกฝึกฝนกลยุทธ์การต่อสู่ตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะเป็นเอกเรื่องศิลปะทางวรรณกรรม แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใครในแคว้น ทหารเพียงแค่สามนายจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายและทหารเอกคนสนิทแม้แต่น้อย หลังจากจัดการกับทหารสามนายตายเรียบร้อย องค์ชายและทหารเอกก็ดำน้ำไปลอบเผาเรือรบได้สำเร็จ องค์ชายรู้ดีว่าเสด็จอาที่เป็นทรราชของตนต้องการถอนรากถอนโคนจึงส่งทหารมาฆ่าตนเอง"
ลุงแช่มเชิดหุ่นรูปองค์ชายและทหารเอกเต้นไปมาระหว่างที่หุ่นรูปเรือรบมีไฟครอกและค่อยๆจมลงไป หุ่นกระบอกสี่ตัวรวมลูกเรืออีกสองค่อยเดินขึ้นฝั่งจากฉากหลังที่ถูกเปลี่ยนจากกลางแม่น้ำเป็นท่าเรือ
"เมื่อทั้งสี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านคนป่า นางๆหนึ่งเดินมาเมื่อเจอกับองค์ชายก็ได้โผลกอดเหมือนกับเป็นคนรัก ใช่! นางคือคนรักขององค์ชาย ทั้งสองได้ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบตามประสาคู่รักกัน จากนั้นองค์ชายได้ไปพบกับหัวหน้าเผ่าและได้กล่าวว่า ตนเองนั้นได้นำพาความเดือดร้อนมายังพวกท่านแล้ว เสด็จอาของข้าพเจ้าคงรู้เป็นแน่ที่ข้าพเจ้าจะเสด็จมายังที่แห่งนี้ จึงส่งทหารดักรอฆ่าทิ้งเสีย หากเป็นไปได้พวกท่านจงรีบย้ายถิ่นที่อยู่ไปจากที่นี่เสียเถิด หัวหน้าเผ่ารับคำตามที่องค์ชายพูด"
"เป็นตามที่องค์ชายคิดกองทัพเรือของราชาองค์ใหม่เข้าประชิดขอบตลิ่ง ทหารหนึ่งนายได้นำสาส์นจากองค์ราชามามอบให้องค์ชาย ใจความจากสาส์นว่า ขอให้องค์ชายยอมจำนนและยอมสละราชสมบัติให้กับเสด็จอา เพื่อป้องกันคำครหาจากชาวประชา แม้องค์ราชาจะเข้าพิธีพิธีปราบดาภิเษกแล้ว แต่เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการปกครอง จึงอยากให้องค์ชายทำการสละราชสมบัติตามขั้นตอนพิธี องค์ชายรู้ดีว่าองค์ราชายกชาวประชามาเป็นข้ออ้าง และยังมีเผ่าคนป่าที่คนรักของพระองค์อยู่ในเผ่านี้ด้วยเป็นตัวประกันกับกองทัพเรือที่รอประจัญบานแล้วหากข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ องค์ชายจึงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อคนรักและทหารคนสนิทว่าตนเองจะขอกลับเข้าวังเพื่อไปทำพิธีให้จบๆไป แม้องค์ชายจะรู้ดีกว่านี่คือแผนลวงไปฆ่า"
หุ่นกระบอกสามตัวถูกส่ายยักย้ายไปมาแสดงถึงกำลังพูดคุย ฉากหลังเป็นป่า ท่าทางของนางลุกลี้ลุกลนเหมือนจะเป็นห่วงองค์ชายแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะรู้ถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของคนทั้งเผ่า
"สุดท้ายองค์ชายก็ยอมรับข้อเสนอของเสด็จอา ยอมขึ้นเรือกลับเข้าวังโดยปราศจากทหารคนสนิท..."
เสียงคนพากย์ร้อง ทุกคนฟังอย่างใจจดจ่อ
"จบครึ่งแรกก่อน พักสิบห้านาที พักกินน้ำกินท่าก่อน"
เสียงทอดถอนหายใจของผู้ชมด้วยความขาดตอนของเรื่อง ไม่มีใครสักคนที่จะลุกไปซื้อน้ำซื้อขนมด้วยกลัวจะเสียม้า เป็นทีของพ่อค้าแม่ค้าเดินหิ้วน้ำเขียว น้ำแดง ชาเย็น โอเลี้ยงมาบริการถึงที่นั่ง ขนมมีทั้งขนมถังแตก ข้าวจี่ โรตีสายไหม ข้าวโพดคั่วก็มีบริการถึงที่ หลังครึ่งแรกเสียงพากย์ลุงแม้นเงียบไปเป็นทีของเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ละครของผู้ชมดังแข่งกับมหรสพอื่นๆรอบข้าง เวลาสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
"ต่อครึ่งหลัง" ลุงแม้นประกาศออกลำโพง ผู้ชมร้องเสียงยินดีที่ได้กลับมาชมการแสดงในครึ่งหลัง
"องค์ราชายื่นข้อเสนอให้องค์ชายเข้ารับตำแหน่งมหาดเล็กให้กับองค์ชายเพื่อหมายจะลดคำครหาที่ตนเองปราบดาภิเษกโดยการวางยาพิษกษัตริย์องค์ก่อน แน่นอนองค์ชายปฏิเสธข้อเสนอทุกประการเพราะคงไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ฆ่าบิดาตัวเองได้ องค์ราชาโกรธมากจึงสั่งประหารองค์ชายบนเรือรบระหว่างกลับเข้าวังด้วยข้อหากบฏ"
ฉากหลังในลำเรือ หุ่นองค์ราชาส่ายไปมาทำท่าทางสั่งให้เพชฌฆาตใช้มีดดาบฟันไปที่หุ่นองค์ชาย เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังก้องเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากสะเทือนอารมณ์ ฉากหลังผ้าใบตัดมาที่ชายป่า นางคนรักขององค์ชายยืนลำพัง
"เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน คนรักที่หายไปไร้การติดต่อใดๆ นางเฝ้าคิดจิตนาการไปเรื่อยเปื่อย กลัวว่าคนรักจะถูกฆ่าตาย หรืออาจจะยอมกลับไปสวามิภักดิ์กับองค์ราชา ถ้าให้เลือกระหว่างสองข้อนี้นางขอเลือกข้อหลังดีกว่า นางเฝ้าคิดถึงโชคชะตาตัวเองว่าตัวเองเป็นแค่หญิงสาวชาวป่า แค่มีโอกาสเจอองค์ชายเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเป็นคนรักซึ่งกันและกันได้ นี่คงเป็นวาสนาเป็นแน่แท้ นางคิดว่าการรอคอยโดยมีความหวังกับการรอคอยโดยปราศจากความหวังมันช่างต่างกันยิ่งนัก"
เสียงพากย์ลุงแม้นเศร้าสร้อยเข้ากับบรรยากาศ ผู้ชมต่างเงียบกริบรอฟัง บางคนน้ำตาซึม
"นางยืนบนขอบหน้าผาสูง ใจล่องลอยไร้จุดหมาย หมายว่าหากชีวิตนี้หาไม่แล้วจะมีโอกาสไปพบคนรักยังภพใดภพหนึ่ง นางทิ้งตัวลงผาสูง"
ลุงแม้นค่อยๆขยับหุ่นรูปนางดิ่งหัวลงจากฉากหลังที่เป็นขอบผา เสียงปี่พาทย์บรรเลงบทเพลงเศร้า
"เหมือนชะตาฟ้าดินเล่นตลก วันเดียวหลังจากหญิงคนรักกระโดดหน้าผาตาย องค์ชายกลับมาเพื่อมาพบกับคนรัก เมื่อกลับมาทหารคนสนิทดีใจมาก ถามว่ารอดตายมาได้อย่างไรเพราะมีข่าวมาถูกประหารไปแล้ว แต่ทหารเอกไม่กล้านำเรื่องนี้บอกให้ใคร องค์ชายเล่าว่าเพชฌฆาตที่ประหารตนนั้นจงใจแกล้งทำเป็นเงื้อดาบฟัน แต่แอบใช้เลือดปลอมมาทำให้ดูเหมือนตายแล้ว แอบซ่อนศพไว้ไม่ให้ใครเห็น เพชฌฆาตซึ่งเป็นผู้จงรักภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจึงแอบลอบนำตัวข้าไปรักษา เมื่อรู้ว่าหญิงสาวคนรักชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน องค์ชายทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์บ่นรำพึงรำพันกับตัวเองว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ขอตายตั้งแต่อยู่ในเรือดีกว่า บัดนั้นองค์ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังผาที่หญิงคนรักยืน มองไปยังบนท้องฟ้านะจุดเดียวกันกับที่หญิงคนรักมอง ก่อนจะทิ้งตัวลงจากผาสูงเช่นกัน จบตำนานรักเพียงแค่นี้ พบกันใหม่พรุ่งนี้"
แสงไฟส่องฉากโรงละครดับลง ไฟทางเดินส่องสว่างขึ้นเหมือนในโรงภาพยนตร์ ค่ำคืนนี้งานวัดยังมีการละเล่นร้านค้าอีกยาวนาน
______________________
เมื่องานวัดสิ้นสุด เจ้าอาวาสตัดสินใจลาสิกขาบทโดยให้เหตุผลว่าต้องการออกไปศึกษาทางโลกบ้าง ปัญหาบางปัญหาหากไม่ออกไปพบไปเจอก็ยากที่จะจินตนาการแก้ไขมันให้ลุล่วงได้
อดีตหลวงพ่อเมื่อสึกออกมาแล้วหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการรับจ้างสอนหนังสือตามโรงเรียนทั่วไป บ่อยครั้งที่ได้เดินทางออกต่างจังหวัดไปยังโรงเรียนตามชนบท อดีตหลวงพ่อไม่นำสมบัติสมัยที่ยังครองผ้าเหลืองติดตัวออกมาเลยซักบาทเดียว
บ่อยครั้งนักที่ได้พบปะพูดคุยกับคนทั่วไปที่ชอบมาปรึกษาปัญหาชีวิต ท่านใช้ข้อธรรมมะมาประยุกต์ร่วมเป็นคำแนะนำและชี้ทางสว่างให้ แม้แต่ชาวต่างชาติที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับท่านในเรื่องศาสนาก็รู้จักกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ท่านเองก็ได้ศึกษาเกี่ยวศาสนาอื่นๆด้วยเช่นกัน
เนื่องจากได้เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยท่านเขียนหนังสือบันทึกเรื่องราววิถีการใช้ชีวิตของผู้คน สอดแทรกคติธรรมไปด้วย งานเขียนบางชิ้นถูกเผยแพร่จากเว็บไซต์หรือนิตยาสารที่เกี่ยวกับศาสนา ชีวิตในทางโลกของท่านไม่ต่างจากสมัยอยู่ในสมัยครองผ้าเหลืองมากนัก สิ่งได้เพิ่มมากขึ้นก็คือได้ใกล้ชิดกับปัญหาทางโลกมากขึ้นเห็นชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้นกว่า
ชีวิตฆราวาสของท่านผ่านมาได้ครบหนึ่งปี ท่านเดินทางกลับมายังวัดและได้พบกับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสองค์ก่อน
"เป็นไงมาไงล่ะโยม วันนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่ารึ ชีวิตทางโลกภายนอกเป็นยังไงบ้าง เล่าให้อาตมาฟังหน่อย"
เจ้าอาวาสไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบจากคนคุ้นเคย
"โลกทางโลกและทางธรรมมันก็เป็นโลกใบเดียวกันแหล่ะครับหลวงพ่อ แต่ถ้าถามถึงชีวิตนอกผ้าเหลืองเป็นอย่างไร สำหรับผมคิดว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับท่าน ผมก็ได้พบเจอผู้คน ก็ยังได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา"
อดีตเจ้าอาวาสอธิบายถึงชีวิตภายนอก
"โยมมีแรงบัลดาลใจอะไรที่ทำให้สึกออกไป ในเมื่อพรรษาบวชของโยมก็เยอะมาก"
เจ้าอาวาสเอ่ยถาม
"หลวงพ่อจำงานวัดเมื่อปีที่แล้วที่เรานำคณะเชิดหุ่นกระบอกมาแสดงได้มั้ย องค์ชายในเรื่องมียศศักดิ์เป็นถึงลูกกษัตริย์เป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่ใจไม่ได้ไปทางนั้นเลย มีความชอบไปทางศิลปะมากกว่า ผมมองย้อนกลับมาดูตัวเองย้อนไปสิบปีในการเป็นเจ้าอาวาสว่าเบื่อหน่ายแค่ไหน ไหนจะเรื่องพุทธพาณิชย์ไหนจะเรื่องหลอกล่อให้คนเข้าวัดอีก แค่สองเรื่องนี้ก็วุ่นวายพอกับความวุ่นวายทางโลกเลย นั่นไม่ใช่ทางสงบที่จะค้น
นิพพานที่ต่างกัน
"ผมมีความคิดที่จะนำละครเชิดหุ่นกระบอกของคณะครูแม้นมาจัดแสดงในงานวัดประจำปีของเรา เพื่อเป็นการสืบสานศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของเราจริงๆ เพื่อให้อย่างน้อยที่สุด เด็กๆในบ้านเราจะได้รู้ว่าเราเคยมีอะไรบ้างที่เป็นของเรา ปีนี้ขอเป็นคณะหุ่นกระบอกก่อนแล้วปีหน้าค่อยว่ากัน” เจ้าอาวาสเสนอความคิดเห็น
"ผมก็ว่าดีนะท่าน งานวัดของเราไม่ได้นำเสนออะไรที่เป็นสาระมานานแล้ว มหรสพของเราจะตัดคอนเสิร์ตนักร้องออกไป เพื่อจะได้เอาเวลาและงบประมาณไปใช้กับคณะเชิดหุ่นกระบอก ว่าแต่ท่านติดต่อและแจ้งกำหนดการไปให้คณะหุ่นเชิดหรือยังครับ ถ้ายังเดี๋ยวผมจัดการเรื่องให้ครับท่าน" รองเจ้าอาวาสกล่าวสนับสนุนแนวคิดนี้
_________________
หัวค่ำในงานวัดประจำปีวันแรก ร้านค้าตั้งเต็นท์เตรียมตัวขายของเหมือนเช่นทุกปี การละเล่นมากมายถูกจัดไว้ให้อยู่ในงาน ไฮไลท์ของงานทุกปีจะเป็นคอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังมากมาย แต่ปีนี้วัดงดกิจกรรมคอนเสิร์ตโดยนำละครหุ่นมาแสดงแทน ชาวบ้านต่างเห็นด้วยกับแนวคิดของวัด เพราะวัดนี้เป็นที่นับถือของชาวบ้านและคณะหุ่นเชิดครูแม้นก็เป็นคณะที่มีชื่อเสียง ดีกรีความสนุกสนานคงไม่แพ้คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังสักเท่าไหร่นัก
โรงละครหุ่นกระบอกถูกจัดให้อยู่หน้าโบสถ์วัด ลักษณะเป็นเพิงไม้ไผ่ขนาดไม่ใหญ่มาก ความสูงของฉากโรงละครไม่สูงหากมองเลยข้ามไปจะเห็นพระพุทธรูปองค์พระประทานประจำโบสถ์ แสงไฟสะท้อนสะท้อนภาพพระพุทธรูปออกมาให้ผู้ชมที่นั่งระนาบตรงหน้าเวทีสามารถมองเห็นเป็นฉากหลังได้อย่างกลมกลืน
"เบื้องนั้นในแผ่นดินไกลโพ้น องค์ชายหนุ่มแห่งแคว้นเมืองเหนือ เสด็จหลบหนีออกจากเมือง เมื่อองค์ราชาผู้เป็นพระบิดาถูกวางยาพิษโดยพระอานุชาต่างพระมารดา หลังจากพิธีราชาภิเษกของพระองค์ราชาองค์ใหม่ แว่นแคว้นแผ่นดินเก่าลุกเป็นไฟ ไร้ที่ยืนให้องค์ชายหนุ่มผู้ที่ถูกคาดหวังให้ปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้า ตอนนี้องค์ชายหนุ่มต้องระเห็จออกจากเมืองโดยเรือสำเภาพร้อมสหายคนสนิทซึ่งเป็นทหารเอก"
หุ่นกระบอกรูปองค์ชายยักย้ายไปมา ด้านหลังเป็นฉากเรือสำเภาวาดด้วยสีน้ำมันบนผ้าใบผืนเก่า คนเชิดหุ่นหลบอยู่หลังฉากผ้าสีดำปิดหลัง
เสียงลุงแช่มคนเชิดหุ่นกระบอกดังกังวาน แม้จะอายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่น้ำเสียงยังไม่ตก เมื่อปี่พาทย์ขึ้น แกกลับกายเป็นคนมีชีวิตชีวา เล่าเรื่องตามบททันที
"สายน้ำเชี่ยวกราก องค์ชายหนุ่มเสด็จพร้อมพระสหายและผู้พายและบังคับหางเสืออีกสองคน อันว่าลำเรือนั้นเคยผ่านเจ็ดย่านน้ำ ลำเรือประณีต สลักเป็นรูปดอกบัว ด้วยองค์ชายนั้นเป็นนักเดินทางอีกทั้งยังเป็นนักกวีเอก บนลำเรือนั้นยังเต็มไปด้วยบทพระราชนิพนธ์ของพระองค์ที่มักทรงประพันธ์เมื่อยามออกเสด็จไปยังถิ่นแคว้นแดนไกล ยังมีเงินทองเครื่องใช้ของส่วนตัว"
"ตลอดทางองค์ชายทรงกลัดกลุ้มถึงความคาดหวังจากคนรอบข้างและชาวประชาให้ทวงคืนราชบัลลังก์โดยพลัน ทหารเอกคนสนิทรู้ดีว่าพระทัยของพระองค์นั้นไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นไปอย่างไรเป็นเรื่องของฟ้าลิขิต ทหารเอกไม่เคยคิดที่จะเกลี้ยกล่อมองค์ชายเพื่อให้กอบกู้ราชบัลลังก์หากพระองค์ไม่ต้องการ"
"ใกล้จุดหมายเมืองคนป่าที่องค์ชายจะเสด็จมาลี้ภัย เนื่องด้วยเป็นเมืองที่เคยเสด็จมาและคุ้นเคยกับหัวหน้าเผ่า แต่ยังไม่ทันที่เรือสำเภาจะเข้าท่า ปืนใหญ่จากเรือรบดังและพุ่งทะยานหมายปลิดชีพคนที่อยู่บนเรือสำเภา โชคดีกระสุนพลาดไม่โดนเป้าหมาย แต่แรงคลื่นน้ำจากแรงกระสุนปืนใหญ่ยังแรงพอที่จะพลิกเรือสำเภาคว่ำ"
เด็กหลังเวทีจุดประทัดเสียงดังประกอบฉาก หลายคนสะดุ้ง บางคนหัวเราะชอบใจ
"ทหารจำนวนสามนายจากเรือรบพุ่งทะยานลงน้ำหมายปลิดชีพองค์ชายและลูกเรือ องค์ชายที่แม้จะพิสมัยเรื่องกาพย์กลอนและการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์จึงถูกฝึกฝนกลยุทธ์การต่อสู่ตั้งแต่วัยเด็ก แม้จะเป็นเอกเรื่องศิลปะทางวรรณกรรม แต่ศิลปะการต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใครในแคว้น ทหารเพียงแค่สามนายจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายและทหารเอกคนสนิทแม้แต่น้อย หลังจากจัดการกับทหารสามนายตายเรียบร้อย องค์ชายและทหารเอกก็ดำน้ำไปลอบเผาเรือรบได้สำเร็จ องค์ชายรู้ดีว่าเสด็จอาที่เป็นทรราชของตนต้องการถอนรากถอนโคนจึงส่งทหารมาฆ่าตนเอง"
ลุงแช่มเชิดหุ่นรูปองค์ชายและทหารเอกเต้นไปมาระหว่างที่หุ่นรูปเรือรบมีไฟครอกและค่อยๆจมลงไป หุ่นกระบอกสี่ตัวรวมลูกเรืออีกสองค่อยเดินขึ้นฝั่งจากฉากหลังที่ถูกเปลี่ยนจากกลางแม่น้ำเป็นท่าเรือ
"เมื่อทั้งสี่เดินทางมาถึงหมู่บ้านคนป่า นางๆหนึ่งเดินมาเมื่อเจอกับองค์ชายก็ได้โผลกอดเหมือนกับเป็นคนรัก ใช่! นางคือคนรักขององค์ชาย ทั้งสองได้ไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบตามประสาคู่รักกัน จากนั้นองค์ชายได้ไปพบกับหัวหน้าเผ่าและได้กล่าวว่า ตนเองนั้นได้นำพาความเดือดร้อนมายังพวกท่านแล้ว เสด็จอาของข้าพเจ้าคงรู้เป็นแน่ที่ข้าพเจ้าจะเสด็จมายังที่แห่งนี้ จึงส่งทหารดักรอฆ่าทิ้งเสีย หากเป็นไปได้พวกท่านจงรีบย้ายถิ่นที่อยู่ไปจากที่นี่เสียเถิด หัวหน้าเผ่ารับคำตามที่องค์ชายพูด"
"เป็นตามที่องค์ชายคิดกองทัพเรือของราชาองค์ใหม่เข้าประชิดขอบตลิ่ง ทหารหนึ่งนายได้นำสาส์นจากองค์ราชามามอบให้องค์ชาย ใจความจากสาส์นว่า ขอให้องค์ชายยอมจำนนและยอมสละราชสมบัติให้กับเสด็จอา เพื่อป้องกันคำครหาจากชาวประชา แม้องค์ราชาจะเข้าพิธีพิธีปราบดาภิเษกแล้ว แต่เพื่อความสะดวกเรียบร้อยในการปกครอง จึงอยากให้องค์ชายทำการสละราชสมบัติตามขั้นตอนพิธี องค์ชายรู้ดีว่าองค์ราชายกชาวประชามาเป็นข้ออ้าง และยังมีเผ่าคนป่าที่คนรักของพระองค์อยู่ในเผ่านี้ด้วยเป็นตัวประกันกับกองทัพเรือที่รอประจัญบานแล้วหากข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ องค์ชายจึงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อคนรักและทหารคนสนิทว่าตนเองจะขอกลับเข้าวังเพื่อไปทำพิธีให้จบๆไป แม้องค์ชายจะรู้ดีกว่านี่คือแผนลวงไปฆ่า"
หุ่นกระบอกสามตัวถูกส่ายยักย้ายไปมาแสดงถึงกำลังพูดคุย ฉากหลังเป็นป่า ท่าทางของนางลุกลี้ลุกลนเหมือนจะเป็นห่วงองค์ชายแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะรู้ถึงสถานการณ์ความปลอดภัยของคนทั้งเผ่า
"สุดท้ายองค์ชายก็ยอมรับข้อเสนอของเสด็จอา ยอมขึ้นเรือกลับเข้าวังโดยปราศจากทหารคนสนิท..."
เสียงคนพากย์ร้อง ทุกคนฟังอย่างใจจดจ่อ
"จบครึ่งแรกก่อน พักสิบห้านาที พักกินน้ำกินท่าก่อน"
เสียงทอดถอนหายใจของผู้ชมด้วยความขาดตอนของเรื่อง ไม่มีใครสักคนที่จะลุกไปซื้อน้ำซื้อขนมด้วยกลัวจะเสียม้า เป็นทีของพ่อค้าแม่ค้าเดินหิ้วน้ำเขียว น้ำแดง ชาเย็น โอเลี้ยงมาบริการถึงที่นั่ง ขนมมีทั้งขนมถังแตก ข้าวจี่ โรตีสายไหม ข้าวโพดคั่วก็มีบริการถึงที่ หลังครึ่งแรกเสียงพากย์ลุงแม้นเงียบไปเป็นทีของเสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ละครของผู้ชมดังแข่งกับมหรสพอื่นๆรอบข้าง เวลาสิบห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
"ต่อครึ่งหลัง" ลุงแม้นประกาศออกลำโพง ผู้ชมร้องเสียงยินดีที่ได้กลับมาชมการแสดงในครึ่งหลัง
"องค์ราชายื่นข้อเสนอให้องค์ชายเข้ารับตำแหน่งมหาดเล็กให้กับองค์ชายเพื่อหมายจะลดคำครหาที่ตนเองปราบดาภิเษกโดยการวางยาพิษกษัตริย์องค์ก่อน แน่นอนองค์ชายปฏิเสธข้อเสนอทุกประการเพราะคงไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้ที่ฆ่าบิดาตัวเองได้ องค์ราชาโกรธมากจึงสั่งประหารองค์ชายบนเรือรบระหว่างกลับเข้าวังด้วยข้อหากบฏ"
ฉากหลังในลำเรือ หุ่นองค์ราชาส่ายไปมาทำท่าทางสั่งให้เพชฌฆาตใช้มีดดาบฟันไปที่หุ่นองค์ชาย เสียงโห่ร้องจากผู้ชมดังก้องเล็กน้อยเมื่อเห็นฉากสะเทือนอารมณ์ ฉากหลังผ้าใบตัดมาที่ชายป่า นางคนรักขององค์ชายยืนลำพัง
"เมื่อเวลาผ่านไปเกือบเดือน คนรักที่หายไปไร้การติดต่อใดๆ นางเฝ้าคิดจิตนาการไปเรื่อยเปื่อย กลัวว่าคนรักจะถูกฆ่าตาย หรืออาจจะยอมกลับไปสวามิภักดิ์กับองค์ราชา ถ้าให้เลือกระหว่างสองข้อนี้นางขอเลือกข้อหลังดีกว่า นางเฝ้าคิดถึงโชคชะตาตัวเองว่าตัวเองเป็นแค่หญิงสาวชาวป่า แค่มีโอกาสเจอองค์ชายเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถเป็นคนรักซึ่งกันและกันได้ นี่คงเป็นวาสนาเป็นแน่แท้ นางคิดว่าการรอคอยโดยมีความหวังกับการรอคอยโดยปราศจากความหวังมันช่างต่างกันยิ่งนัก"
เสียงพากย์ลุงแม้นเศร้าสร้อยเข้ากับบรรยากาศ ผู้ชมต่างเงียบกริบรอฟัง บางคนน้ำตาซึม
"นางยืนบนขอบหน้าผาสูง ใจล่องลอยไร้จุดหมาย หมายว่าหากชีวิตนี้หาไม่แล้วจะมีโอกาสไปพบคนรักยังภพใดภพหนึ่ง นางทิ้งตัวลงผาสูง"
ลุงแม้นค่อยๆขยับหุ่นรูปนางดิ่งหัวลงจากฉากหลังที่เป็นขอบผา เสียงปี่พาทย์บรรเลงบทเพลงเศร้า
"เหมือนชะตาฟ้าดินเล่นตลก วันเดียวหลังจากหญิงคนรักกระโดดหน้าผาตาย องค์ชายกลับมาเพื่อมาพบกับคนรัก เมื่อกลับมาทหารคนสนิทดีใจมาก ถามว่ารอดตายมาได้อย่างไรเพราะมีข่าวมาถูกประหารไปแล้ว แต่ทหารเอกไม่กล้านำเรื่องนี้บอกให้ใคร องค์ชายเล่าว่าเพชฌฆาตที่ประหารตนนั้นจงใจแกล้งทำเป็นเงื้อดาบฟัน แต่แอบใช้เลือดปลอมมาทำให้ดูเหมือนตายแล้ว แอบซ่อนศพไว้ไม่ให้ใครเห็น เพชฌฆาตซึ่งเป็นผู้จงรักภักดีกับกษัตริย์องค์ก่อนจึงแอบลอบนำตัวข้าไปรักษา เมื่อรู้ว่าหญิงสาวคนรักชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน องค์ชายทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์บ่นรำพึงรำพันกับตัวเองว่าถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ขอตายตั้งแต่อยู่ในเรือดีกว่า บัดนั้นองค์ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังผาที่หญิงคนรักยืน มองไปยังบนท้องฟ้านะจุดเดียวกันกับที่หญิงคนรักมอง ก่อนจะทิ้งตัวลงจากผาสูงเช่นกัน จบตำนานรักเพียงแค่นี้ พบกันใหม่พรุ่งนี้"
แสงไฟส่องฉากโรงละครดับลง ไฟทางเดินส่องสว่างขึ้นเหมือนในโรงภาพยนตร์ ค่ำคืนนี้งานวัดยังมีการละเล่นร้านค้าอีกยาวนาน
______________________
เมื่องานวัดสิ้นสุด เจ้าอาวาสตัดสินใจลาสิกขาบทโดยให้เหตุผลว่าต้องการออกไปศึกษาทางโลกบ้าง ปัญหาบางปัญหาหากไม่ออกไปพบไปเจอก็ยากที่จะจินตนาการแก้ไขมันให้ลุล่วงได้
อดีตหลวงพ่อเมื่อสึกออกมาแล้วหาเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการรับจ้างสอนหนังสือตามโรงเรียนทั่วไป บ่อยครั้งที่ได้เดินทางออกต่างจังหวัดไปยังโรงเรียนตามชนบท อดีตหลวงพ่อไม่นำสมบัติสมัยที่ยังครองผ้าเหลืองติดตัวออกมาเลยซักบาทเดียว
บ่อยครั้งนักที่ได้พบปะพูดคุยกับคนทั่วไปที่ชอบมาปรึกษาปัญหาชีวิต ท่านใช้ข้อธรรมมะมาประยุกต์ร่วมเป็นคำแนะนำและชี้ทางสว่างให้ แม้แต่ชาวต่างชาติที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับท่านในเรื่องศาสนาก็รู้จักกับพระพุทธศาสนามากขึ้น ท่านเองก็ได้ศึกษาเกี่ยวศาสนาอื่นๆด้วยเช่นกัน
เนื่องจากได้เดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยท่านเขียนหนังสือบันทึกเรื่องราววิถีการใช้ชีวิตของผู้คน สอดแทรกคติธรรมไปด้วย งานเขียนบางชิ้นถูกเผยแพร่จากเว็บไซต์หรือนิตยาสารที่เกี่ยวกับศาสนา ชีวิตในทางโลกของท่านไม่ต่างจากสมัยอยู่ในสมัยครองผ้าเหลืองมากนัก สิ่งได้เพิ่มมากขึ้นก็คือได้ใกล้ชิดกับปัญหาทางโลกมากขึ้นเห็นชัดขึ้น เข้าใจมากขึ้นกว่า
ชีวิตฆราวาสของท่านผ่านมาได้ครบหนึ่งปี ท่านเดินทางกลับมายังวัดและได้พบกับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสองค์ก่อน
"เป็นไงมาไงล่ะโยม วันนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเก่ารึ ชีวิตทางโลกภายนอกเป็นยังไงบ้าง เล่าให้อาตมาฟังหน่อย"
เจ้าอาวาสไต่ถาม สารทุกข์สุกดิบจากคนคุ้นเคย
"โลกทางโลกและทางธรรมมันก็เป็นโลกใบเดียวกันแหล่ะครับหลวงพ่อ แต่ถ้าถามถึงชีวิตนอกผ้าเหลืองเป็นอย่างไร สำหรับผมคิดว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นักครับท่าน ผมก็ได้พบเจอผู้คน ก็ยังได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา"
อดีตเจ้าอาวาสอธิบายถึงชีวิตภายนอก
"โยมมีแรงบัลดาลใจอะไรที่ทำให้สึกออกไป ในเมื่อพรรษาบวชของโยมก็เยอะมาก"
เจ้าอาวาสเอ่ยถาม
"หลวงพ่อจำงานวัดเมื่อปีที่แล้วที่เรานำคณะเชิดหุ่นกระบอกมาแสดงได้มั้ย องค์ชายในเรื่องมียศศักดิ์เป็นถึงลูกกษัตริย์เป็นถึงว่าที่กษัตริย์องค์ต่อไป แต่ใจไม่ได้ไปทางนั้นเลย มีความชอบไปทางศิลปะมากกว่า ผมมองย้อนกลับมาดูตัวเองย้อนไปสิบปีในการเป็นเจ้าอาวาสว่าเบื่อหน่ายแค่ไหน ไหนจะเรื่องพุทธพาณิชย์ไหนจะเรื่องหลอกล่อให้คนเข้าวัดอีก แค่สองเรื่องนี้ก็วุ่นวายพอกับความวุ่นวายทางโลกเลย นั่นไม่ใช่ทางสงบที่จะค้น