เบลเป็นนักวิ่ง เขาวิ่งเร็วมาตั้งแต่เด็กๆ
ตอนที่ไรอัน กิ๊กส์ในวัย 26 ปี บุกทำประตูอาเซนอล ในเกมรองรองชนะเิลิศ FA cup ใน
ปี 1999 เขาคงไม่ได้คิดว่า การยิงแสกหน้าซีแมนแล้วพาแมนยูชนะในรอบรองชนะเลิศ จะได้ให้กำเนิดนักฟุตบอลมากความสามารถขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
ตอนนั้น แกเร็ธ เบลพึ่งอายุ 9 ขวบ และเขาพึ่งหัดเล่นฟุตบอลได้ไม่นาน
ปี 2003 ตอนที่เซอร์ อเล็กเฟอร์กูสัน ตบบ่าคริสเตียโน โรนัลโด้ ในวัย 18 ปีและบอกให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 เพราะเป็นเสื้อของตำนานนักเตะแมนยูทุกคน
แกเร็ธ เบลที่อายุเพียง 14 ปียังคงง่วนอยู่กับการเป็นดาวโรงเรียนกีฬา เพราะความเป็นอัจฉริยะทางกีฬาแทบทุกแขนง ทั้งรักบี้,ฮอกกี้, ฟุตบอล รวมไปถึงกรีฑา และเขาพึ่งมีสถิติแรกของตัวเอง ในวัย 14 เขาสามารถทำความเร็ว 11.4 วินาทีในการวิ่ง 100 เมตร
ปี 2004 หนังเรื่อง Bend it Llike Beckham เข้าฉาย เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงการเป็นเทพเจ้าฟรีคิกแห่งยุคของเบคแฮม
ในตอนนั้นแกเร็ธ เบล พึ่งหัดใช้เท้าขวาในการเล่นฟุตบอล (เขาถนัดซ้าย)
เบลเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก และเก่งในกีฬาเกือบทุกประเภท ตอนอยู่ไฮสคูล เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งปีกซ้าย เพื่อนสนิทของเขาตอนนั้นคือ แซม วอร์เบอร์ตัน หรือ กัปตันทีมชาติรักบี้ของเวลส์ คนปัจจุบันนั่นเอง
เบล ต่างจากนักเตะมากพรสวรรค์คนอื่นๆ แม้จะเริ่มต้นอย่างดีในตอน 9 ขวบเนื่องจากมีแมวมองจากเซาธ์แทมตันมาทาบทาม แต่ เขาก็ยังคงเรียนในโรงเรียนปกติ ได้เล่นกีฬาหลากหลายประเภท จนกระทั่งพออายุ 14 เขาเริ่มได้โอกาสไปซ้อมบอลกับ ศูนย์ย่อยของเซาธ์แธมตันอคาเดมี่ในเมืองบาธ แต่เบลก็ยังคงโฟกัสกับชีวิตในโรงเรียนมัธยมมากว่า
เบลใช้ชีวิตแบบเด็กนักเรียน/นักกีฬาทั่วไป เขามีแข่งต่างโรงเรียน เอาชนะในการแข่งระดับเขต ประทับใจกับเกรด A ในวิชาพละศึกษา ตามประสานักเรียนไฮสคูล ตกเย็นก็กลับบ้านไปกินข้าวเย็นกับพ่อแม่ วันหยุดพ่อก็ขับรถพาไปเที่ยวต่างเมือง
เบลได้ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นธรรมดา มาตลอด
สมัยเรียน เบลเป็นที่ 1 ในเกมฟุตบอล แต่เบลมีจุดอ่อนคือ เขาถนัดซ้าย กวิน มอร์ริส ครูพละของเขาในตอนนั้น พยายามเปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดแข็ง ด้วยการบังคับให้เขาเล่นฟุตบอลด้วยเท้าข้างที่เขาไม่ถนัดมาตั้งแต่ตอนนั้น นั่นทำให้เบลสามารถทำประตูได้ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา จนกระทั่ง พอจบม.ปลาย เบลถึงได้เข้าร่วมในฟุตบอลอคาเดมี่อย่างจริงจัง ..
ฟุตบอลกลายเป็นอาชีพเมื่อตอน เบล อายุ 16
เทียบกับนักเตะคนอื่นๆแล้ว เบลเริ่มต้นกับฟุตบอลอาชีพได้ช้าเหลือเกิน
เบลจากบ้านในคาร์ดิฟ ไปเช่าแฟลตง่ายๆอยู่ใกล้กับที่ซ้อมในเซาธ์แธมตัน ครอบครัวของเขาต้องมาช่วยเขาแต่งห้องทุกๆสองสัปดาห์ เดบบี้ แม่ของเบลบอกว่า ลูกชายเป็นคนเรียบง่าย เป็นเด็กประเภทที่ต้องกลับบ้านไปกินข้าวเย็นทุกวัน แต่การมาอยู่ฟุตบอลอคาเดมี่ จะทำให้ชีวิตของเบลเปลี่ยนจาก เด็ก ม.ปลาย กลายเป็น นักฟุตบอลอาชีพ ทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เบลใช้เวลาในฟุตบอลอคาเดมี่เพียง 2 ปี ก็ได้เลื่อนชั้นมาเล่นกับทีมใหญ่ของเซาธ์แธมตัน และก็ผ่านไปเพียง 1 ฤดูกาลเท่านั้นเขาก็ถูกแมวมองทาบไปอยู่ท็อทแนม ฮอตสเปอร์สในปี 2007
การย้ายมาอยู่กับสเปอร์สในฤดูกาลแรกไม่น่าประทับใจนัก แม้ใน 4 แมตแรกเบลจะสามารถพังประตูได้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นขวัญใจแฟนๆในเวลาอันรวดเร็ว แต่มันก็เริ่มต้นเหมือนพลุไฟ ที่ระเบิดอย่างสวยงาม แล้วก็ดับลงอย่างรวเร็ว เบลไม่ได้โชว์ฟอร์มฮอตตลอด บวกกับอาการบาดเจ็บทำให้เขาต้องพักยาวหลายเดือน แม้เบลจะตัดสินใจต่อสัญญากับสเปอร์สในฤดูกาลถัดมา แต่เขาก็ไม่ได้มีช่วงที่น่าตื่นเต้นพอจะเรียกว่าเป็น ท๊อปฟอร์มได้อีกเลย แล้วเบลก็บาดเจ็บอีกครั้ง
ด้วยผลงานที่โดดเด่นตั้งแต่ตอนเล่นในทีมเยาวชนกับเซาธ์แธมตัน เบลถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 2006 ทำให้ในตอนนั้นเบลกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เวลส์ที่ได้ลงเล่นในเกมทีมชาติชุดใหญ่
แล้วเขาก็ได้กระทบไหล่กับ ไรอัน กิ๊กส์ เป็นครั้งแรก
เบลวัย 17 กับ กิ๊กส์วัย 34 ได้สวมเสื้อทีมชาติเวลส์สีแดงและเล่นฟุตบอลด้วยกันบนสนาม
เขาวิ่งไล่ตามความฝันของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
"ผมเหมือนกับไรอัน เราเป็นคนเวลส์ เราเกิดที่คาร์ดิฟฟ์ เราเล่นปีกซ้าย ผมดูเขามาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก"
เกมทีมชาติครั้งแรกของเบลตอนปี 2006 ในแมตกระชับมิตรทีมชาติเวลส์ พบกับทีมชาติบราซิล ที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลน
ภาพของเบลที่กำลังพยายามเบียดแย่งบอลจากไมคอนกองหลังทีมชาติบราซิล ทำให้เราเห็นว่าเบลทุ่มเทกับเกมมากแค่ไหน
และในปีต่อมา เมื่อไรอัน กิ๊กส์ ประกาศรีไทร์จากการเล่นฟุตบอลทีมชาติ
เบลก็ก้าวเข้ามาสวมเสื้อเบอร์ 11 ของไรอันกิ๊กส์ และ เป็นดั่งตัวแทนของเขาในที่สุด ..
ในฤดูกาล 2011-2012 เบลกลับมาเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ววงการอีกครั้ง ด้วยการระเบิดฟอร์มสุดติ่งจิงเกอเบล จนสามารถคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอาชีพ (การการโหวตโดยเพื่อนนักเตะด้วยกัน) 2 ปีติดต่อกัน
ด้วยฟอร์มอันดุเดือด การพุ่งเข้าทำเกมส์อันดุดัน รวมไปถึงวิธีการเล่นที่ช่างดูคุ้นตาเหลือเกินของเบล ทำให้มีการเปรียบเทียบว่า สไตล์การเล่นของเบล ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับใครบางคนที่เคยได้รางวัลเดียวกับเขา 2 ปีติด
"มีคนบอกว่าสไตล์ของผมกับโรนัลโด้คล้ายกัน แต่...ผมจะไม่เอาเขาเป็นต้นแบบในการเล่นทั้งหมดหรอกนะ ผมมีสไตล์ของผมเอง..."
แกเร็ธ เบล หนุ่มน้อยสุดฮอตร้อนฉ่าแห่งวงการลูกหนัง ให้สัมภาษณ์แบบไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก แต่เพราะ หลายๆคนต่างถามคำถามนี้กับเขาบ่อยเหลือเกิน
แม้ฟอร์มอันแสนกระฉูดติ้งของเบล จะำทำเอาแฟนบอลและสื่อฯต่างตื่นตาตื่นใจ จนเอาเขาไปเขียนข่าวและวิ่งหาคิวสัมภาษณ์เขาให้วุ่น แต่เบลกลับบอกว่า "เขาไม่เห็นจะเข้าใจ ที่พวกสื่อพยายามเปรียบเทียบตรงไหน"
"เอาล่ะผมยอมรับว่าผมก็ติดตามดูผลงานของนักเตะเก่งๆ เมซซี่ และ โรนัลโด้ เป็นหนึ่งในนั้น แต่อย่าเอาผมไปเทียบกับโรนัลโด้เลย ผมมีสไตล์ของตัวเอง ผมยอมรับว่าเรามีส่วนคล้ายกัน แต่การดูคนอื่นเล่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องเลียนแบบ เราดูฟอร์มของนักเตะเก่งๆ เพื่อหันกลับมาพัฒนาสกิลของตัวเองครับ"
ครั้งหนึ่ง เบล เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาจดจำทักษะการยิงแบบ Dipping shot มาจาก โรนัลโด้ "สำหรับการยิงแบบนั้น เขาเป็นต้นแบบที่ดีมาก ... ครับ ดีกว่าเมซซี่" (นักข่าวถามคำถามให้เปรียบเทียบว่าสกิลของทั้งสองคน ใครคนไหนมีผลกับเบลมากกว่ากัน)
ปัจจุบัน เบลกลายเป็นนักเตะที่มีสถิติการครองบอลสูงกว่าต้นแบบของเขา อย่างคริสเตียโน โรนัลโด้ ไปแล้ว
และเมื่อพูดถึงเทคนิคการยิง และ การทำประตูหลากหลายรูปแบบ เบลก็ยังคงเอ่ยถึงโรนัลโด้
"ผมฝึกหนักมาก คุณก็รู้ว่า การยิงฟรีคิกแบบนี้ โรนัลโด้ทำได้ดีแค่ไหน วิธีที่เขายิง สไตล์ที่เขาเล่น มันเหมาะเจาะลงตัวไปหมด นักเตะหลายคนพยายามทำให้ได้แบบนั้น และก็ขอบคุณมาก มันเวิร์คนะ ผมได้ยิงลูกแบบนั้น 3 ลูกในฤดูกาลนี้ (2012-2013)"
"ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสดูการซ้อมยิงฟรีคิกของเดวิด เบคแฮมตอนที่เขามาที่สโมสรเรา มันสุดยอดมากๆ เดวิดซ้อมยิงฟรีคิกตลอดเวลา ผมถึงเข้าใจว่า เราต้องฝึกหนักมากแค่ไหน .. กว่าจะได้เป็นสุดยอดแบบนั้น "
Dipping shot : Cristiano Ronaldo
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Dipping shot : Cristiano Ronaldo vs Gareth Bale
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"ใครก็ชอบให้ถูกพูดถึงในฐานะนักเตะยอดเยี่ยมของโลกทั้งนั้นแหละครับ...
แต่มันดูยกยอเกินเหตุ ผมไม่ได้ใกล้เคียงขนาดนั้น ผมไม่ค่อยได้ตามข่าวหรืออ่านหนังสือพิมพ์ แต่เพื่อนๆมักจะมาเล่าให้ฟัง มีคนชอบเปรียบว่าผมเป็น นิว ไรอันกิ๊กส์,นิว โรนัลโด้ นั่นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ผมจะบอกว่า ผมก็คือ ผม ผมอยากสร้างชื่อด้วยชื่อของตัวเอง ..."
เบลไฝ่ฝันถึงการพิสูจน์ตัวเองในต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว เขาเคยให้สัมภาษณ์ไม่นาน ก่อนที่สโมสรจะเสียโมดริชไปให้ รีล มาดริด ว่า
"สำหรับผมแล้ว ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ คุณลองดูเดวิดสิ เขาประสบความสำเร็จแค่ไหน ทั้ง พรีเมียร์,ลาลีกา และ ซีรีอา นั่นได้พิสูจน์ความสามารถของเขาแล้วอย่างแท้จริง
โรนัลโด้เอง ก็เคยทำได้ที่นี่ และตอนนี้ที่สเปน นั่นคือสิ่งคุณกำลังเพิ่มพูนความสามารถในวัฒนธรรมฟุตบอลที่ต่างออกไป ผมว่ามันน่าตื่นเต้นมาก ..."
"ผมมีความสุขกับสเปอร์สนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฮรี่ เขาปล่อยพวกเรามากๆ เราเ่ล่นแบบที่เราต้องการได้ เขาเป็นประเภทที่ว่า
'ออกไปตรงนั้น และเล่นแบบที่ปลดปล่อยตัวเองซะไอ้หนู' เขาให้ความมั่นใจผมอย่างมาก นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมทำได้ดีบนสนาม"
แม้สเปอร์สแทบจะสมบูรณ์แบบแล้วสำหรับเบล แต่สำหรับเด็กผู้ชาย และ สำหรับนักฟุตบอลคนหนึ่ง เบลยังมีความฝันที่ต้องไล่ตาม ..
ตอนที่คริสเตียโน โรนัลโด้ ทำแฮทริคในเกมแชมเปียนลีกส์ เบลทวิตเตอร์ถึงคริส และชื่นชมเขาอย่างเปิดเผย
แต่ในวันนี้ เบลอาจไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว
ตอนนี้ เขาสามารถกระโดดกอดแสดงความดีใจกับโรนัลโด้ได้ด้วยตัวเอง
เบลวิ่งทันความฝันตัวเองได้อีกครั้ง ...
แต่ความฝันที่แท้จริงของเบลอาจไม่ใช่โรนัลโด้ ความฝันของเขาคือ "โอกาสในการเล่นฟุตบอลที่แตกต่าง"
"ผมรู้ว่ามีหลายคนต่างพูดถึงความปรารถนาที่จะได้เล่นให้กับสโมสรในฝัน ตอนที่พวกเขาเป็นเด็กๆ แต่ผมพูดได้เลยนะอย่างบริสุทธิ์ใจ ฝันผมกลายเป็นจริงแล้วครับ"
กาเร็ธ เบลให้สัมภาษณ์ในวันที่ประกาศย้ายทีมอย่างเป็นทางการ
"ผมหวังว่าแฟนๆจะเข้าใจโอกาสสุดพิเศษเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม"
ในฤดูกาลที่แล้ว (2012-2013) แกเรธเบลวัย 23 สามารถทำความเร็วสูงสุดบนสนามที่ 22 mph
ขณะที่โรนัลโด้ ด้วยวัย 27 เขา วิ่งไล่กวดบอลบนสนามในเกมพบ แอตฯ มาดริด เป็นระยะทาง 96 เมตร ด้วยความเร็ว 10 วินาที หรือ 24.38 mph
เจ้าของสถิติโลกอย่างยูเชียน โบลต์ ทำความเร็วสูงสุดไว้ที่ 100 เมตร ความเร็ว 27 mph
หากนับนัดที่ทั้งคู่ลงแข่งเท่ากัน เบลมีโอกาสอยู่บนสนามนานกว่า แต่โรนัลโด้สามารถทำประตูได้ 1 เท่าที่เบลทำ
ณ ตอนนี้ เบลทำได้ดีที่สุดในฐานะนักเตะในพรีเมียร์ลีกส์แล้ว ...
และหากโรนัลโด้เป็นดั่งเป้าหมายที่เขาต้องก้าวข้าม
แม้เบลจะวิ่งได้เร็วแค่ไหน และเป็นเลิศในพรีเมียร์ลีกส์เท่าไร เขาก็ยังตามหลังโรนัลโด้อยู่ช่วงหนึ่งอยู่ดี
การที่เขาได้ย้ายมายัง Real Madrid จะเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เขาได้พิสูจน์ตัวเอง ...
ที่เบลต้องทำคือ วิ่งให้เร็วกว่านี้ ..
... Gareth Bale เด็กชายนักวิ่ง ผู้ไล่ตามความฝันบนผืนหญ้า ...
เบลเป็นนักวิ่ง เขาวิ่งเร็วมาตั้งแต่เด็กๆ
ตอนที่ไรอัน กิ๊กส์ในวัย 26 ปี บุกทำประตูอาเซนอล ในเกมรองรองชนะเิลิศ FA cup ในปี 1999 เขาคงไม่ได้คิดว่า การยิงแสกหน้าซีแมนแล้วพาแมนยูชนะในรอบรองชนะเลิศ จะได้ให้กำเนิดนักฟุตบอลมากความสามารถขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
ตอนนั้น แกเร็ธ เบลพึ่งอายุ 9 ขวบ และเขาพึ่งหัดเล่นฟุตบอลได้ไม่นาน
ปี 2003 ตอนที่เซอร์ อเล็กเฟอร์กูสัน ตบบ่าคริสเตียโน โรนัลโด้ ในวัย 18 ปีและบอกให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 เพราะเป็นเสื้อของตำนานนักเตะแมนยูทุกคน
แกเร็ธ เบลที่อายุเพียง 14 ปียังคงง่วนอยู่กับการเป็นดาวโรงเรียนกีฬา เพราะความเป็นอัจฉริยะทางกีฬาแทบทุกแขนง ทั้งรักบี้,ฮอกกี้, ฟุตบอล รวมไปถึงกรีฑา และเขาพึ่งมีสถิติแรกของตัวเอง ในวัย 14 เขาสามารถทำความเร็ว 11.4 วินาทีในการวิ่ง 100 เมตร
ปี 2004 หนังเรื่อง Bend it Llike Beckham เข้าฉาย เป็นการยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงการเป็นเทพเจ้าฟรีคิกแห่งยุคของเบคแฮม
ในตอนนั้นแกเร็ธ เบล พึ่งหัดใช้เท้าขวาในการเล่นฟุตบอล (เขาถนัดซ้าย)
เบลเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก และเก่งในกีฬาเกือบทุกประเภท ตอนอยู่ไฮสคูล เขาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งปีกซ้าย เพื่อนสนิทของเขาตอนนั้นคือ แซม วอร์เบอร์ตัน หรือ กัปตันทีมชาติรักบี้ของเวลส์ คนปัจจุบันนั่นเอง
เบล ต่างจากนักเตะมากพรสวรรค์คนอื่นๆ แม้จะเริ่มต้นอย่างดีในตอน 9 ขวบเนื่องจากมีแมวมองจากเซาธ์แทมตันมาทาบทาม แต่ เขาก็ยังคงเรียนในโรงเรียนปกติ ได้เล่นกีฬาหลากหลายประเภท จนกระทั่งพออายุ 14 เขาเริ่มได้โอกาสไปซ้อมบอลกับ ศูนย์ย่อยของเซาธ์แธมตันอคาเดมี่ในเมืองบาธ แต่เบลก็ยังคงโฟกัสกับชีวิตในโรงเรียนมัธยมมากว่า
เบลใช้ชีวิตแบบเด็กนักเรียน/นักกีฬาทั่วไป เขามีแข่งต่างโรงเรียน เอาชนะในการแข่งระดับเขต ประทับใจกับเกรด A ในวิชาพละศึกษา ตามประสานักเรียนไฮสคูล ตกเย็นก็กลับบ้านไปกินข้าวเย็นกับพ่อแม่ วันหยุดพ่อก็ขับรถพาไปเที่ยวต่างเมือง
เบลได้ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นธรรมดา มาตลอด
สมัยเรียน เบลเป็นที่ 1 ในเกมฟุตบอล แต่เบลมีจุดอ่อนคือ เขาถนัดซ้าย กวิน มอร์ริส ครูพละของเขาในตอนนั้น พยายามเปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดแข็ง ด้วยการบังคับให้เขาเล่นฟุตบอลด้วยเท้าข้างที่เขาไม่ถนัดมาตั้งแต่ตอนนั้น นั่นทำให้เบลสามารถทำประตูได้ทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวา จนกระทั่ง พอจบม.ปลาย เบลถึงได้เข้าร่วมในฟุตบอลอคาเดมี่อย่างจริงจัง ..
ฟุตบอลกลายเป็นอาชีพเมื่อตอน เบล อายุ 16
เทียบกับนักเตะคนอื่นๆแล้ว เบลเริ่มต้นกับฟุตบอลอาชีพได้ช้าเหลือเกิน
เบลจากบ้านในคาร์ดิฟ ไปเช่าแฟลตง่ายๆอยู่ใกล้กับที่ซ้อมในเซาธ์แธมตัน ครอบครัวของเขาต้องมาช่วยเขาแต่งห้องทุกๆสองสัปดาห์ เดบบี้ แม่ของเบลบอกว่า ลูกชายเป็นคนเรียบง่าย เป็นเด็กประเภทที่ต้องกลับบ้านไปกินข้าวเย็นทุกวัน แต่การมาอยู่ฟุตบอลอคาเดมี่ จะทำให้ชีวิตของเบลเปลี่ยนจาก เด็ก ม.ปลาย กลายเป็น นักฟุตบอลอาชีพ ทันที
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เบลใช้เวลาในฟุตบอลอคาเดมี่เพียง 2 ปี ก็ได้เลื่อนชั้นมาเล่นกับทีมใหญ่ของเซาธ์แธมตัน และก็ผ่านไปเพียง 1 ฤดูกาลเท่านั้นเขาก็ถูกแมวมองทาบไปอยู่ท็อทแนม ฮอตสเปอร์สในปี 2007
การย้ายมาอยู่กับสเปอร์สในฤดูกาลแรกไม่น่าประทับใจนัก แม้ใน 4 แมตแรกเบลจะสามารถพังประตูได้อย่างต่อเนื่อง จนเป็นขวัญใจแฟนๆในเวลาอันรวดเร็ว แต่มันก็เริ่มต้นเหมือนพลุไฟ ที่ระเบิดอย่างสวยงาม แล้วก็ดับลงอย่างรวเร็ว เบลไม่ได้โชว์ฟอร์มฮอตตลอด บวกกับอาการบาดเจ็บทำให้เขาต้องพักยาวหลายเดือน แม้เบลจะตัดสินใจต่อสัญญากับสเปอร์สในฤดูกาลถัดมา แต่เขาก็ไม่ได้มีช่วงที่น่าตื่นเต้นพอจะเรียกว่าเป็น ท๊อปฟอร์มได้อีกเลย แล้วเบลก็บาดเจ็บอีกครั้ง
ด้วยผลงานที่โดดเด่นตั้งแต่ตอนเล่นในทีมเยาวชนกับเซาธ์แธมตัน เบลถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 2006 ทำให้ในตอนนั้นเบลกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เวลส์ที่ได้ลงเล่นในเกมทีมชาติชุดใหญ่
แล้วเขาก็ได้กระทบไหล่กับ ไรอัน กิ๊กส์ เป็นครั้งแรก
เบลวัย 17 กับ กิ๊กส์วัย 34 ได้สวมเสื้อทีมชาติเวลส์สีแดงและเล่นฟุตบอลด้วยกันบนสนาม
เขาวิ่งไล่ตามความฝันของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
"ผมเหมือนกับไรอัน เราเป็นคนเวลส์ เราเกิดที่คาร์ดิฟฟ์ เราเล่นปีกซ้าย ผมดูเขามาตลอดตั้งแต่ยังเด็ก"
เกมทีมชาติครั้งแรกของเบลตอนปี 2006 ในแมตกระชับมิตรทีมชาติเวลส์ พบกับทีมชาติบราซิล ที่สนามไวท์ ฮาร์ทเลน
ภาพของเบลที่กำลังพยายามเบียดแย่งบอลจากไมคอนกองหลังทีมชาติบราซิล ทำให้เราเห็นว่าเบลทุ่มเทกับเกมมากแค่ไหน
และในปีต่อมา เมื่อไรอัน กิ๊กส์ ประกาศรีไทร์จากการเล่นฟุตบอลทีมชาติ
เบลก็ก้าวเข้ามาสวมเสื้อเบอร์ 11 ของไรอันกิ๊กส์ และ เป็นดั่งตัวแทนของเขาในที่สุด ..
ในฤดูกาล 2011-2012 เบลกลับมาเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ววงการอีกครั้ง ด้วยการระเบิดฟอร์มสุดติ่งจิงเกอเบล จนสามารถคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอาชีพ (การการโหวตโดยเพื่อนนักเตะด้วยกัน) 2 ปีติดต่อกัน
ด้วยฟอร์มอันดุเดือด การพุ่งเข้าทำเกมส์อันดุดัน รวมไปถึงวิธีการเล่นที่ช่างดูคุ้นตาเหลือเกินของเบล ทำให้มีการเปรียบเทียบว่า สไตล์การเล่นของเบล ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับใครบางคนที่เคยได้รางวัลเดียวกับเขา 2 ปีติด
"มีคนบอกว่าสไตล์ของผมกับโรนัลโด้คล้ายกัน แต่...ผมจะไม่เอาเขาเป็นต้นแบบในการเล่นทั้งหมดหรอกนะ ผมมีสไตล์ของผมเอง..."
แกเร็ธ เบล หนุ่มน้อยสุดฮอตร้อนฉ่าแห่งวงการลูกหนัง ให้สัมภาษณ์แบบไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก แต่เพราะ หลายๆคนต่างถามคำถามนี้กับเขาบ่อยเหลือเกิน
แม้ฟอร์มอันแสนกระฉูดติ้งของเบล จะำทำเอาแฟนบอลและสื่อฯต่างตื่นตาตื่นใจ จนเอาเขาไปเขียนข่าวและวิ่งหาคิวสัมภาษณ์เขาให้วุ่น แต่เบลกลับบอกว่า "เขาไม่เห็นจะเข้าใจ ที่พวกสื่อพยายามเปรียบเทียบตรงไหน"
"เอาล่ะผมยอมรับว่าผมก็ติดตามดูผลงานของนักเตะเก่งๆ เมซซี่ และ โรนัลโด้ เป็นหนึ่งในนั้น แต่อย่าเอาผมไปเทียบกับโรนัลโด้เลย ผมมีสไตล์ของตัวเอง ผมยอมรับว่าเรามีส่วนคล้ายกัน แต่การดูคนอื่นเล่นไม่ได้หมายความว่าผมต้องเลียนแบบ เราดูฟอร์มของนักเตะเก่งๆ เพื่อหันกลับมาพัฒนาสกิลของตัวเองครับ"
ครั้งหนึ่ง เบล เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาจดจำทักษะการยิงแบบ Dipping shot มาจาก โรนัลโด้ "สำหรับการยิงแบบนั้น เขาเป็นต้นแบบที่ดีมาก ... ครับ ดีกว่าเมซซี่" (นักข่าวถามคำถามให้เปรียบเทียบว่าสกิลของทั้งสองคน ใครคนไหนมีผลกับเบลมากกว่ากัน)
ปัจจุบัน เบลกลายเป็นนักเตะที่มีสถิติการครองบอลสูงกว่าต้นแบบของเขา อย่างคริสเตียโน โรนัลโด้ ไปแล้ว
และเมื่อพูดถึงเทคนิคการยิง และ การทำประตูหลากหลายรูปแบบ เบลก็ยังคงเอ่ยถึงโรนัลโด้
"ผมฝึกหนักมาก คุณก็รู้ว่า การยิงฟรีคิกแบบนี้ โรนัลโด้ทำได้ดีแค่ไหน วิธีที่เขายิง สไตล์ที่เขาเล่น มันเหมาะเจาะลงตัวไปหมด นักเตะหลายคนพยายามทำให้ได้แบบนั้น และก็ขอบคุณมาก มันเวิร์คนะ ผมได้ยิงลูกแบบนั้น 3 ลูกในฤดูกาลนี้ (2012-2013)"
"ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสดูการซ้อมยิงฟรีคิกของเดวิด เบคแฮมตอนที่เขามาที่สโมสรเรา มันสุดยอดมากๆ เดวิดซ้อมยิงฟรีคิกตลอดเวลา ผมถึงเข้าใจว่า เราต้องฝึกหนักมากแค่ไหน .. กว่าจะได้เป็นสุดยอดแบบนั้น "
Dipping shot : Cristiano Ronaldo
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Dipping shot : Cristiano Ronaldo vs Gareth Bale
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"ใครก็ชอบให้ถูกพูดถึงในฐานะนักเตะยอดเยี่ยมของโลกทั้งนั้นแหละครับ...
แต่มันดูยกยอเกินเหตุ ผมไม่ได้ใกล้เคียงขนาดนั้น ผมไม่ค่อยได้ตามข่าวหรืออ่านหนังสือพิมพ์ แต่เพื่อนๆมักจะมาเล่าให้ฟัง มีคนชอบเปรียบว่าผมเป็น นิว ไรอันกิ๊กส์,นิว โรนัลโด้ นั่นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ผมจะบอกว่า ผมก็คือ ผม ผมอยากสร้างชื่อด้วยชื่อของตัวเอง ..."
เบลไฝ่ฝันถึงการพิสูจน์ตัวเองในต่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว เขาเคยให้สัมภาษณ์ไม่นาน ก่อนที่สโมสรจะเสียโมดริชไปให้ รีล มาดริด ว่า
"สำหรับผมแล้ว ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ คุณลองดูเดวิดสิ เขาประสบความสำเร็จแค่ไหน ทั้ง พรีเมียร์,ลาลีกา และ ซีรีอา นั่นได้พิสูจน์ความสามารถของเขาแล้วอย่างแท้จริง
โรนัลโด้เอง ก็เคยทำได้ที่นี่ และตอนนี้ที่สเปน นั่นคือสิ่งคุณกำลังเพิ่มพูนความสามารถในวัฒนธรรมฟุตบอลที่ต่างออกไป ผมว่ามันน่าตื่นเต้นมาก ..."
"ผมมีความสุขกับสเปอร์สนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฮรี่ เขาปล่อยพวกเรามากๆ เราเ่ล่นแบบที่เราต้องการได้ เขาเป็นประเภทที่ว่า 'ออกไปตรงนั้น และเล่นแบบที่ปลดปล่อยตัวเองซะไอ้หนู' เขาให้ความมั่นใจผมอย่างมาก นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมทำได้ดีบนสนาม"
แม้สเปอร์สแทบจะสมบูรณ์แบบแล้วสำหรับเบล แต่สำหรับเด็กผู้ชาย และ สำหรับนักฟุตบอลคนหนึ่ง เบลยังมีความฝันที่ต้องไล่ตาม ..
ตอนที่คริสเตียโน โรนัลโด้ ทำแฮทริคในเกมแชมเปียนลีกส์ เบลทวิตเตอร์ถึงคริส และชื่นชมเขาอย่างเปิดเผย
แต่ในวันนี้ เบลอาจไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว
ตอนนี้ เขาสามารถกระโดดกอดแสดงความดีใจกับโรนัลโด้ได้ด้วยตัวเอง
เบลวิ่งทันความฝันตัวเองได้อีกครั้ง ...
แต่ความฝันที่แท้จริงของเบลอาจไม่ใช่โรนัลโด้ ความฝันของเขาคือ "โอกาสในการเล่นฟุตบอลที่แตกต่าง"
"ผมรู้ว่ามีหลายคนต่างพูดถึงความปรารถนาที่จะได้เล่นให้กับสโมสรในฝัน ตอนที่พวกเขาเป็นเด็กๆ แต่ผมพูดได้เลยนะอย่างบริสุทธิ์ใจ ฝันผมกลายเป็นจริงแล้วครับ"
กาเร็ธ เบลให้สัมภาษณ์ในวันที่ประกาศย้ายทีมอย่างเป็นทางการ
"ผมหวังว่าแฟนๆจะเข้าใจโอกาสสุดพิเศษเช่นนี้ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม"
ในฤดูกาลที่แล้ว (2012-2013) แกเรธเบลวัย 23 สามารถทำความเร็วสูงสุดบนสนามที่ 22 mph
ขณะที่โรนัลโด้ ด้วยวัย 27 เขา วิ่งไล่กวดบอลบนสนามในเกมพบ แอตฯ มาดริด เป็นระยะทาง 96 เมตร ด้วยความเร็ว 10 วินาที หรือ 24.38 mph
เจ้าของสถิติโลกอย่างยูเชียน โบลต์ ทำความเร็วสูงสุดไว้ที่ 100 เมตร ความเร็ว 27 mph
หากนับนัดที่ทั้งคู่ลงแข่งเท่ากัน เบลมีโอกาสอยู่บนสนามนานกว่า แต่โรนัลโด้สามารถทำประตูได้ 1 เท่าที่เบลทำ
ณ ตอนนี้ เบลทำได้ดีที่สุดในฐานะนักเตะในพรีเมียร์ลีกส์แล้ว ...
และหากโรนัลโด้เป็นดั่งเป้าหมายที่เขาต้องก้าวข้าม
แม้เบลจะวิ่งได้เร็วแค่ไหน และเป็นเลิศในพรีเมียร์ลีกส์เท่าไร เขาก็ยังตามหลังโรนัลโด้อยู่ช่วงหนึ่งอยู่ดี
การที่เขาได้ย้ายมายัง Real Madrid จะเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้เขาได้พิสูจน์ตัวเอง ...
ที่เบลต้องทำคือ วิ่งให้เร็วกว่านี้ ..