นิทานชาวสวน ๑ ก.ย.๕๖

กระทู้สนทนา
นิทานชาวสวน

ทุรทัศนาจรน้ำตกแม่กลาง

"เทพารักษ์"

ตอนที่ ๒

อีกพักใหญ่ ๆ รถก็มาถึงสันป่าตอง ผู้โดยสารบนรถลงที่นี่กันเกือบหมด เด็กกระเป๋าเข้ามาเก็บค่าโดยสารคนละ ๕ บาท พลางไต่ถามว่าจะไปไหนกัน พอรู้ว่าเราจะไปน้ำตกแม่กลางโดยจักรยานที่ผูกไว้บนหลังคา ในอัตรา ๒ คันต่อ ๓ คน หมอทำหน้าเหมือนกับจะสมเพทเวทนาเสียเต็มประดา

“คุณจะไปไหวหรือครับ ทางตั้ง ๑๑ โล ไม่ใช่ถนนเรียบ ๆ อย่างนี้ด้วย” เขาว่า

“ไม่เป็นไรหรอก เราไปกันได้ “

ใครก็ไม่รู้ในกระบวนพวกเราตอบออกไปอย่างภาคภูมิ

“ อย่าไปเลยครับ เชื่อผมเถอะ ทางขึ้นเขานะครับ ขี่จักรยานกว่าจะถึงน่องโป่งแน่ ให้ผมไปส่งดีกว่า คิดราคาอย่างกันเองครับ พวกผมจะได้อาศัยไปเที่ยวด้วย ”

“เท่าไหร่” ผมกัดฟันถามออกไป

“ไปกลับคิดร้อยเดียวเท่านั้นเองครับ”

เราสามคนหันมามองหน้ากันอย่างลังเล ความจริงนั้นนับว่าไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับราคาที่เราไปสืบถามดูในเชียงใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่ามาก สำหรับงบประมาณอันกระจ้อยร่อยของเราอยู่ดี ประกอบกับเสียดายความตั้งใจเดิม ที่จะลองผจญภัยดูสักครั้ง จึงตอบปฏิเสธไป

หมอนั่นยังไม่ยอมถอย คงเจรจาหว่านล้อมต่อไปอีก พยายามวาดภาพทางไปน้ำตกแม่กลาง ให้เราหวาดเสียวเหมือนอย่างเส้นทางไปค้นหาสมบัติพระศุลีนั่นเชียว เมื่อเห็นเราไม่ยอมฟัง ก็เปลี่ยนเป็นออดอ้อนวิงวอนต่าง ๆ นานา ยังขาดอยู่แต่จะปูผ้าลงคำนับเอาศีรษะโขกพื้น จนเลือดไหลอาบไปเท่านั้น ครั้นเห็นพวกเรายังยืนกระต่ายหกขาอบู่อย่างเดิม ก็สำทับเป็นคำตายว่า

“ตามใจคุณเถอะ อยากจะไปลำบากก็เชิญ ผมเชื่อว่าพอคุณไปได้สักครึ่งทาง คุณก็อยากจะกลับมากกว่า แล้วคุณจะนึกถึงผม”

ว่าเข้าให้นั่นมันบลั๊ฟกันชัด ๆ ผมเลยตัดบทไปว่า

“เอาเถอะ ขอบใจที่หวังดี ถ้ามันลำบากลำบนมากนัก เราก็จะเดินไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย”

หมอนั่นจึงยอมถอยไป ด้วยสีหน้าที่แม้แต่สุนัขดุ ๆ ก็คงไม่ยอมเข้าใกล้เป็นแน่

รถเมล์ควบตะบึงต่อไปอีก บนเส้นทางซึ่งคราวนี้ไม่มีร่องรอยของการราดยางหลงเหลืออยู่เลย ทั้งกระแทกกระทั้น ทั้งฟัดทั้งเหวี่ยง จนแทบจะนั่งไม่ติด อีกพักหนึ่งก็มาถึงบ้านสามหลัง รถจอดส่งคนโดยสารลงจนหมดเหลือแต่เราเพียงสามคน คนขับกลับรถเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปนั่งที่ร้านข้าวแกง ทำทองไม่รู้ร้อนสียยังงั้นแหละ เราสงสัยจึงเรียกกระเป๋ามาถามไถ่ดู ก็ได้ความว่าเขาจะกลับเชียงใหม่ และจะส่งเราเพียงแค่นี้ โดยอ้างว่ามีผู้โดยสารไม่ถึงห้าคนเขาไปไม่ได้

เราเถียงว่าเขาไม่ได้บอกเรา ถึงเงื่อนไขที่ประหลาดที่สุดในโลกอันนี้ เมื่อเป็นรถประจำทาง จากเชียงใหม่ถึงจอมทอง ก็ชอบที่จะไปให้ถึงจอมทอง ไม่ว่าจะมีผู้โดยสารหรือไม่ก็ตาม เช่นอย่างรถเมล์ที่ดีทั้งหลายในโลกเขาปฏิบัติกัน แต่หมอนั่น ซึ่งบัดนี้ได้ลอกคราบเด็กกระเป๋าออกแล้ว กลายเป็นเจ้าของรถคันนั้นเอง ยืนกรานที่จะส่งแค่นี้ เราจะหอบหิ้วกันไปให้ถึงจอมทองได้ยังไงก็ตามใจ ตอนนี้เราเถียงกันอย่างน่าดำหน้าแดง ยังแต่ไม่ได้กระโดดลงไปท้าต่อยท้าตีกันข้างล่างเท่านั้น เพราะถึงมัน(ผมไม่เสียใจเลยที่จะเรียกเช่นนี้) จะมีจำนวนสามทั้งคนชับและผู้ช่วย เท่า ๆ กับพวกเราก็ตามทีเถอะ แต่เมื่อรวมน้ำหนักกันแล้ว เราคงจะเบากว่าพวกมัน หลายโลทีเดียว

“ลื้อว่ามีผู้โดยสารห้าคน ถึงจะไปใช่ไหม ?” นายออดสรุป

“ใช่” ไอ้หมอนั่นยืนยัน

“เอ้า ถ้างั้นอั๊วเสียค่าโดยสารให้ผีอีกสองตัวไปด้วย ลื้อจะไปไหมล่ะ”

เอากะหมอซี ไอ้หมอนั่นนิ่งเงียบ ใบหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากดำเป็นเขียว แล้วค่อย ๆ กลายเป็นม่วงอย่างรวดเร็ว มันคงคิดคำนวณอยู่ในใจเหมือนกันว่า ถ้ามันลุแก่โทสะถึงกับกระโดดเข้ามาเตะเอาเราเข้า เราจะสู้ไหม นิ่งไปสักอึดใจใหญ่ ๆ มันจึงได้ต่อรองออกมา

“เอาเถอะ ถ้าคุณอยากจะไปจริง ๆ ผมจะไปส่งให้ แต่ต้องขออีก ๔๐ บาท”

เราฉุนพรวดเหมือนอัดบุหรี่มวนโตของเชียงใหม่เข้าไปพร้อมกัน

“ฮะ ยังงี้มันจะใช้ได้รึ” นายออดหน้าแดง ทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นเต้น แต่หลังคารถเตี้ยมาก จึงทำไม่ได้ เป็นแต่ตัวสั่นจนเราที่เหลือต้องช่วยกันยึดเอาไว้

“ยังงี้มันขู่กรรโชกกันชัด ๆ อั๊วไม่ยอมให้ ถ้าไม่ถึงจอมทองอั๊วไม่ลงจากรถลื้อ เป็นไรเป็นกัน กลับไปถึงเชียงใหม่อั๊วฟ้องแหง ๆ ฐานล่อลวง ขู่กรรโชก ทำให้เสียทรัพย์ เสียเวลาอันมีค่า เสียผลประโยชน์อันพึงจะได้ อั๊วต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายเด็ดขาด........”

นายออดส่งเสียงลั่น งัดเอากฎหมายแพ่งหรืออาญามาตราไหนก็ไม่รู้ออกมาขู่ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เรียนมาตั้งหลายปี ตกมาถึงตอนนี้หมอนั่นซึ่งคงจะรู้กฎหมายน้อยกว่าเรา ต้องยอมจำนน หน้าหมดสีไปเลย สัญญาว่าขะช่วยส่งพวกเราให้ต่อรถคันอื่นไป โดยไม่ต้องเสียค่าโดยสารอีก จึงเป็นอันว่าเราชนะอย่างเด็ดขาดไม่มีเงื่อนไข แต่กระนั้นเราก็ยังไม่วายบ่นต่อไปอีก ค่าที่ต้องมาเสียเวลาไปโดยไร้ประโยชน์ ตั้งหลายนาที ซึ่งอาจจะทำให้แผนของเราผิดพลาดไปได้

ในไม่ช้ารถเชียงใหม่-จอมทองอีกคันหนึ่งก็มาถึง เราต้องถ่ายทอดไปขึ้นรถคันนั้นพร้อมด้วยจักรยานคู่ยาก จะโดยวิธีฝากฝัง หฟรือต้องเสียค่าโดยสารแทนเราก็ไม่ทราบ เราไม่สนใจ หน้าก็ยังไม่อยากมองเสียด้วยซ้ำ และแล้วเราทั้งหมดก็ออกจากบ้านสามหลัง พร้อมด้วยบทเรียนที่คงจะต้องจดจำไปอีกนานทีเดียว.

ทางตอนนี้เหลืออีกเพียง ๒๐ ก.ม.กว่า ๆ กระโดกกระเดกไม่แพ้ทางที่ได้ผ่านมาแล้ว ผู้โดยสารมีน้อย เราจึงได้คุยกับเด็กกระเป๋า และผู้โดยสารอื่นอย่างสบาย เราปรารภถึงความไม่ซื่อของรถคันเก่าด้วยความเสียใจ ที่นึกไม่ถึงเลยว่าคนเชียงใหม่ซึ่งลือกันว่าน้ำใสใจคอโอบอ้อมอารีเป็น่สวนมาก จะมีคนเลว ๆ อย่างนี้ปะปนอยู่ด้วย เราจึงได้รับคำชี้แจงจากกระเป๋าว่า รถคันนั้นรวมทั้งเจ้าของและคนขับ ความจริงไม่ใช่ชาวเชียงใหม่ สังเกตได้จากป้ายทะเบียน ที่แท้ก็เป็นคนที่ขึ้นไปจากภาคกลางเรานี่เอง เป็นนักฉวยโอกาส ที่ชาวรถเมล์เอง ก็ออกจะระอาอยู่เหมือนกัน เราจึงออกอาย ที่หลงโกรธคนเชียงใหม่เสียเป็นวรรคเป็นเวร

ในที่สุด แต่ยังไม่สิ้นสุด เราก็มาถึงจอมทองเมื่อเวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น. พอขนสัมภาระพร้อมทั้งรถจักรยานสองคันลงจากรถ และคนขับชี้ทางที่จะไปน้ำตกแม่กลางให้แล้ว รถเมล์คันนั้นก็แล่นเข้าอำเภอไป ปล่อยให้เรายืนอยู่บนทางสีแดง ๆ ที่ทอดคดเคี้ยวหายไปเบื้องหน้าอย่างงง ๆ เพราะยังไม่หายเมาคลื่นบนท้องถนนดี เราตกลงใจที่จะเริ่มออกเดินทางกันเดี๋ยวนั้นเอง เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป ตกลงกันให้นายออดซึ่งขี่รถเสตอริงค์เอาสัมภาระไปคนเดียว ส่วนผมนั่งซ้อนข้างหน้าไปกับนายผี เพราะไม่มีตะแกรงหลัง ความจริงอย่าว่าแต่ตะแกรงเลย บังโคลนก็ไม่มี และอะไรต่อมิอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการทำให้รถคันนั้นแล่น หรือหยุดแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่มีไปเสียทั้งนั้นแหละ

นายออดรับสัมภาระพร้อมด้วยกล้องถ่ายรูปสองกล้อง ไปผูกมัดให้ดีแล้วก็ขี่โด่งออกหน้าไป ผมขึ้นนั่งซ้อนคันนายผี พอเริ่มออกก็ล้มโครม เด็กเล็กที่ออกมายืนมุงดูหัวเราะกันเกรียวกราวไม่เป็นไรลองอีกที พอออกก็เอียงกระเท่เร่ทำท่าจะล้มอีก ต้องโดดลง รู้สึกแปลกใจว่านายผีไม่น่าจะขี่รถอ่อนอย่างนี้ ลองตรวจดูก็พบว่าสลักบันไดด้านซ้ายหลุดหายไปไหนก็ไม่รู้ บันไดรถจึงตกลงไปรวมกันอยู่ข้างล่างทั้งคู่ แล้วจะขี่ไปได้ยังไง

ทันใดนั้นนายออดก็ก็ย้อนกลับมาพร้อมกับรายงานว่า คันของเขาก็เบรกไม่อยู่ น็อตหลุดไปสองตัวเหมือนกัน ทั้งนี้เพราะความกระแทกกระเทือน จาการที่บรรทุกมาบนหลังคารถโดยสาร นั่นเอง แย่ละซีทีนี้ จะทำยังไงกันดี แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังไม่ท้อถอย นายผีเร่เข้าไปถามเด็กได้ความว่ามีร้านซ่อมจีกรยานอยู่ทางเดียวกับที่เราผ่านมาแล้ว ไม่ไกลนัก ผมจึงให้สองคนจูงจักรยานกันไปซ่อม ส่วนผมเองหอบสัมภาระ เข้าไปขออาศัยพักที่บ้านใกล้ ๆ นั้น เพราะฝนเริ่มลงเม็ดปรอย ๆ เมฆหมอกทำท่าเหมือนจะตกลงมาจริง ๆ

เจ้าของบ้านเป็นหญิงกลางคนหน้าตาใจดี อนุญาตให้พักผ่อนตามสบาย ตนเองนั่งเอาเศษผ้ามาเย็บต่อ ๆ กันเข้าเป็นผ้านวมต่อไป ผมพยายามจะชวนคุย แต่ร้สึกว่าแกพูดฟังยากเหลือเกิน และแกก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจที่ผมพูดด้วย เลยได้แต่นั่งสูบบุหรี่รอพ่อเจ้าประคุณสองคนนั่น ด้วยความกระวนกระวายใจอยู่คนเดียว

อีกเกือบชั่วโมงต่อมา รถจักรยานทั้งสองคันจึงกลับมา ซ่อมเรียบร้อยใช้การได้ดีแล้ว ฝนที่ทำท่าว่าจะตกก็ไม่จริง แดดจ้าฟ้าแจ่มใส เราอำลาเจ้าของบ้านผู้อารี ออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเวลาล่วงเข้ามาถึงบ่ายโมง

เราผ่านหลัก ก.ม.ที่ ๑ ไปได้ในเวลาเพียง ๕ นาที ทำให้ดีอกดีใจกันยกใหญ่ ถนนเป็นดินปนทราย รถแล่นได้ช้ากว่าปกติมาก และเป็นถนนที่มีเกวียนแล่นด้วย จึงเป็นหลุมเป็นแอ่งมากบางตอนขึ้นเนินน้อย ๆ พอขี่ขึ้นไปได้ไม่ยากนัก กว่าจะมาถึง ก.ม.ที่ ๒ เราเสียเวลาไปอีกเกือบ ๑๐ นาที ต่อจากนี้พื้นที่เริ่มเป็นเนินสูงขึ้น กว่าจะขึ้นได้ถึงสันเนินก็ต้องออกแรงกันมากไม่ใช่เล่น กว่าจะผ่านถึง ก.ม.ที่ ๓ ได้ ก็ต้องเสียเวลาอีกกว่า ๑๐ นาที เราหยุดพักดื่มน้ำกันคนละอีกสองอึก พระอาทิตย์ก็ดูเหมือนจะร้อนแรงขึ้นตามลำดับ เรี่ยวแรงลดลงไปอย่างน่าประหลาด ผมเองเกาะเขามาแท้ ๆ ยังเพลียใจ ข้อสำคัญคือนั่งบนตัวถังรถ เวลากระแทกกระเทือนเจ็บบั้นท้ายแทบแย่ แต่ไม่กล้าปริปากบอกใคร เพราะไม่ได้ออกแรงกับเขา

เราเดินทางกันต่อไปอย่าง ไม่ค่อยจะสบายนัก ตอนนี้เริ่มพบกับความทุรกันดารอย่างแท้จริงแล้ว ถนนไม่มีทางที่จะแล่นไปราบ ๆ เลย เป็นเนินหย่อม ๆ ติดต่อกันไปหมด ต้องค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปตามความสูงแล้วก็ลาดลง พอสุดก็สูงขึ้นไปใหม่อีก ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญก็คือเนินลูกหลังจะต้องสูงกว่าเนินที่ผ่านมาแล้วเสมอ เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่นายผี ซึ่งบรรทุกผมไปด้วยเลย แม้แต่นายออดก็ต้องลงจูงเหมือนกัน พอจะขึ้นเนินก็จูงรถเดินไป พอถึงยอดก็ขึ้นรถ ปล่อยให้ไหลลงมาตามลาดจนสุดแรงของมัน แล้วก็ลงจูงใหม่ แม้จะค่อย ๆ ไปอย่างช้า ๆ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะต้องเดินไปตลอดทาง

เราผ่าน ก.ม.ที่ ๙ ไปอย่างกระปลกกระเปลี้ยเต็มที น้ำหยดสุดท้ายหมดไปแล้ว มองไปข้างหน้าเห็นแต่ทางสีส้มอันคดเคี้ยวทอดไป ท่านกลางเปลวแดดที่เต้นระยิบระยับ สองข้างทางมีแต่ทรายและต้นไม่เตี้ย ๆ อาศัยร่มเงาไม่ได้เลย ทั่วบริเวณโล่งแจ้งไม่มีบ้านเรือนและผู้คน เวลานั้นเราแทบจะไม่ได้พูคุยหยอกล้ออะไรกันอีกแล้ว เพราะต่างคนต่างก็ใกล้บ้าเข้าไปทุกที มันทั้งร้อนทั้งเหนื่อยเมื่อยหิว ประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน จนชักจะมองเห็นรอบ ๆ ข้างเป็นทะเลทราย ซึ่งมีเราสามคนกำลังเดินทางไปหาสมบัติพระศุลีเข้าไปเต็มทีแล้ว แต่เป็นตายยังไงเราก็ไม่ยอมหันหลังกลับเป็นเด็ดขาด
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิทาน
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่