Credit :
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=56390
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________
โลกในมุมมองของ Value Investor 31 ส.ค. 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การทำใจยามหุ้นตก
เวลาที่หุ้นตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเดือนอย่างเช่นในช่วงนี้ที่ดัชนีหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดประมาณ 1650 จุด เหลือเพียง 1294 จุดในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 หรือเป็นการตกลงมาถึงเกือบ 22% ภายในเวลา 2-3 เดือน คำถามที่ผมมักจะได้รับก็คือ เราควรทำอย่างไร? ขายหรือซื้อ? คำตอบของผมก็มักจะเป็นว่า ไม่ควรทำอะไร ถ้ามีหุ้นอยู่ก็ต้อง ทำใจ!
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ถือหุ้นลงทุนต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบ ๆ ปีอย่างตัวผมเองนั้น การทำใจข้อแรกก็คือ คิดว่าหุ้นนั้นยังไม่ได้ตกลงมามากนัก-- มองจากการวัดผลระยะยาวปีต่อปี เพราะถ้าดูจากดัชนีหุ้นเมื่อตอนสิ้นปี 2555 ที่ 1392 จุด ดัชนีหุ้นก็เพิ่งตกลงมาเพียง 7% และถ้ารวมปันผลที่ประมาณ 3% ที่บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ได้จ่ายไปแล้วในเดือนพฤษภาคม ก็แปลว่าตลาดนั้นติดลบไปเพียง 4% ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย ว่าไปแล้ว นี่อาจจะเป็นสถานการณ์ปกติที่มักจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมามากต่อเนื่องมา 4 ปีแล้ว จากดัชนีเมื่อสิ้นปี 2551 ที่ 450 จุด คิดแล้วเป็นการปรับขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นปีละกว่า 30% ดังนั้น การที่ดัชนีในปีนี้จะปรับตัวลดลงบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ และคนที่ลงทุนระยะยาวก็ยังไม่น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากนัก
การทำใจหรือปลอบใจตัวเองข้อที่สองก็คือ ดูว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหรือหุ้นที่เราถืออยู่นั้น ยังมีกำไรดีรวมถึงเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายนั้นจะต่ำลงหรือเปล่า? ถ้าคำตอบของเราก็คือ บริษัทยังดีเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิม กำไรก็ยังไปได้ ปันผลก็น่าจะยังจ่ายได้ไม่ลดลง มีแต่ราคาหุ้นเท่านั้นที่ตกลงไปมาก ในกรณีอย่างนี้เราก็ไม่ควรจะเสียใจหรือวิตกอะไรมากนัก เพราะการตกลงมาของหุ้นอาจจะเป็นเรื่องระยะสั้น ในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมา ในระหว่างนั้น เราก็รอรับปันผล และถ้าเงินปันผลที่เราได้รับยังใกล้เคียงกับของปีก่อนหน้า นั่นก็หมายความว่าการลงทุนของเราก็ยังอยู่ในเส้นทางของความสำเร็จเหมือนเดิม—ในระยะยาว
การปลอบใจตัวเองในกรณีหุ้นตกลงมาแรงในระยะสั้น ๆ นั้น น่าจะมีหลายอย่างที่ทำได้ เช่น ถ้าการตกลงมาของมูลค่าหุ้นในพอร์ตของเรานับจากปลายปีที่แล้วยังน้อยกว่าการตกลงมาของดัชนีหุ้นในตลาด เราก็ควรจะรู้สึกดีใจที่ว่า ยังไงเสียเราก็ยังทำได้ชนะตลาด และถ้าเรายังรักษาสถิตินี้ได้ ในระยะยาวเราก็น่าจะทำได้ดีอยู่ อย่าไปคิดว่าเราเคยมีพอร์ตสูงสุดเท่านั้นเท่านี้แล้วตอนนี้มูลค่ามันหายไปมาก พยายามคิดว่าพอร์ตของหุ้นในระยะสั้น ๆ นั้น บางครั้งมันก็ไม่ใช่ของจริง! มันอาจจะเกิดจากการที่ตลาดกำลังร้อนแรงเกินไปและทำให้มูลค่าหุ้นของเราสูงเกินไป ตอนนี้มันอาจจะปรับตัวลงมาที่มูลค่าที่มันควรจะเป็น พูดง่าย ๆ ผลงานของเราไม่ได้เลวร้ายอะไร และนี่ก็อาจจะเป็นการปรับตัวเพื่อ “สร้างฐานใหม่”
บางทีหุ้นที่เราถืออยู่รวมถึงมูลค่าพอร์ตหุ้นของเราอาจจะทำได้แย่กว่าดัชนีตลาดหุ้น นี่ก็อาจจะทำให้เราเศร้า แต่ถ้าเรามองไปที่คนอื่นหรือเพื่อนบางคนแล้วพบว่าเขายิ่งหนักกว่า เราก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ลองดูว่าย้อนหลังไปหลายปีผลการลงทุนของเราเป็นอย่างไร ถ้าพบว่าเราทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดมาก การที่เราทำได้แพ้ตลาดในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะดีกว่าตลาดไปตลอด แม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็เคยแพ้ตลาดอยู่เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ นี้ ดังนั้น เราจะเศร้าไปทำไม?
สำหรับคนที่ไม่ได้มีเงินอยู่ในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์และโดยเฉพาะที่มีเงินสดอยู่ในอัตราที่สูง การที่หุ้นตกมาแรงนั้น เราก็ไม่ควรต้องเสียใจว่าขาดทุนจากหุ้น เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่คุ้มค่า เป็นหุ้น VI ด้วยเงินสดที่เรามีอยู่ การลงทุนของเราหลังจากนี้น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ว่าที่จริงคนที่ลงทุนหุ้นเต็มร้อยในขณะนี้จะต้องอิจฉาเราที่จะสามารถซื้อหุ้นคุณภาพดีราคาถูก ประเด็นก็คือ อย่าเสียใจกับการขาดทุนจากหุ้นจนทำให้หมดกำลังใจที่จะใช้เงินสดที่ถืออยู่เข้ามาลงทุนเพิ่ม และนี่จะเป็น “คำปลอบใจ” ที่มีค่าในระยะยาว
ถ้าเรารู้สึกว่าผลการลงทุนของเรา ณ. ขณะนี้ก็คือ “แพ้เกือบทุกด้าน” พอร์ตเสียหายหนัก ทั้งเครียดทั้งเศร้า แต่อย่า “ยอมแพ้” การลงทุนนั้นมองอีกด้านหนึ่งก็คือการต่อสู้ที่มีเดิมพันที่สูงมาก หลายครั้งนั้นเราได้ชัยชนะที่งดงาม หลายครั้งเราแพ้และหดหู่ ทางหนึ่งก็คือคิดว่าหนทางข้างหน้ายังยาวไกล วันหนึ่งเราก็จะต้องกลับมาได้ชัยชนะถ้าเรายึดหลักการการลงทุนอย่างถูกต้อง ถ้าอยากให้กำลังใจกับตัวเองก็ลองนึกถึงเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองที่นายพล แมคอาเธอร์ ต้องพ่ายแพ้กองทัพญี่ปุ่นและหนีออกจากฟิลิปปินส์พร้อมกับคำกล่าวอมตะที่ว่า “I shall return” ก็น่าจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เพราะหลังจากการหนีออกจากฟิลิปปินส์อย่าง “เสียศักดิศรี” อเมริกันก็ตีโต้กองทัพญี่ปุ่นในทุกด้านและกลายเป็นฝ่ายชนะอย่างสมบูรณ์ในภายหลัง
การปลอบใจตนเองอีกอย่างหนึ่งที่ควรทำก็คือ การศึกษาบริษัทหรือหุ้นที่เราถืออยู่อย่างรอบคอบอีกครั้งหนึ่งว่าพื้นฐานและความแข็งแกร่งของกิจการเป็นอย่างไร อนาคตระยะยาวของบริษัทยังดีเหมือนเดิมหรือเปล่า สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยังเอื้ออำนวยต่อบริษัทหรือไม่ การถือหุ้นต่อไปน่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าใช่ไหม ถ้าคำตอบก็คือใช่ เราก็ต้องมั่นใจว่าในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมา เพราะ “สัจธรรม” ของหุ้นก็คือ ราคาหุ้นในระยะยาวนั้นจะโตขึ้นตามกำไรของบริษัท ดังนั้น ใจเย็น ๆ ไม่ต้องกระวนกระวายใจกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในระยะสั้น
ในบางเวลาเราอาจจะรู้สึกว่าเม็ดเงินหรือมูลค่าของพอร์ตของเราหายไปมากเหลือเกิน บางคนเป็นหลายล้านหรือหลายสิบหรือหลายร้อยล้านบาท เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากที่จะไม่เสียใจหรือเสียดาย แต่ถ้าจะปลอบใจตนเองเราก็ต้องหันมามองในอีกมุมหนึ่งว่า เงินที่เราเหลืออยู่นั้น ที่จริงมันก็อาจจะยังมากอยู่มาก มันยังสามารถรองรับการใช้ชีวิตของเราเหมือนเดิมอย่างไม่มีข้อสงสัย ชีวิตเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปสักนิดเดียวเพราะการที่หุ้นตกลงมา เราเศร้าเพราะ “ตัวเลขในบัญชีหุ้น” ลดลง ซึ่งมันไม่น่าจะมีเหตุผลเลย ดังนั้น วิธีที่จะปลอบใจตนเองก็คือ คิดเสียว่ามันเป็นตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่เคยได้ใช้มัน ตราบใดที่ถึงเวลารอบบัญชีแล้วมีเม็ดเงินจากเงินปันผลเข้ามาในบัญชีเงินฝากของเรามากเหลือเฟือที่จะใช้จ่ายในชีวิตของเรา ทุกอย่างก็ o.k.
และสุดท้ายของการที่จะช่วยให้เราทำใจได้ดีในภาวะที่หุ้นตกลงมาเป็นตลาดหมีและทำให้กำไรของเราหดหายหรือขาดทุนไปมากเมื่อเทียบกับช่วงประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมาหรือเทียบกับเมื่อตอนสิ้นปีที่แล้วก็คือการหันเข้าหาธรรมะและ/หรือการทำสมาธิ ธรรมะนั้นผมมองว่าเป็นการช่วยให้เราทำใจได้ดีขึ้นโดยเฉพาะในระยะยาว เหตุผลที่สำคัญก็คือ ธรรมะช่วยให้เรามองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต สอนให้เรายอมรับ “ชะตากรรม” ได้ดีขึ้น พูดง่าย ๆ สอนให้เรารู้จัก “ปลง” และ “ละกิเลส” ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ มีทุกข์น้อยลงเมื่อมีเงินน้อยลง ส่วนการทำสมาธินั้น ผมคิดว่าช่วยในระยะสั้นที่บางครั้งจิตใจเรากระวนกระวายใจเกิดความเครียด ผมเชื่อว่าการนั่งทำสมาธิหายใจเข้าออกช้า ๆ นั้นจะทำให้จิตใจเราสงบและเราลืมหรือไม่สนใจว่าหุ้นกำลังตกเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ได้
ปล. เพิ่มเติม การทำใจในการลงทุน : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://www.sarut-homesite.net/2011/02/การทำใจในการลงทุน-ดร-นิ/
การทำใจยามหุ้นตก/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________
โลกในมุมมองของ Value Investor 31 ส.ค. 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การทำใจยามหุ้นตก
เวลาที่หุ้นตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเดือนอย่างเช่นในช่วงนี้ที่ดัชนีหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดประมาณ 1650 จุด เหลือเพียง 1294 จุดในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 หรือเป็นการตกลงมาถึงเกือบ 22% ภายในเวลา 2-3 เดือน คำถามที่ผมมักจะได้รับก็คือ เราควรทำอย่างไร? ขายหรือซื้อ? คำตอบของผมก็มักจะเป็นว่า ไม่ควรทำอะไร ถ้ามีหุ้นอยู่ก็ต้อง ทำใจ!
สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ถือหุ้นลงทุนต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบ ๆ ปีอย่างตัวผมเองนั้น การทำใจข้อแรกก็คือ คิดว่าหุ้นนั้นยังไม่ได้ตกลงมามากนัก-- มองจากการวัดผลระยะยาวปีต่อปี เพราะถ้าดูจากดัชนีหุ้นเมื่อตอนสิ้นปี 2555 ที่ 1392 จุด ดัชนีหุ้นก็เพิ่งตกลงมาเพียง 7% และถ้ารวมปันผลที่ประมาณ 3% ที่บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ได้จ่ายไปแล้วในเดือนพฤษภาคม ก็แปลว่าตลาดนั้นติดลบไปเพียง 4% ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย ว่าไปแล้ว นี่อาจจะเป็นสถานการณ์ปกติที่มักจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมามากต่อเนื่องมา 4 ปีแล้ว จากดัชนีเมื่อสิ้นปี 2551 ที่ 450 จุด คิดแล้วเป็นการปรับขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นปีละกว่า 30% ดังนั้น การที่ดัชนีในปีนี้จะปรับตัวลดลงบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ และคนที่ลงทุนระยะยาวก็ยังไม่น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากนัก
การทำใจหรือปลอบใจตัวเองข้อที่สองก็คือ ดูว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหรือหุ้นที่เราถืออยู่นั้น ยังมีกำไรดีรวมถึงเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายนั้นจะต่ำลงหรือเปล่า? ถ้าคำตอบของเราก็คือ บริษัทยังดีเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิม กำไรก็ยังไปได้ ปันผลก็น่าจะยังจ่ายได้ไม่ลดลง มีแต่ราคาหุ้นเท่านั้นที่ตกลงไปมาก ในกรณีอย่างนี้เราก็ไม่ควรจะเสียใจหรือวิตกอะไรมากนัก เพราะการตกลงมาของหุ้นอาจจะเป็นเรื่องระยะสั้น ในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมา ในระหว่างนั้น เราก็รอรับปันผล และถ้าเงินปันผลที่เราได้รับยังใกล้เคียงกับของปีก่อนหน้า นั่นก็หมายความว่าการลงทุนของเราก็ยังอยู่ในเส้นทางของความสำเร็จเหมือนเดิม—ในระยะยาว
การปลอบใจตัวเองในกรณีหุ้นตกลงมาแรงในระยะสั้น ๆ นั้น น่าจะมีหลายอย่างที่ทำได้ เช่น ถ้าการตกลงมาของมูลค่าหุ้นในพอร์ตของเรานับจากปลายปีที่แล้วยังน้อยกว่าการตกลงมาของดัชนีหุ้นในตลาด เราก็ควรจะรู้สึกดีใจที่ว่า ยังไงเสียเราก็ยังทำได้ชนะตลาด และถ้าเรายังรักษาสถิตินี้ได้ ในระยะยาวเราก็น่าจะทำได้ดีอยู่ อย่าไปคิดว่าเราเคยมีพอร์ตสูงสุดเท่านั้นเท่านี้แล้วตอนนี้มูลค่ามันหายไปมาก พยายามคิดว่าพอร์ตของหุ้นในระยะสั้น ๆ นั้น บางครั้งมันก็ไม่ใช่ของจริง! มันอาจจะเกิดจากการที่ตลาดกำลังร้อนแรงเกินไปและทำให้มูลค่าหุ้นของเราสูงเกินไป ตอนนี้มันอาจจะปรับตัวลงมาที่มูลค่าที่มันควรจะเป็น พูดง่าย ๆ ผลงานของเราไม่ได้เลวร้ายอะไร และนี่ก็อาจจะเป็นการปรับตัวเพื่อ “สร้างฐานใหม่”
บางทีหุ้นที่เราถืออยู่รวมถึงมูลค่าพอร์ตหุ้นของเราอาจจะทำได้แย่กว่าดัชนีตลาดหุ้น นี่ก็อาจจะทำให้เราเศร้า แต่ถ้าเรามองไปที่คนอื่นหรือเพื่อนบางคนแล้วพบว่าเขายิ่งหนักกว่า เราก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ลองดูว่าย้อนหลังไปหลายปีผลการลงทุนของเราเป็นอย่างไร ถ้าพบว่าเราทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดมาก การที่เราทำได้แพ้ตลาดในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะดีกว่าตลาดไปตลอด แม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็เคยแพ้ตลาดอยู่เป็นครั้งคราว โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ นี้ ดังนั้น เราจะเศร้าไปทำไม?
สำหรับคนที่ไม่ได้มีเงินอยู่ในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์และโดยเฉพาะที่มีเงินสดอยู่ในอัตราที่สูง การที่หุ้นตกมาแรงนั้น เราก็ไม่ควรต้องเสียใจว่าขาดทุนจากหุ้น เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่คุ้มค่า เป็นหุ้น VI ด้วยเงินสดที่เรามีอยู่ การลงทุนของเราหลังจากนี้น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ว่าที่จริงคนที่ลงทุนหุ้นเต็มร้อยในขณะนี้จะต้องอิจฉาเราที่จะสามารถซื้อหุ้นคุณภาพดีราคาถูก ประเด็นก็คือ อย่าเสียใจกับการขาดทุนจากหุ้นจนทำให้หมดกำลังใจที่จะใช้เงินสดที่ถืออยู่เข้ามาลงทุนเพิ่ม และนี่จะเป็น “คำปลอบใจ” ที่มีค่าในระยะยาว
ถ้าเรารู้สึกว่าผลการลงทุนของเรา ณ. ขณะนี้ก็คือ “แพ้เกือบทุกด้าน” พอร์ตเสียหายหนัก ทั้งเครียดทั้งเศร้า แต่อย่า “ยอมแพ้” การลงทุนนั้นมองอีกด้านหนึ่งก็คือการต่อสู้ที่มีเดิมพันที่สูงมาก หลายครั้งนั้นเราได้ชัยชนะที่งดงาม หลายครั้งเราแพ้และหดหู่ ทางหนึ่งก็คือคิดว่าหนทางข้างหน้ายังยาวไกล วันหนึ่งเราก็จะต้องกลับมาได้ชัยชนะถ้าเรายึดหลักการการลงทุนอย่างถูกต้อง ถ้าอยากให้กำลังใจกับตัวเองก็ลองนึกถึงเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองที่นายพล แมคอาเธอร์ ต้องพ่ายแพ้กองทัพญี่ปุ่นและหนีออกจากฟิลิปปินส์พร้อมกับคำกล่าวอมตะที่ว่า “I shall return” ก็น่าจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เพราะหลังจากการหนีออกจากฟิลิปปินส์อย่าง “เสียศักดิศรี” อเมริกันก็ตีโต้กองทัพญี่ปุ่นในทุกด้านและกลายเป็นฝ่ายชนะอย่างสมบูรณ์ในภายหลัง
การปลอบใจตนเองอีกอย่างหนึ่งที่ควรทำก็คือ การศึกษาบริษัทหรือหุ้นที่เราถืออยู่อย่างรอบคอบอีกครั้งหนึ่งว่าพื้นฐานและความแข็งแกร่งของกิจการเป็นอย่างไร อนาคตระยะยาวของบริษัทยังดีเหมือนเดิมหรือเปล่า สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยังเอื้ออำนวยต่อบริษัทหรือไม่ การถือหุ้นต่อไปน่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าใช่ไหม ถ้าคำตอบก็คือใช่ เราก็ต้องมั่นใจว่าในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมา เพราะ “สัจธรรม” ของหุ้นก็คือ ราคาหุ้นในระยะยาวนั้นจะโตขึ้นตามกำไรของบริษัท ดังนั้น ใจเย็น ๆ ไม่ต้องกระวนกระวายใจกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในระยะสั้น
ในบางเวลาเราอาจจะรู้สึกว่าเม็ดเงินหรือมูลค่าของพอร์ตของเราหายไปมากเหลือเกิน บางคนเป็นหลายล้านหรือหลายสิบหรือหลายร้อยล้านบาท เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากที่จะไม่เสียใจหรือเสียดาย แต่ถ้าจะปลอบใจตนเองเราก็ต้องหันมามองในอีกมุมหนึ่งว่า เงินที่เราเหลืออยู่นั้น ที่จริงมันก็อาจจะยังมากอยู่มาก มันยังสามารถรองรับการใช้ชีวิตของเราเหมือนเดิมอย่างไม่มีข้อสงสัย ชีวิตเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปสักนิดเดียวเพราะการที่หุ้นตกลงมา เราเศร้าเพราะ “ตัวเลขในบัญชีหุ้น” ลดลง ซึ่งมันไม่น่าจะมีเหตุผลเลย ดังนั้น วิธีที่จะปลอบใจตนเองก็คือ คิดเสียว่ามันเป็นตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่เคยได้ใช้มัน ตราบใดที่ถึงเวลารอบบัญชีแล้วมีเม็ดเงินจากเงินปันผลเข้ามาในบัญชีเงินฝากของเรามากเหลือเฟือที่จะใช้จ่ายในชีวิตของเรา ทุกอย่างก็ o.k.
และสุดท้ายของการที่จะช่วยให้เราทำใจได้ดีในภาวะที่หุ้นตกลงมาเป็นตลาดหมีและทำให้กำไรของเราหดหายหรือขาดทุนไปมากเมื่อเทียบกับช่วงประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมาหรือเทียบกับเมื่อตอนสิ้นปีที่แล้วก็คือการหันเข้าหาธรรมะและ/หรือการทำสมาธิ ธรรมะนั้นผมมองว่าเป็นการช่วยให้เราทำใจได้ดีขึ้นโดยเฉพาะในระยะยาว เหตุผลที่สำคัญก็คือ ธรรมะช่วยให้เรามองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต สอนให้เรายอมรับ “ชะตากรรม” ได้ดีขึ้น พูดง่าย ๆ สอนให้เรารู้จัก “ปลง” และ “ละกิเลส” ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ มีทุกข์น้อยลงเมื่อมีเงินน้อยลง ส่วนการทำสมาธินั้น ผมคิดว่าช่วยในระยะสั้นที่บางครั้งจิตใจเรากระวนกระวายใจเกิดความเครียด ผมเชื่อว่าการนั่งทำสมาธิหายใจเข้าออกช้า ๆ นั้นจะทำให้จิตใจเราสงบและเราลืมหรือไม่สนใจว่าหุ้นกำลังตกเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ได้
ปล. เพิ่มเติม การทำใจในการลงทุน : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://www.sarut-homesite.net/2011/02/การทำใจในการลงทุน-ดร-นิ/