ขอชื่อคุณหมอสูตินารีคนไทยในอเมริกาได้ไหมคะ สอบถามค่าใช้จ่ายไปคลอดอเมริกาค่ะ

พูดตรงประเด็นเลยนะคะ อยากจะไปผ่าคลอดที่อเมริกาเพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกน่ะค่ะ เท่าที่หาข้อมูลมาค่าใช้จ่ายกว้างมากๆ มีตั้งแต่ 3พันเหรียญถึง3หมื่นเหรียญ เลยประมาณไม่ถูกเลย อยากจะสอบถามประสบการณ์ตรงค่าผ่าคลอด พักฟื้นนอนกี่วัน โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน อยู่เมืองไหน รัฐไหน ค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จเท่าไหร่คะ

     หากเลือกได้ก็อยากจะไปฝากท้องกับคุณหมอคนไทยให้อุ่นใจนิดนึงน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพอจะมีแนะนำไหมคะ

     เราวางแผนจะไปอายุครรภ์6เดือน มีวีซ่าแล้วค่ะ หากได้สแตมป์6เดือนก็จะได้อยู่ถึงคลอดน้องและพักฟื้นสักระยะ (ขอสอบถามเพิ่มเติม หากเราต้องการอยู่ต่อ สามารถยื่นเอกสารขอยืดระยะเวลาได้ไหมคะ หรือออกไปต่างประเทศใกล้ๆแล้วกลับเข้ามาใหม่ได้ไหมคะ)

     เรื่องไปคลอดอเมริกานานาจิตตังนะคะ ขอรับแค่คำตอบความช่วยเหลือนะคะ หากไม่ถูกใจใครต้องขอโทษด้วย เราและพ่อของลูกยินดีจ่ายค่าใช้จ่ายครอบคลุมตัวเองทุกอย่างค่ะ เพียงแต่เข้ามาสอบถาม หากเลือกที่ค่าใช้จ่ายถูกหน่อยได้ก็ดีกว่าน่ะค่ะ

     เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว พอจะมีเพื่อนที่อเมริกาหลายๆรัฐ ไปถึงก็คงจะหาซื้อรถมือสองสักคันแล้วขายต่อตอนจะกลับค่ะ

     ขอบคุณมากนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
1. เราผ่าคลอดค่ะ แต่หลังจากที่พยายามคลอดเองแล้วมายี่สิบชั่วโมง (เบ่งสามชั่วโมง)
ค่าใช้จ่ายตามบิล(ลดแล้วราคาโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย รัฐเล็กๆเมืองเล็กๆ) หมื่นเจ็ดพันเหรียญ
แต่ประกันจ่ายส่วนนึง บวกได้ส่วนลดเพิ่มเพราะจ่ายภายในสามสิบวัน เหลือพันหกร้อยเหรียญ
แต่ราคานี้ไม่รวมพวกค่าไปหาหมอตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ รวมๆแล้วก็อีกหลายพัน(ก่อนประกันจ่าย)
ซึ่งถ้าคุณจะเข้ามาตอนหกเดือนไปแล้ว ก็น่าจะสัก 8 ครั้ง ครั้งละ 100-200 แล้วแต่ว่าเลือกที่ไหน
และอาจจะต้องจ่ายนู่นจ่ายนี่เพิ่มถ้ามีอาการแทรกซ้อนหรือต้องไปตรวจเพิ่มเช็คเลือดเช็คอะไร
http://www.healthcarebluebook.com/page_Results.aspx?id=107&dataset=MD
อันนี้เป็นราคาคร่าวๆของเฉพาะผ่าคลอดอย่างเดียวค่ะ เป็นราคาเฉลี่ยทั้งประเทศ
ถ้าอยากรู้ของแต่ละเมือง ก็ลองใส่ zip code เมืองที่คุณสนใจดูราคาเอา

2. หลังคลอดแล้วคุณจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องลูกอีก ซึ่งประกันไม่มี คุณต้องจ่ายเต็ม
แจ้งเกิดที่อเมริกาไม่ยาก เพราะโรงพยาบาลจัดการให้ เราแค่กรอกเอกสารและไปขอใบเกิดที่ county
แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับในแต่ละรัฐและแต่ละเมืองว่าใช้เวลาเท่าไหร่ว่าเค้าจะเดินเรื่องเสร็จเอกสารพร้อม
ของเราเมืองเล็กๆคนไม่เยอะ ใช้เวลาประมาณสิบวันก็ไปขอสำเนาใบเกิดได้
แล้วค่อยเอาไปขอพาสปอร์ตอเมริกาอีกที ก็ใช้เวลาอีกสี่อาทิตย์เป็นอย่างต่ำ ถ้าไม่จ่ายเพิ่ม
ที่ยากคือตอนถ่ายรูปทำพาสปอร์ต ลูกคอยังไม่แข็ง อุ้มถ่ายยาก ต้องถ่ายเห็นหน้าเต็มและหลบมือคนอุ้ม
ถ้าจะทำให้ครบจริงๆก็ควรขอ SSN ให้ลูกด้วย อันนี้ก็ใช้เวลาประมาณ 6 อาทิตย์แล้วแต่รัฐอีกเหมือนกัน
ปัญหาจริงๆคือแจ้งเกิดไทยและพาสปอร์ตไทย สูติบัตรไทยส่งเรื่องไปได้ แต่พาสปอร์ตต้องทำเอง
แต่สูติบัตรเรื่องเยอะพอสมควร เอกสารส่งกลับไปกลับมาหลายรอบ กลับไทยก็ต้องไปทำเรื่อง

3. อย่าคิดว่าจะได้ผ่าค่ะ เค้าให้คุณลองพยายามคลอดเองก่อนแน่ๆ
ข้อบ่งชี้ทางการคลอดของหมอที่นี่ไม่เหมือนกับหมอที่เมืองไทย
เค้าไม่อยากผ่าคลอด และจะพยายามเลี่ยงการผ่าคลอดจนกว่าจะเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
ของเราเองขนาดเหนื่อยจนตัวสั่น พยาบาลรู้หมอรู้ทุกคนรู้ว่าคลอดเองไม่ได้แล้วแน่ๆ
ยังต้องให้ลองเบ่งดูจนครบสามชั่วโมงถึงจะเอาหมอผ่าตัดเข้ามาคุย
ซึ่งเค้าก็ไม่พูดตรงๆด้วยว่าจะให้ผ่า ได้แต่พูดอ้อมไปมาว่าอาการแบบนี้จะเสี่ยงแบบนี้
จนเราต้องถามเองตรงๆว่าถ้าเป็นลูกเป็นเมียหมอ หมอจะทำยังไง เค้าถึงบอกว่าเค้าคงให้ผ่า
เราต้องพูดย้ำเองอีกทีว่างั้นก็ผ่าหนูเถอะค่ะ ถึงได้แยกย้ายกันไปจัดการตามหน้าที่แต่ละคน
(แต่คงเตรียมไว้แล้วล่ะ เพราะแป๊ปเดียวเสร็จ ใช้เวลาจากตรงนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ผ่าออกเรียบร้อย)

4. อาจจะหาโรงพยาบาลที่รับคุณยากสักหน่อย เพราะคุณไม่มีประวัติอะไรเลย
ระบบ healthcare ที่นี่ต่างกับเมืองไทยพอสมควร คุณอาจมีปัญหา
ส่วนเรื่องภาษาจริงๆไม่ใช่ประเด็น เพราะหลายๆโรงพยาบาลมีบริการล่ามให้แต่ต้องบอกก่อน

5. พูดกันตรงๆคุณมีสิทธิไม่ได้เข้าเมืองแม้จะมีวีซ่าค่ะ โดยเฉพาะถ้าดูออกได้ชัดว่าคุณท้องหลายเดือนแล้ว
ต่อให้มีใบรับรองแพทย์มาว่าคุณท้องแค่หกเดือน แต่ ตม.อาจจะปฏิเสธคุณหรือให้คุณเข้าแค่เดือนเดียวก็ได้
ไม่ใช่ว่าคุณเคยเข้ามาได้หกเดือนแล้วเค้าจะให้คุณอยู่หกเดือนได้อีกเหมือนครั้งก่อนๆ
ถ้าเค้าดูออกว่าคุณท้อง เค้าเช็คคุณละเอียดกว่าปกติแน่นอน ขอดูตั๋วกลับค่อนข้างแน่
ถ้าคุณจองไว้หลังจากนั้นไปแค่สองสามเดือน เค้าก็คิดแล้วว่าคุณกะจะมาคลอด เค้าก็ไม่ให้เข้าค่ะ
หรือถ้าจะจองไว้กะทิ้งกะเปลี่ยนแค่ไม่กี่วัน เค้าก็อาจจะสงสัยได้อีกว่าจะถ่อมาทำไมแค่เนี้ย
อย่าคิดว่ายอมเสียสละเพื่อลูก วีซ่าขาดก็ไม่เป็นไร ไม่กลับมาอีกก็ได้ เพราะมันอาจไม่ใช่แค่นั้น
แจ็คพ็อตขึ้นมาจริงๆ โดนตรวจเจอจังๆอาจต้องไปนอนคุกฝรั่งทั้งๆท้องแก่หรือพึ่งคลอดหมาดๆ
และโดนส่งตัวกลับมาก่อนที่จะจัดการเอกสารอะไรต่างๆให้ลูกเสร็จเรียบร้อย
ระวังอีกอย่าง คุณอาจจะทำให้เพื่อนคุณที่ให้ที่อยู่คุณพลอยเดือดร้อนซวยไปด้วยแถมพี่สาวคุณอีก

6. เอาตรงๆอีกเรื่อง ประสบการณ์เวิร์คของคุณที่มาอยู่ยาวแค่สี่เดือน เราว่าไม่พอ
มันต่างกันเยอะนะคะ การมาเที่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ แม้จะเคยมาเวิร์คก็เถอะ
มันไม่ใช่แค่ยอมลำบากตัวคุณเองนิดหน่อยเพื่ออนาคตของลูกอย่างที่คุณว่า
เราอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปี ทีแรกยังอยากจะกลับไปคลอดที่เมืองไทยเลย ไม่เห็นความจำเป็น
(เรายังไม่มีกรีนการ์ดและไม่ได้เป็นซิติเซ่น วีซ่านักเรียนโทเอกและทำงาน ถูกกฎหมายค่ะ)
ที่สุดท้ายอยู่คลอดที่นี่เพราะเราเคยแท้ง เรากลัวเดินทางไกลแล้วลูกเราจะเป็นอะไร
หมอทั้งที่นี่และที่เมืองไทยก็แนะนำว่าไม่ควรเดินทาง เราเลยยอมคลอดที่นี่
และอย่าคิดว่าคุณเคยซื้อรถ มีใบขับขี่ที่นี่แล้วจะทำแบบนั้นได้ง่ายๆกับคราวนี้
เพราะหมอที่นี่ ถ้าคุณพึ่งคลอดเค้าห้ามคุณขับรถค่ะ เพราะร่างกายคุณไม่พร้อม
ยิ่งถ้าสมมติว่าคุณผ่าคลอด ระยะเวลากว่าจะขับรถได้ก็บวกไปอีก
แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐอีกเหมือนกัน ว่าที่ไหนมีข้อห้ามอะไรแค่ไหน
เกิดอะไรขึ้นมาประกันอาจไม่จ่าย ถ้าคุณดื้อจะขับรถก่อนหมออนุญาต

7. คุณบอกว่ายอมจ่าย ยอมลำบากเพื่ออนาคตของลูก เราถามจริงๆคุ้มเหรอคะ
ลูกเราเป็นซิติเซ่นมีสิทธิเต็มที่ สมัครเป็นประธานาธิบดีได้ (555) เรายังไม่เห็นอะไรแตกต่าง
โอเค ถือพาสปอร์ตอเมริกาเดินทางไปไหนมาไหนง่ายกว่า หลายที่ไม่ต้องขอวีซ่า
แต่ถ้าครอบครัวคุณจะใช้ชีวิตที่เมืองไทย สามีคุณมีฐานะอยู่แล้ว มันจำเป็นเหรอคะ
ชีวิตคุณจะยุ่งยากกว่าอีก อย่างน้อยก็ตอนไปทำเรื่องย้ายลูกเข้าบ้านที่เมืองไทย
อยากให้ลูกมาเรียนต่อที่นี่ ก็เห็นมาเรียนกันได้ปีละหลายพันคน ไม่ต้องเป็นซิติเซ่น
ค่าเรียนอาจจะถูกกว่า แต่ถ้าไม่มีที่อยู่ที่นี่ เสียเรท out-of-state ก็แพงอยู่ดี
แล้วจะใช้สิทธิพลเมืองอเมริกันน่ะ หลายๆอย่างลูกคุณต้องจ่ายภาษีก่อนนะคะถึงทำได้
แล้วลูกคุณเป็นอเมริกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลกก็ยังต้องจ่ายภาษีค่ะ เสียสองต่อนะเอ้า
โตขึ้นมาถ้าเค้าทำงานอยู่เมืองไทย ก็ต้องจ่ายภาษีให้ทั้งสองประเทศ
ข้อดีมีค่ะ ไม่ใช่จะมีแต่ข้อเสีย แต่เมื่อเทียบกับที่คุณข้ามน้ำข้ามทะเลมา คิดดีๆนะคะว่าคุ้มมั้ย
เสี่ยงแรกคือคุณต้องเดินทางไกลในช่วงอายุครรภ์เยอะแล้ว บินนานด้วยนะ
เกิดอะไรขึ้นมาระหว่างเดินทาง มันคุ้มกันมั้ยคะ ที่เอาชีวิตตัวเองและลูกไปเสี่ยง
ไม่ได้แช่งนะคะ แต่เคยคิดถึงตรงนี้มั้ย ระวังคุณกับสามีจะเสียใจไปทั้งชีวิตนะคะ
เสี่ยงที่สอง ถ่อมาตั้งไกลเค้าไม่ให้เข้าประเทศ จบเลยทีนี้ เสียเงินโดยใช่เหตุ
เข้าใจค่ะว่ามีฐานะ แต่เก็บเงินตรงนี้ไว้ให้ลูกเข้าโรงเรียนดีๆกินอาหารดีๆจะดีกว่ามั้ย
แล้วยังความเสี่ยง ความลำบากต่างๆที่เราสาธยายมาทั้งหมด ถามอีกที คุ้มมั้ยคะ
อย่างถ้าคุณโดนแจ็คพ็อตซวยสุดๆต้องไปนอนคุกรอส่งตัวกลับตอนพึ่งคลอดหมาดๆเนี่ย
คุณว่าตอนนั้นคุณมองหน้าลูกคุณแล้วคุณจะรู้สึกยังไง เอาเค้ามาลำบากทำไมตัวแค่เนี้ย
แทนที่จะได้คลอดโรงพยาบาลเอกชนดีๆที่เมืองไทยมีครอบครัวอบอุ่นห้อมล้อมช่วยดูแล
ลูกเป็นอเมริกันก็จริงแต่แม่กลับเข้ามาประเทศเกิดลูกอีกไม่ได้เพราะโดนแบล็คลิสต์
เก็บเงินที่จะเอามาคลอดลูกตรงนี้เอาไว้ รักษาสถานะวีซ่าของตัวเองให้ใสสะอาดเอาไว้
อีกหน่อยพาลูกมาเที่ยวดิสนีย์เวิร์ลด์เปิดหูเปิดตามีความสุขกันทั้งครอบครัวดีกว่ามั้ย

เท่าที่อ่านดู ครอบครัวคุณมีฐานะทางสังคมที่ค่อนข้างดี
การที่ลูกคุณมาเกิดที่นี่ไม่ได้เพิ่มโอกาสอะไรให้ลูกคุณมากมายนักหรอกค่ะ
เพราะเค้าก็มีโอกาสที่ดีที่เมืองไทยที่มีครอบครัวพร้อมหน้าอยู่แล้ว
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
อืมมมม เมื่อไม่นานมานี้มีคนเพิ่งมาตั้งกระทู้ทำนองนี้ไป คนตอบเป็นทั้งคนไทยในอเมริกาและคนไทยในไทย คำตอบที่ได้ไปคงไม่ถูกใจจขกทคนนั้นถึงกับต้องขอแจ้งปิดกระทู้กันเลยทีเดียว เราตอบได้เท่าที่รู้และปสก. ที่เราคลอดที่อเมริกาเหมือนกันละกันนะคะ. แต่เราเป็นamerican citizenนะคะ แล้วมีประกันสุขภาพเรียบร้อยด้วย ขอบอกก่อนว่าที่เราจะบอกต่อไปนี้เป็นแค่เรื่องส่วนนึงที่คุณต้องเจอ ให้บอกทั้งหมดเราไม่สามารถเขียนบรรยายความลำบากออกมาได้หมดค่ะ ขนาดเราอยู่อเมริกามานานมาก มีญาติ มีเพื่อนมาก ภาษาถือว่าดีทีเดียวเพราะเราทำงานบริษัทอเมริกันค่ะ อีกอย่างที่สำคัญมากคือเราค่อนข้างรู้ขั้นตอนการขอเอกสารต่างๆทั้งของสถานทูตไทยทั้งทางฝั่งอเมริกันพอสมควรเลย ยังรู้สึกเลยว่าลำบาก
1. จากคำถามที่จะผ่าคลอดแล้วจะเลือกหมอไทยอีก เดาเอาว่าคุณคงไม่เคยมาอยู่ที่อเมริกาเป็นเวลานาน เป็นปีๆ ที่นี่เค้าไม่ผ่าคลอดให้หรอกค่ะ ถ้าไม่เป็นเหตุจำเป็นจริงๆ  ยิ่งถ้าคุณจะมาคลอดแบบcharity careหรือที่ไทยเรียกแบบคนไข้อนาถา ถ้าคุณมีสุขภาพดี เด็กสุขภาพดี ดูแล้วสามารถคลอดเองได้ เค้าไม่มีทางผ่าให้คุณแน่นอน
2. จะเลือกหมอไทย. เราว่าคงจะมีอยู่แต่เค้าจะรับคุณได้รึเปล่านั่นคือปัญหาค่ะ ไม่ทราบคุณรู้ขั้นตอนรึเปล่า ถึงคุณหาหมอไทยได้ แต่เค้าอยู่รพ. ที่เค้าไม่รับคุณ หมอก้อไม่สามารถทำคลอดให้คุณได้ค่ะ รพ. ที่นี่ต้างcheckดีๆ บางรพ. เค้าจะไม่รับคนไข้ที่อายุครรถ์เกินกว่าที่เค้ากำหนดนะคะ  แล้วพูดถึงอายุครรถ์ คุณมาก้อ 24wละไม่ว่าคุณจะมาคลอดแบบอนาถาหรือมาเสียตังค์ (ประมาณ 3หมื่น$เป็นอย่างน้อย)คุณต้องทำเอกสารก่อนค่ะเพราะคุณไม่ใช่คนที่นี่ อีกทีถึงคุณเลือกหมอไทยได้เค้าไม่ผ่าให้คุณหรอกค่ะ ถ้าคุณสามารถคลอดเองได้
3. คุณท้อง6เดือนเข้ามาในประเทศ ตม. เค้าไม่stampให้คุณ6เดือนหรอกค่ะ ถึงเค้าstampให้ คุณก้อกลับไม่ทันอยู่ดี อย่าลืมว่าไม่ใช่คลอดแล้ว สามารถหอบข้าวของกลับได้เลยนะคะ เด็กต้องมีpassportทั้งไทยทั้งอเมริกา ซึ่งเมื่อคุณคลอดน้องแล้วกว่าเค้าจะออกbirth certificateก้อ2 อาทิตย์อย่างน้อยนะคะ แล้วคุณถึงสามารถเอาbirth cert. ไปทำpassportได้ แล้วการไปขอpassportของทั้งสองประเทศ คุณต้องไปเองทั้งคู่ แล้วน้องก้อต้องไปด้วยนะคะ แล้วคุณก้อต้องกรอกเอกสารเองทุกอย่าง ซึ่งยุ่งยากพอสมควร หรือคุณจะจ้างทนายก้อได้ค่ะ แต่ค่าทนายเดาว่าคงแพงเอาเรื่องอยู่ พอคุณขอpassportแล้ว ยังต้องมีต้องรอpassportอีกนะคะ ของอเมริกันคุณสามารถขอแบบ expediteได้จะเอาอีก2วันถัดไปก้อได้ แต่ของไทยคุณต้องรอค่ะ ทุกอย่างนี้ ผู้ปกครองพร้อมเด็กต้องpresentนะคะ. คุณต้องเป็นคนคล่องในประเทศนี้พอตัวเลย.
4. ถ้าเกิดมาแล้ว ไม่ได้แช่งนะคะ น้องเกิดไม่สบายต้องอยู่ต่อ คุณต้องขอต่อvisa เค้ารู้ว่าคุณเข้ามาเป็นนักท่องเที่ยวแต่แอบมาคลอดลูก ครั้งต่อไปจะเข้าปท. เค้าอีก เดี๋ยวมีปัญหานะคะ เดี๋ยวนี้หลังจาก 9/11อย่าล้อเล่นกับตม.และรัฐบาล อเมริกันนะคะเค้าเอาจริง
5. เรื่องรถ คุณมีใบขับขี่อเมริกันเหรอคะ จะมาอยู่ตั้ง6เดือนไม่ใช่มาแป๊บๆ ใบขับขี่international เค้าไม่เอานะคะอีกอย่างคุณจะให้เพื่อนคุณซื้อรถให้ บอกไว้ก่อนรถที่นี่ถูกจริง แต่ไอ้ที่ซื้อมา2-3000$ เห็นซื้อมาต้องเอามาซ่อมอีกทุกรายกว่าจะขับได้ เสียเงินเสียเวลา หรือไม่งั้นคุณต้องซื้อแพงหน่อย6-7000 เอามาใช้ได้เลยไม่ต้องซ่อมแต่ถ้าอะไรเกิดขึ้นไม่ได้แช่งนะคะ เพื่อนคุณจะเดือดร้อนนะคะ เพราะรถไม่ใช่ชื่อคุณ แล้วอีกอย่างจะต้องซื้อประกันด้วย ต่อมาเรื่องการขายรถ นี่ก้อไม่ใช่ง่ายๆนะคะรถ
ไม่ใช่ผักปลา นอกจากคุณจะขายทิ้งแบบถูกๆ
6. ภาษานี่ก้อสำคัญนะคะ เพราะคราวนี้คุณต้องสื่อสารเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของเราและลูกนะคะมันไม่ใช่ศัพท์ที่ใช้กันทั่วไป
พิมพ์มานี่คิดว่าคงไม่ถูกใจจขกท.  ซักเท่าไหร่ ถือเอาซะว่าเป็น second opinionละกันนะคะ จะทำอะไรสุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับตัวเราค่ะ ย้ำอีกครั้งที่บอกไปนั่นแค่คร่าวๆนะคะ. โชคดีค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่