การทำใจยามหุ้นตก/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=56390
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
_____________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor          31 ส.ค. 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การทำใจยามหุ้นตก

เม่าฝึกจิตเม่านอนไม่หลับ
   ​เวลาที่หุ้นตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องกันเป็นเดือนอย่างเช่นในช่วงนี้ที่ดัชนีหุ้นได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดประมาณ 1650 จุด เหลือเพียง 1294 จุดในวันที่ 30 สิงหาคม 2556 หรือเป็นการตกลงมาถึงเกือบ 22% ภายในเวลา 2-3 เดือน คำถามที่ผมมักจะได้รับก็คือ  เราควรทำอย่างไร?  ขายหรือซื้อ?  คำตอบของผมก็มักจะเป็นว่า  ไม่ควรทำอะไร ถ้ามีหุ้นอยู่ก็ต้อง  ทำใจ!  

   ​สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ถือหุ้นลงทุนต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบ ๆ ปีอย่างตัวผมเองนั้น  การทำใจข้อแรกก็คือ  คิดว่าหุ้นนั้นยังไม่ได้ตกลงมามากนัก-- มองจากการวัดผลระยะยาวปีต่อปี  เพราะถ้าดูจากดัชนีหุ้นเมื่อตอนสิ้นปี 2555 ที่ 1392 จุด  ดัชนีหุ้นก็เพิ่งตกลงมาเพียง 7% และถ้ารวมปันผลที่ประมาณ 3%  ที่บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ได้จ่ายไปแล้วในเดือนพฤษภาคม ก็แปลว่าตลาดนั้นติดลบไปเพียง 4%  ไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลย   ว่าไปแล้ว  นี่อาจจะเป็นสถานการณ์ปกติที่มักจะเกิดขึ้นนั่นก็คือ  ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมามากต่อเนื่องมา 4 ปีแล้ว  จากดัชนีเมื่อสิ้นปี 2551 ที่ 450 จุด คิดแล้วเป็นการปรับขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นปีละกว่า 30%  ดังนั้น  การที่ดัชนีในปีนี้จะปรับตัวลดลงบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ  และคนที่ลงทุนระยะยาวก็ยังไม่น่าจะเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากนัก

   ​การทำใจหรือปลอบใจตัวเองข้อที่สองก็คือ  ดูว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหรือหุ้นที่เราถืออยู่นั้น  ยังมีกำไรดีรวมถึงเงินปันผลที่คาดว่าจะจ่ายนั้นจะต่ำลงหรือเปล่า?  ถ้าคำตอบของเราก็คือ  บริษัทยังดีเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิม   กำไรก็ยังไปได้  ปันผลก็น่าจะยังจ่ายได้ไม่ลดลง  มีแต่ราคาหุ้นเท่านั้นที่ตกลงไปมาก  ในกรณีอย่างนี้เราก็ไม่ควรจะเสียใจหรือวิตกอะไรมากนัก  เพราะการตกลงมาของหุ้นอาจจะเป็นเรื่องระยะสั้น   ในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมา  ในระหว่างนั้น  เราก็รอรับปันผล  และถ้าเงินปันผลที่เราได้รับยังใกล้เคียงกับของปีก่อนหน้า   นั่นก็หมายความว่าการลงทุนของเราก็ยังอยู่ในเส้นทางของความสำเร็จเหมือนเดิม—ในระยะยาว

   ​การปลอบใจตัวเองในกรณีหุ้นตกลงมาแรงในระยะสั้น ๆ  นั้น  น่าจะมีหลายอย่างที่ทำได้  เช่น  ถ้าการตกลงมาของมูลค่าหุ้นในพอร์ตของเรานับจากปลายปีที่แล้วยังน้อยกว่าการตกลงมาของดัชนีหุ้นในตลาด  เราก็ควรจะรู้สึกดีใจที่ว่า ยังไงเสียเราก็ยังทำได้ชนะตลาด  และถ้าเรายังรักษาสถิตินี้ได้  ในระยะยาวเราก็น่าจะทำได้ดีอยู่  อย่าไปคิดว่าเราเคยมีพอร์ตสูงสุดเท่านั้นเท่านี้แล้วตอนนี้มูลค่ามันหายไปมาก  พยายามคิดว่าพอร์ตของหุ้นในระยะสั้น ๆ  นั้น  บางครั้งมันก็ไม่ใช่ของจริง!  มันอาจจะเกิดจากการที่ตลาดกำลังร้อนแรงเกินไปและทำให้มูลค่าหุ้นของเราสูงเกินไป   ตอนนี้มันอาจจะปรับตัวลงมาที่มูลค่าที่มันควรจะเป็น  พูดง่าย ๆ  ผลงานของเราไม่ได้เลวร้ายอะไร  และนี่ก็อาจจะเป็นการปรับตัวเพื่อ  “สร้างฐานใหม่”

   ​บางทีหุ้นที่เราถืออยู่รวมถึงมูลค่าพอร์ตหุ้นของเราอาจจะทำได้แย่กว่าดัชนีตลาดหุ้น  นี่ก็อาจจะทำให้เราเศร้า  แต่ถ้าเรามองไปที่คนอื่นหรือเพื่อนบางคนแล้วพบว่าเขายิ่งหนักกว่า  เราก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ลองดูว่าย้อนหลังไปหลายปีผลการลงทุนของเราเป็นอย่างไร   ถ้าพบว่าเราทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดมาก   การที่เราทำได้แพ้ตลาดในครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ  เพราะเป็นเรื่องที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะดีกว่าตลาดไปตลอด   แม้แต่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เองก็เคยแพ้ตลาดอยู่เป็นครั้งคราว  โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ  นี้  ดังนั้น  เราจะเศร้าไปทำไม?

   ​สำหรับคนที่ไม่ได้มีเงินอยู่ในหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์และโดยเฉพาะที่มีเงินสดอยู่ในอัตราที่สูง   การที่หุ้นตกมาแรงนั้น   เราก็ไม่ควรต้องเสียใจว่าขาดทุนจากหุ้น   เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะลงทุนซื้อหุ้นที่คุ้มค่า  เป็นหุ้น VI ด้วยเงินสดที่เรามีอยู่   การลงทุนของเราหลังจากนี้น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต  ว่าที่จริงคนที่ลงทุนหุ้นเต็มร้อยในขณะนี้จะต้องอิจฉาเราที่จะสามารถซื้อหุ้นคุณภาพดีราคาถูก  ประเด็นก็คือ  อย่าเสียใจกับการขาดทุนจากหุ้นจนทำให้หมดกำลังใจที่จะใช้เงินสดที่ถืออยู่เข้ามาลงทุนเพิ่ม  และนี่จะเป็น  “คำปลอบใจ” ที่มีค่าในระยะยาว

   ​ถ้าเรารู้สึกว่าผลการลงทุนของเรา ณ. ขณะนี้ก็คือ  “แพ้เกือบทุกด้าน” พอร์ตเสียหายหนัก  ทั้งเครียดทั้งเศร้า  แต่อย่า “ยอมแพ้” การลงทุนนั้นมองอีกด้านหนึ่งก็คือการต่อสู้ที่มีเดิมพันที่สูงมาก  หลายครั้งนั้นเราได้ชัยชนะที่งดงาม   หลายครั้งเราแพ้และหดหู่  ทางหนึ่งก็คือคิดว่าหนทางข้างหน้ายังยาวไกล  วันหนึ่งเราก็จะต้องกลับมาได้ชัยชนะถ้าเรายึดหลักการการลงทุนอย่างถูกต้อง  ถ้าอยากให้กำลังใจกับตัวเองก็ลองนึกถึงเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองที่นายพล แมคอาเธอร์ ต้องพ่ายแพ้กองทัพญี่ปุ่นและหนีออกจากฟิลิปปินส์พร้อมกับคำกล่าวอมตะที่ว่า  “I shall return” ก็น่าจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น  เพราะหลังจากการหนีออกจากฟิลิปปินส์อย่าง “เสียศักดิศรี” อเมริกันก็ตีโต้กองทัพญี่ปุ่นในทุกด้านและกลายเป็นฝ่ายชนะอย่างสมบูรณ์ในภายหลัง

   ​การปลอบใจตนเองอีกอย่างหนึ่งที่ควรทำก็คือ  การศึกษาบริษัทหรือหุ้นที่เราถืออยู่อย่างรอบคอบอีกครั้งหนึ่งว่าพื้นฐานและความแข็งแกร่งของกิจการเป็นอย่างไร  อนาคตระยะยาวของบริษัทยังดีเหมือนเดิมหรือเปล่า  สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยังเอื้ออำนวยต่อบริษัทหรือไม่  การถือหุ้นต่อไปน่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มค่าใช่ไหม   ถ้าคำตอบก็คือใช่  เราก็ต้องมั่นใจว่าในที่สุดราคาหุ้นก็จะกลับมา  เพราะ  “สัจธรรม” ของหุ้นก็คือ  ราคาหุ้นในระยะยาวนั้นจะโตขึ้นตามกำไรของบริษัท  ดังนั้น  ใจเย็น ๆ  ไม่ต้องกระวนกระวายใจกับราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในระยะสั้น

   ​ในบางเวลาเราอาจจะรู้สึกว่าเม็ดเงินหรือมูลค่าของพอร์ตของเราหายไปมากเหลือเกิน  บางคนเป็นหลายล้านหรือหลายสิบหรือหลายร้อยล้านบาท  เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากที่จะไม่เสียใจหรือเสียดาย  แต่ถ้าจะปลอบใจตนเองเราก็ต้องหันมามองในอีกมุมหนึ่งว่า  เงินที่เราเหลืออยู่นั้น  ที่จริงมันก็อาจจะยังมากอยู่มาก  มันยังสามารถรองรับการใช้ชีวิตของเราเหมือนเดิมอย่างไม่มีข้อสงสัย  ชีวิตเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปสักนิดเดียวเพราะการที่หุ้นตกลงมา  เราเศร้าเพราะ “ตัวเลขในบัญชีหุ้น” ลดลง  ซึ่งมันไม่น่าจะมีเหตุผลเลย  ดังนั้น  วิธีที่จะปลอบใจตนเองก็คือ  คิดเสียว่ามันเป็นตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ  โดยที่เราไม่เคยได้ใช้มัน  ตราบใดที่ถึงเวลารอบบัญชีแล้วมีเม็ดเงินจากเงินปันผลเข้ามาในบัญชีเงินฝากของเรามากเหลือเฟือที่จะใช้จ่ายในชีวิตของเรา  ทุกอย่างก็  o.k.

   ​และสุดท้ายของการที่จะช่วยให้เราทำใจได้ดีในภาวะที่หุ้นตกลงมาเป็นตลาดหมีและทำให้กำไรของเราหดหายหรือขาดทุนไปมากเมื่อเทียบกับช่วงประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมาหรือเทียบกับเมื่อตอนสิ้นปีที่แล้วก็คือการหันเข้าหาธรรมะและ/หรือการทำสมาธิ  ธรรมะนั้นผมมองว่าเป็นการช่วยให้เราทำใจได้ดีขึ้นโดยเฉพาะในระยะยาว  เหตุผลที่สำคัญก็คือ  ธรรมะช่วยให้เรามองเห็นความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต  สอนให้เรายอมรับ “ชะตากรรม” ได้ดีขึ้น  พูดง่าย ๆ  สอนให้เรารู้จัก “ปลง” และ “ละกิเลส”  ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้นหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่าก็คือ  มีทุกข์น้อยลงเมื่อมีเงินน้อยลง  ส่วนการทำสมาธินั้น  ผมคิดว่าช่วยในระยะสั้นที่บางครั้งจิตใจเรากระวนกระวายใจเกิดความเครียด  ผมเชื่อว่าการนั่งทำสมาธิหายใจเข้าออกช้า ๆ   นั้นจะทำให้จิตใจเราสงบและเราลืมหรือไม่สนใจว่าหุ้นกำลังตกเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ได้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



ปล. เพิ่มเติม การทำใจในการลงทุน : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
http://www.sarut-homesite.net/2011/02/การทำใจในการลงทุน-ดร-นิ/
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่