คำเตือนสำหรับ "สมาชิกมุสลิม" และ ความเข้าใจที่ดีสำหรับ "เพื่อนพุทธสมาชิก" ทุกๆท่านต่อหลักการของศาสนาอิสลาม

กระทู้นี้ ผมขออธิบายตามทัศนะ การสอนของศาสนาอิสลาม ในเรื่องการเกิดของมนุษย์ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับหลักการของพุทธศาสนาในเรื่องของผู้สร้างทุกๆชีวิตบนโลกนี้

แต่ผมมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ท่านพุทธสมาชิกได้เข้าใจ ถึงเรื่องราวทางจิตวิญญาณทางศาสนาอิสลาม, ในเรื่องความรับผิดชอบของจิตวิญญาณก่อนที่จะมาสถิตในการปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา, และจะนำไปสู่ความเข้าใจตามทัศนะของอิสลาม ในเรื่องที่ว่า เพราะเหตุใด ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ผู้ที่ไม่มีศาสนา” จึงมีคุณธรรมทางจิตใจ และการปฏิบัติ และสามารถที่อยู่ร่วมในสังคมของผู้ที่มีศาสนาได้ อย่างสงบในสังคม เช่นเดียวกับผู้ที่มีศาสนา

อัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ บัญญัติที่172 (7:172) บัญญัติไว้ว่า.

When thy Lord drew forth from the Children of Adam - from their loins - their descendants, and made them testify concerning themselves, (saying): "Am I not your Lord (who cherishes and sustains you)?"- They said: "Yea! We do testify!" (This), lest ye should say on the Day of Judgment: "Of this we were never mindful": [อัลกุรอาน7:172]

     ในที่นี้ผมจะไม่ใช้คำแปลภาษาไทยของผู้หนึ่งผู้ใด,เนื่องจากว่า เมื่ออ่านคำแปลภาษาไทยแล้วผู้อ่านจะสับสนไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง, ทั้งนี้เพราะว่า ในบัญญัตินี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับการเกิดและการเจริญเติบโตของมนุษย์ทางกายวิภาคและทางสรีระวิทยา, แต่เป็นเรื่องทางจิตวิญญาณก่อนที่ดวงวิญญาณจะมาสถิตในการปฏิสนธิของมนุษย์ในครรภ์ของมารดา

        ความหมายที่แท้จริงของบัญญัตินี้ก็คือว่า, ในขณะที่มนุษย์อยู่ในสภาพของจิตวิญญาณก่อนที่จะมาปฏิสนธิในครรภ์ของมารดานั้น,พระองค์อัลลอฮ์จะนำจิตวิญญาณของมนุษย์, ผู้ซึ่งจะเกิดมาเป็นลูกหลานท่านนบีอดัม ทุกๆดวงวิญญาณ,มาพร้อมกันและพระองค์ได้ทำให้ทุกๆดวงวิญญาณเหล่านั้น ตระหนักถึง ตัวเองหรือจิตวิญญาณเมื่อถึงวันครบกำหนด,ในสภาวะของการมีสติอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงเน้นย้ำให้จิตวิญญาณ เหล่านั้นรู้ว่ามี เอกพลานุภาพที่สูงสุดคือพระเจ้า ผู้สร้างที่ได้นำพวกเขาให้มีโอกาสดำรงสภาพอยู่บนโลกนี้, และพวกเขาจะต้องกลับไปสู่พระองค์ในวันตัดสิน, ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่เคยได้รับคำเตือนจากพระองค์มาก่อน.

       การรับรู้นี้คือผลที่แสดงออกมา ให้เราเข้าใจในสภาวะทางจิตซึ่งมีตามธรรมชาติ,ที่เราเรียกว่า   “สัญชาตญาณของมนุษย์”,  ซึ่งทำให้มนุษย์ มีความรับผิดชอบต่อความมีศรัทธา,หรือไม่มีศรัทธาของเขา, การกระทำความดี และ/หรือการกระทำความชั่วร้าย ของเขา

เมื่อถึงระยะนี้ บุคคลแต่ละคนจะ เป็นผู้ที่มีอิสระจากอิทธิพลของ ความผิดชอบชั่วดีที่อยู่ในสังคม,นั้นก็คือมีความรับผิดชอบในการกระทำของด้วยการตัดสินใจของเขาเอง (รวมทั้งผู้ที่ไม่มีศาสนาซึ่งมีคุณธรรมตามสัญชาตญาณ)

   ดังนั้นในทัศนะของศาสนาอิสลาม มนุษย์ทุกๆคนบนโลกนี้มีโอกาสที่จะเป็นผู้ที่มีความสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้า(เป็นมุสลิม)ได้ทุกๆคน เมื่อโอกาสอันนั้นมาถึง,  เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าและหลักการของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้อง, เขาเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้า.

   ดังนั้น ผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม  หรือผู้ที่ไม่มีศาสนา จึงไม่ใช่ “กาเฟร”, คำว่า “กาเฟร”  คือ คำที่ใช้เรียกบรรดาผู้ที่มีความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามแล้ว, และเขาได้รู้จักและมีความศรัทธาต่อพระเจ้าแล้ว, แต่ต่อมาภายหลังเขาปฏิเสธพระเจ้าและแนวทางของพระองค์, เขาผู้นั้นคือ “กาเฟร”.

    ซึ่งสภาพในการเป็น “กาเฟร”, ของเขาผู้นั้น, ไม่มีมุสลิมผู้ใดจะล่วงรู้หรือมีสิทธิตัดสินหรือเรียกผู้ใดว่าเป็น “กาเฟร” ได้, ไม่ว่ามนุษย์ด้วยกันจะเห็นหรือเข้าใจเองอย่างไรก็ตาม, นอกจากพระเจ้าเท่านั้นที่จะล่วงรู้ในจิตใจของเขาผู้นั้น ว่าเขาปฏิเสธพระองค์หรือไม่?

  ตามทัศนะของอิสลาม, ผู้ต่างศรัทธา หรือ ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิม คือ ผู้ที่ที่มีโอกาสที่จะเป็นมุสลิมได้ทุกๆคน, ในภายหลัง เมื่อเขาได้เข้าใจ หลักการของศาสนาอิสลามอย่างถุกต้อง, และมีความศรัทธาต่อพระเจ้าด้วยสัญชาตญาณของเขาเอง,ตามที่ได้ทำสัญญากับพระเจ้ามาก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์แล้ว.

    หน้าที่ของมุสลิมก็คือการเป็นมิตรที่ดีต่อผู้ต่างศรัทธา หรือ ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิม , มีความสุภาพต่อเขา,และให้ความรู้และเชิญชวนให้เขาเข้าถึงพระเจ้า ด้วยความสุภาพและอ่อนโยน, ใช้วาจาที่ดีกว่าหรือดีที่สุด, ห้ามแสดงความหยาบคายต่อผู้ต่างศรัทธา หรือ ผู้ที่ไม่ได้เป็นมุสลิม ไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้นเมื่อเกี่ยวกับการอธิบายหลักการของศาสนาอิสลาม,

  มุสลิมจะต้องให้โอกาสต่อความสงสัยของผู้ต่างศรัทธาได้ถามมุสลิมในทุกๆแง่ทุกๆมุม และ มุสลิมจะต้องมีความอดทนในการตอบคำถาม, อย่าใช้ความอ่อนแอทางจิตใจ แสดงความโกรธและความหยาบคายต่อเขา, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาสนาอิสลามห้ามเรียก พี่น้องมุสลิมด้วยกันและ/หรือผู้ต่างศรัทธาว่า  “พวกกาเฟร”.

มีฮาดีษบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า:
  
In the hadith Ibn Umar related that the Holy Prophet said: If a Muslim calls another kafir, then if he is a kafir let it be so; otherwise, he [the caller] is himself a kafir.'' (Abu Dawud, Book of Sunna, edition published by Quran Mahal, Karachi, vol. iii, p. 484)

ในฮาดีษนี้บอกให้มุสลิมทั้งหลาย ได้รับรู้ว่า ทางลัดไปสู่การหลุดจากศาสนาอิสลาม, กลายเป็น “การเฟร”, และมีโอกาสอยู่ในไฟนรกได้ภายในในพริบตาเดียว ก็คือ การเรียกผู้อื่นว่า “กาเฟร”, ถ้าเขาเป็นกาเฟรจริงก็เป็นเรื่องของเขาเราไม่เกี่ยว,แต่ถ้าเขาไม่ใช่”กาเฟร” แล้ว ผู้ที่เรียก(ประณาม) เขาว่า “กาเฟร” ตัวผู้เรียกเอง จะกลายเปน “กาเฟร” เอง (หลุดจากการเป็นมุสลิมทันที).

   ดังนั้นมุสลิมทั้งหลายควรที่จะเข้าใจและรำลึกอยู่เสมอว่า, ก่อนที่จะตัดสินผู้ใดหรือเรียกขานหรือประณามผู้ใดว่าเป็น “กาเฟร”, ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือผู้ต่างศรัทธาก็ตาม, สิ่งนั้น มันไม่ใช่สิทธิของมนุษย์,มันเป็นสิทธิของพระเจ้าเท่านั้น, พระองค์เท่านั้นคือผู้ที่ทรงล่วงรู้ว่า ผู้ใดที่ปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ได้ให้ไว้ต่อพระองค์ก่อนที่จะมาถือกำเกิดเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  อัลกุรอ่าน ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่