สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ความคิดเห็นที่ 54
เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยพยายามรวบรวมข้อมูล "มะหาด" และหาที่มา แหล่งข้อมูลที่อ้างงานวิจัย
และผมเขียนไว้ใน blog อันเก่าของผมที่ http://bacidea.tumblr.com/post/30933963790
ผมขอก๊อปบทความผมจาก blog ออกมาให้อ่านละกันนะครับ เผื่อจะเตือนสติหลายๆคนได้
------------------------------------------------------
มะหาด ขาว หลอกลวง?
ด้วยความที่ผมเป็นคนขวางโลก ประกอบกับตอนเรียน จะโดนปลูกฝังให้เป็นคนช่างสงสัย
ผมเลยหาข้อมูลของมะหาด ว่ามันทำให้ขาวขึ้นจริงๆ หรือเพราะสารอะไร
สิ่งที่ผมค้นพบ ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เพราะว่าทุกเว็บจะคัดลอกผลการวิจัยมาเหมือนกัน ดังนี้
มะหาด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Artocarpus lakoocha Roxb. ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย ปกติแล้ว เรามักใช้เปลือก ราก และแก่น มาต้มดื่มหรือบดเป็นผงชง เพื่อลดไข้ ถ่ายพยาธิ ถอนพิษร้อน ส่วนที่เราใช้มาผสมในเครื่องสำอาง คือ สารสกัดจาก“แก่น” ค่ะ โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารธรรมชาติในกลุ่มสติลบีน (stilbene) หลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส หนึ่งในสารกลุ่มนี้คือ ออกซิเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol หรือ trans-2,4,3,5- tetrahydroxystilbene ) ที่สกัดจากแก่นของมะหาด ยับยั้งการเกิดของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้มากถึง 10 เท่า (กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และคณะ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ในระยะสั้นพบว่า สามารถทำให้ผิวขาวได้มากขึ้น
รายละเอียดของการทดลองคือ ผลการทดลองพบว่าครีมมะหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง โดยไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากชะเอมและกรดโคจิก ผลการทดลองพบว่ากลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อยๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด
และข้อความอีกชุด ที่มักถูกใช้โฆษณา คือ
ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ศึกษาการใช้สารสกัด 5% oxyresveratrol จากสมุนไพรแก่นมะหาดในการรักษาฝ้า ได้ผลดีไม่แตกต่างจากยาทา 2% Hydroquinone (ยาทาฝ้าชนิดออกฤทธิ์แรงที่จ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น) และพบผลข้างเคียงเล็กน้อย
ถอดใจความออกมา จะเห็นว่า พูดถึงแต่ข้อดีจนน่าสงสัย นั่นก็คือ
- ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน ช่วยให้ขาวขึ้น
- มีฤทธิ์รักษาฝ้าเทียบเท่าไฮโดรควิโนน
- ไม่มีผลข้างเคียง หรือพบเพียงเล็กน้อย
ซึ่งบอกตรงๆ… ผมไม่เชื่อ!!!
ผมเลยค้นหาต้นตอของข้อมูล และได้ข้อมูลประกอบดังนี้
- เคยมีการวิจัยมะหาดโดยแพทย์จุฬาฯ เมื่อปี 2551
- ผู้จัดการออนไลน์ มีข่าว “มะหาด รักษาเริม” แต่ไม่มีข่าว “มะหาดทำให้ขาว” ตามที่เว็บขายสินค้ากล่าวอ้าง
- ผลการวิจัยของคณะแพทย์ มศว.
--- รักษาฝ้าได้เทียบเท่าไฮโดรควิโนน
--- ไม่มีรายงานยืนยันว่าทำให้ขาว และผลในระยะยาว
--- ผลข้างเคียงเยอะ และเกิดอาการแพ้ได้
และผมมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นคือ บทสัมภาษณ์เจ้าของผลงานชิ้นนี้ บนเว็บ เดลินิวส์
รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัย
ซึ่งเนื้อข่าวยาวมาก ผมจึงตัดมาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจดังนี้
- ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ผิวคนไทยจึงมีสีเข้ม
- ค่านิยมอยากขาว ทำให้สินค้าจากเมืองนอกเป็นที่นิยม
- เป็นเรื่องดี ถ้าหันมาใช้สินค้าไทย ( มะหาด )
- รศ. ดร. ภาคภูมิ ตกใจที่เห็นข่าวสินค้ามะหาดอยู่มากมาย
- ขั้นตอนและผลการวิจัย
--- แก่นมะหาดและสารสำคัญที่มีอยู่ คือ ออกซีเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol)
--- ออกซีเรสเวอราทรอล สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีเมลานิน
--- เริ่มยืนยันผลในสัตว์ทดลองคือหนูตะเภา พบว่าทำให้สีผิวอ่อนจางลง
--- ขยายผลการทดลองมาเป็นอาสาสมัคร 60 คน พบว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ ปวกหาดและออกซีเรสเวอราทรอลไม่แตกต่างกัน
ข้อจำกัด
- ความคงตัว สารสกัดจากแก่นมะหาดที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งเมื่อเก็บไว้ไม่เกิน 3 เดือน สีก็จะเข้มขึ้นจนท้ายสุดจะ-เป็นสีน้ำตาล นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลและฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไทโรสิเนส พบว่าก็จะลดลงตามระยะเวลาด้วย
- คุณภาพ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา เปอร์เซ็นต์ของออกซีเรสเวอราทรอลต้องมากกว่า 80% ขึ้นไป ถึงจะมั่นใจได้ว่ามีฤทธิ์ต้านไทโรสิเนส
- ทรัพยากร มะหาดเป็นไม้ยืนต้นซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงจะโต และต้องโค่นต้นเพื่อเอาแก่นมาใช้ การจะผลิตสารจากแก่นมะหาดอย่างยั่งยืนต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกที่ดี ไม่ใช่ตัดมาจากธรรมชาติอย่างเดียว
ผลจากการใช้ แก่นมะหาดจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนแปลงไม่มาก อย่างดีที่สุดคือช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมตามกรรมพันธุ์ของตน
นอกจากนี้ ผมได้รับข้อมูลจากการสนทนาในกลุ่มวงการความงาม
ได้ข้อมูลเพิ่มอีกคือ มะหาดขาวจริง แต่ต้องเป็นส่วนของ “แก่น”
แต่สินค้าที่วางขายปัจจุบัน ใช้ส่วนของ กิ่ง, ก้าน ซึ่งไม่มีส่วนช่วยให้ขาว
เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆง่ายๆดังนี้
- สินค้าแต่ละล๊อต อาจมีคุณภาพไม่เท่ากัน เพราะแต่ละต้นมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน
- สินค้ามะหาด ต้องประกอบด้วยออกซีเรสเวอราทรอล 80% ขึ้นไป ถึงจะช่วยให้ขาว
- มะหาดที่แท้จริง จะค่อยๆขาว และขาวขึ้นไม่มาก และจะไม่ขาวกว่าสีผิวจริง ซึ่งอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
- ยังไม่มีผลวิจัย ผลกระทบจากการใช้งานในระยะยาว
- มีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เพราะ 2 สถาบัน วิจัยได้ผลต่างกัน จึงควรปลอดภัยไว้ก่อน
- ไม่ควรใช้แบบที่มีความเข้มข้นเกิน 5% เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง
.... เมื่อได้หลักฐานข้อมูลที่ต้องการมาทั้งหมดแล้ว เครื่องหมายคำถามก็เกิดขึ้นในหัวผม
ผลวิจัยบอกว่า ขาวอย่างช้าๆ และมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
แล้วที่วางขาย ใช้แล้วขาวทันที มันใส่อะไรในนั้น !
Source:
http://www.research.chula.ac.th/rs_news/2551/N006_22.htm
http://erk-erk.exteen.com/20120530/q-a-1
http://www.dailynews.co.th/article/1490/133547
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079892
--------------------------------
นี่คือบทความที่ผมเขียนไว้เมื่อนานมาก (ปัจจุบันผมย้ายมาเขียน IT, Mobile Review ที่ www.bacidea.com)
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ... คุณควรหาแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือ
สินค้าบางอย่างก็ต้องระวัง แต่สินค้า no name, otop บางอย่างก็ปลอดภัยจริงๆครับ อย่าไปเหมารวมเค้า
ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้
344 227
bacidea
วันพฤหัส เวลา 01:43 น.
Sudjarid_sai ถูกใจ, After Apple - picking ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 733558 สยอง, Nafel ถูกใจ, MEZLOO ถูกใจ, บราวนี่ชีสเค้กท็อปปิ้งวิคครีม ทึ่ง, ลูกหมีอลาสก้า ถูกใจ, maple_syrup ถูกใจ, ปราชญ์แห่งอานาธีเซีย ทึ่ง, pRiMyPfamily ถูกใจรวมถึงอีก 217 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
ความคิดเห็นที่ 31-10
ยังมีอีกแง่มุมนะคะที่ จขกท. ยังไม่เคยประสบพบเจอ คือโรงงานดีๆ และผู้ขายดีๆ
เราเป็นเภสัช เคยทำฝ่าย R&Dอยู่บริษัทผลิตเครื่องสำอาง OEM สำหรับบริษัทที่เราเคยทำงานด้วยนั้น ครีมทาผิวพัฒนาสูตรบอกตามตรงเลยนะคะ ว่าใส่สารสกัดราคาแพงจริง พร้อมทั้งใส่หลายตัวเสริมฤทธิ์กันด้วย เช่น สารสกัด wild yam ที่มีในลังโคม , vitamin E , C ,และสารสกัดที่เจ๋งๆอื่นๆเราก็ใส่จริง
แค่นั้นยังไม่พอ เรายังต้องทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ที่สภาวะต่างๆอีก ถึงจะส่งไป production line พอผลิตจริง เราต้องลงไปตรวจว่าขั้นตอนแต่ละขั้นตอนถูกค้องเหมาะสมหรือไม่
ตอนนั้นโรงงานที่เราทำงานด้วยยังไม่ได้ GMP เลย แต่ระบบเนี๊ยบมากๆ
ราคาของครีมมีตั้งแต่ 500,2000, 3000 ไปถึงหลักหมื่น เลยค่ะ แล้วแต่ว่าจะใส่สารสกัดเยอะแค่ไหน
ป.ล. Deoxy arbutin ไม่ได้อันตรายเลยค่ะ และเราก็สามารถทำให้คงตัวได้โดยไม่สลายเป็นhydroquinone เนื้อครีมหรือเซรั่มที่เราเคยพัฒนาจึงใส ไม่เหลืองค่ะ
ตอบกลับ
0 0
เด็กหญิงโดนัท
1 ชั่วโมงที่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 36-8
ตอบคุณosk1988 ความคิดเห็นที่ 36-4
พิษจากปรอทจะไปทำลายไต ทำให้ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือดตายในที่สุด
หรือทำให้เกิดโรคมินามาตะ มีสอนในการศึกษาภาคบังคับนะคะ คุ้นๆไหม ^^
อันตรายจากปรอท เอาไปอ่านเล่นนะคะ
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=79
ตอบกลับ
0 0
นิราศดานัง
เมื่อวานนี้ เวลา 03:34 น.
ขออธิบายในฐานะคนทำสบู่ก่อนนะคะ (ทำใช้เองนะคะไม่ได้ขาย) คุณ คห. นี้ค่อนข้างผิดหลายอย่างค่ะ
คือต้องอธิบายก่อนว่าสบู่ดั้งเดิมนั้นเกิดจาก น้ำมัน + โซดาไฟ (หรือด่าง สมัยโบราณใช้น้ำขี้เถ้า) จึงออกมาเป็นสบู่ค่ะ ถ้าไม่ใช่ขั้นตอนแบบนี้เรียกว่าสบู่เทียม หรือ การเอาสารเคมีทำความสะอาดมาอัดก้อนค่ะ โซดาไฟในสบู่ไม่เป็นอันตรายเพราะว่ามันทำปฏิกิริยากับน้ำมันจนหมดแล้วค่ะ (ถ้าทำอย่างถูกต้อง) ph ของสบู่แบบดั้งเดิมจะเป็นด่างอยู่ที่ 9-10 ประมาณนี้ค่ะ ถ้าสบู่โรงงานจะต่ำกว่านี้เพราะเค้าเติมเคมีตัวอื่น ๆ ลงไป แต่ถึงจะเป็นด่างก็ไม่เป็นอันตรายต่อผิวเพราะไม่ได้ด่างแรงขนาดนั้น และผิวของเราจะปรับ ph ให้กลับสู่ปกติคือ 5.5 ได้เองภายในครึ่งชั่วโมง
เบสสบู่ที่ดีต้องเป็นเบสกลีเซอรีน อันนี้ไม่จริงนะคะ คนทำสบู่จะรู้กันเลยว่าสบู่เบสกลีเซอรีน (มันจะก้อนใส ๆ) คุณค่าบำรุงผิวจะสู้สบู่ธรรมดาไม่ได้ค่ะ สบู่ธรรมดานั้นถ้าขั้นตอนการผลิตดั้งเดิมจะมีกลีเซรีนเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่สบู่ที่ทำในโรงงานจะสกัดกลีเซอรีนตัวนี้ออกไปขายเพื่อใส่โลชั่นอีกที ก็เลยทำให้ผิวแห้งค่ะ เพราะฉะนั้นสบู่ที่ผลิตด้วยวิธีดั้งเดิมบ้าน ๆ (แบบไม่ใส่สารอันตราย) จะดีต่อผิวที่สุดค่ะ
ตอบกลับ
15 12
ranmachan
After Apple - picking ถูกใจ, นมสดใส่หน้านม ถูกใจ, ปิดปรับปรุงหน้าตา ถูกใจ, :: VamleS :: ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 790828 ถูกใจ, นิราศดานัง ถูกใจ, ก้นกระทะ ถูกใจ, dreamon ถูกใจ, zhanghuili ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 712306 ถูกใจ รวมถึงอีก 2 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
เมื่อนานมาแล้ว ผมเคยพยายามรวบรวมข้อมูล "มะหาด" และหาที่มา แหล่งข้อมูลที่อ้างงานวิจัย
และผมเขียนไว้ใน blog อันเก่าของผมที่ http://bacidea.tumblr.com/post/30933963790
ผมขอก๊อปบทความผมจาก blog ออกมาให้อ่านละกันนะครับ เผื่อจะเตือนสติหลายๆคนได้
------------------------------------------------------
มะหาด ขาว หลอกลวง?
ด้วยความที่ผมเป็นคนขวางโลก ประกอบกับตอนเรียน จะโดนปลูกฝังให้เป็นคนช่างสงสัย
ผมเลยหาข้อมูลของมะหาด ว่ามันทำให้ขาวขึ้นจริงๆ หรือเพราะสารอะไร
สิ่งที่ผมค้นพบ ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยยิ่งกว่าเดิม
เพราะว่าทุกเว็บจะคัดลอกผลการวิจัยมาเหมือนกัน ดังนี้
มะหาด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Artocarpus lakoocha Roxb. ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในประเทศไทย ปกติแล้ว เรามักใช้เปลือก ราก และแก่น มาต้มดื่มหรือบดเป็นผงชง เพื่อลดไข้ ถ่ายพยาธิ ถอนพิษร้อน ส่วนที่เราใช้มาผสมในเครื่องสำอาง คือ สารสกัดจาก“แก่น” ค่ะ โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่าสารธรรมชาติในกลุ่มสติลบีน (stilbene) หลายชนิดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส หนึ่งในสารกลุ่มนี้คือ ออกซิเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol หรือ trans-2,4,3,5- tetrahydroxystilbene ) ที่สกัดจากแก่นของมะหาด ยับยั้งการเกิดของเอนไซม์ไทโรซิเนสได้มากถึง 10 เท่า (กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ และคณะ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ในระยะสั้นพบว่า สามารถทำให้ผิวขาวได้มากขึ้น
รายละเอียดของการทดลองคือ ผลการทดลองพบว่าครีมมะหาดมีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวในหนูตะเภา ต่อมาได้ทำการศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 4 คน โดยทาสารสกัดจากแก่นมะหาดที่แขนวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ และทำการวัดค่าความเข้มของสีผิวด้วยเครื่อง Mexameter พบว่าแขนที่ทาด้วยสารสกัดจากแก่นมะหาดมีแนวโน้มให้ค่าความเข้มของสีผิวลดลง โดยไม่มีอาการแพ้หรือระคายเคือง ในที่สุดผู้วิจัยได้ศึกษาในอาสาสมัครจำนวนมากขึ้น คือ 60 คน ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เป็นเพศหญิง อายุ 20–48 ปี มีสภาพผิวหนังปกติ จากการทาสารสกัดที่ต้นแขนของอาสาสมัครวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปรียบเทียบกับอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากชะเอมและกรดโคจิก ผลการทดลองพบว่ากลุ่มอาสาสมัครที่ทาด้วยสารสกัดจากมะหาด จะมีผิวขาวขึ้นเรื่อยๆ ความขาวของสีผิวจะเห็นผลในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญตามระยะเวลาที่ทำการทดลอง นอกจากนี้ ยังไม่พบอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวแต่อย่างใด
และข้อความอีกชุด ที่มักถูกใช้โฆษณา คือ
ศูนย์ผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ศึกษาการใช้สารสกัด 5% oxyresveratrol จากสมุนไพรแก่นมะหาดในการรักษาฝ้า ได้ผลดีไม่แตกต่างจากยาทา 2% Hydroquinone (ยาทาฝ้าชนิดออกฤทธิ์แรงที่จ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้น) และพบผลข้างเคียงเล็กน้อย
ถอดใจความออกมา จะเห็นว่า พูดถึงแต่ข้อดีจนน่าสงสัย นั่นก็คือ
- ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน ช่วยให้ขาวขึ้น
- มีฤทธิ์รักษาฝ้าเทียบเท่าไฮโดรควิโนน
- ไม่มีผลข้างเคียง หรือพบเพียงเล็กน้อย
ซึ่งบอกตรงๆ… ผมไม่เชื่อ!!!
ผมเลยค้นหาต้นตอของข้อมูล และได้ข้อมูลประกอบดังนี้
- เคยมีการวิจัยมะหาดโดยแพทย์จุฬาฯ เมื่อปี 2551
- ผู้จัดการออนไลน์ มีข่าว “มะหาด รักษาเริม” แต่ไม่มีข่าว “มะหาดทำให้ขาว” ตามที่เว็บขายสินค้ากล่าวอ้าง
- ผลการวิจัยของคณะแพทย์ มศว.
--- รักษาฝ้าได้เทียบเท่าไฮโดรควิโนน
--- ไม่มีรายงานยืนยันว่าทำให้ขาว และผลในระยะยาว
--- ผลข้างเคียงเยอะ และเกิดอาการแพ้ได้
และผมมาเจอหลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นคือ บทสัมภาษณ์เจ้าของผลงานชิ้นนี้ บนเว็บ เดลินิวส์
รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมวิจัย
ซึ่งเนื้อข่าวยาวมาก ผมจึงตัดมาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจดังนี้
- ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ผิวคนไทยจึงมีสีเข้ม
- ค่านิยมอยากขาว ทำให้สินค้าจากเมืองนอกเป็นที่นิยม
- เป็นเรื่องดี ถ้าหันมาใช้สินค้าไทย ( มะหาด )
- รศ. ดร. ภาคภูมิ ตกใจที่เห็นข่าวสินค้ามะหาดอยู่มากมาย
- ขั้นตอนและผลการวิจัย
--- แก่นมะหาดและสารสำคัญที่มีอยู่ คือ ออกซีเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol)
--- ออกซีเรสเวอราทรอล สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีเมลานิน
--- เริ่มยืนยันผลในสัตว์ทดลองคือหนูตะเภา พบว่าทำให้สีผิวอ่อนจางลง
--- ขยายผลการทดลองมาเป็นอาสาสมัคร 60 คน พบว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ ปวกหาดและออกซีเรสเวอราทรอลไม่แตกต่างกัน
ข้อจำกัด
- ความคงตัว สารสกัดจากแก่นมะหาดที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งเมื่อเก็บไว้ไม่เกิน 3 เดือน สีก็จะเข้มขึ้นจนท้ายสุดจะ-เป็นสีน้ำตาล นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลและฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไทโรสิเนส พบว่าก็จะลดลงตามระยะเวลาด้วย
- คุณภาพ ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา เปอร์เซ็นต์ของออกซีเรสเวอราทรอลต้องมากกว่า 80% ขึ้นไป ถึงจะมั่นใจได้ว่ามีฤทธิ์ต้านไทโรสิเนส
- ทรัพยากร มะหาดเป็นไม้ยืนต้นซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงจะโต และต้องโค่นต้นเพื่อเอาแก่นมาใช้ การจะผลิตสารจากแก่นมะหาดอย่างยั่งยืนต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกที่ดี ไม่ใช่ตัดมาจากธรรมชาติอย่างเดียว
ผลจากการใช้ แก่นมะหาดจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนแปลงไม่มาก อย่างดีที่สุดคือช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมตามกรรมพันธุ์ของตน
นอกจากนี้ ผมได้รับข้อมูลจากการสนทนาในกลุ่มวงการความงาม
ได้ข้อมูลเพิ่มอีกคือ มะหาดขาวจริง แต่ต้องเป็นส่วนของ “แก่น”
แต่สินค้าที่วางขายปัจจุบัน ใช้ส่วนของ กิ่ง, ก้าน ซึ่งไม่มีส่วนช่วยให้ขาว
เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว ผมจะสรุปให้ฟังสั้นๆง่ายๆดังนี้
- สินค้าแต่ละล๊อต อาจมีคุณภาพไม่เท่ากัน เพราะแต่ละต้นมีประสิทธิภาพไม่เท่ากัน
- สินค้ามะหาด ต้องประกอบด้วยออกซีเรสเวอราทรอล 80% ขึ้นไป ถึงจะช่วยให้ขาว
- มะหาดที่แท้จริง จะค่อยๆขาว และขาวขึ้นไม่มาก และจะไม่ขาวกว่าสีผิวจริง ซึ่งอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
- ยังไม่มีผลวิจัย ผลกระทบจากการใช้งานในระยะยาว
- มีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เพราะ 2 สถาบัน วิจัยได้ผลต่างกัน จึงควรปลอดภัยไว้ก่อน
- ไม่ควรใช้แบบที่มีความเข้มข้นเกิน 5% เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง
.... เมื่อได้หลักฐานข้อมูลที่ต้องการมาทั้งหมดแล้ว เครื่องหมายคำถามก็เกิดขึ้นในหัวผม
ผลวิจัยบอกว่า ขาวอย่างช้าๆ และมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นความต่าง
แล้วที่วางขาย ใช้แล้วขาวทันที มันใส่อะไรในนั้น !
Source:
http://www.research.chula.ac.th/rs_news/2551/N006_22.htm
http://erk-erk.exteen.com/20120530/q-a-1
http://www.dailynews.co.th/article/1490/133547
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079892
--------------------------------
นี่คือบทความที่ผมเขียนไว้เมื่อนานมาก (ปัจจุบันผมย้ายมาเขียน IT, Mobile Review ที่ www.bacidea.com)
สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ... คุณควรหาแหล่งที่มา ความน่าเชื่อถือ
สินค้าบางอย่างก็ต้องระวัง แต่สินค้า no name, otop บางอย่างก็ปลอดภัยจริงๆครับ อย่าไปเหมารวมเค้า
ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้
344 227
bacidea
วันพฤหัส เวลา 01:43 น.
Sudjarid_sai ถูกใจ, After Apple - picking ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 733558 สยอง, Nafel ถูกใจ, MEZLOO ถูกใจ, บราวนี่ชีสเค้กท็อปปิ้งวิคครีม ทึ่ง, ลูกหมีอลาสก้า ถูกใจ, maple_syrup ถูกใจ, ปราชญ์แห่งอานาธีเซีย ทึ่ง, pRiMyPfamily ถูกใจรวมถึงอีก 217 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
ความคิดเห็นที่ 31-10
ยังมีอีกแง่มุมนะคะที่ จขกท. ยังไม่เคยประสบพบเจอ คือโรงงานดีๆ และผู้ขายดีๆ
เราเป็นเภสัช เคยทำฝ่าย R&Dอยู่บริษัทผลิตเครื่องสำอาง OEM สำหรับบริษัทที่เราเคยทำงานด้วยนั้น ครีมทาผิวพัฒนาสูตรบอกตามตรงเลยนะคะ ว่าใส่สารสกัดราคาแพงจริง พร้อมทั้งใส่หลายตัวเสริมฤทธิ์กันด้วย เช่น สารสกัด wild yam ที่มีในลังโคม , vitamin E , C ,และสารสกัดที่เจ๋งๆอื่นๆเราก็ใส่จริง
แค่นั้นยังไม่พอ เรายังต้องทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ที่สภาวะต่างๆอีก ถึงจะส่งไป production line พอผลิตจริง เราต้องลงไปตรวจว่าขั้นตอนแต่ละขั้นตอนถูกค้องเหมาะสมหรือไม่
ตอนนั้นโรงงานที่เราทำงานด้วยยังไม่ได้ GMP เลย แต่ระบบเนี๊ยบมากๆ
ราคาของครีมมีตั้งแต่ 500,2000, 3000 ไปถึงหลักหมื่น เลยค่ะ แล้วแต่ว่าจะใส่สารสกัดเยอะแค่ไหน
ป.ล. Deoxy arbutin ไม่ได้อันตรายเลยค่ะ และเราก็สามารถทำให้คงตัวได้โดยไม่สลายเป็นhydroquinone เนื้อครีมหรือเซรั่มที่เราเคยพัฒนาจึงใส ไม่เหลืองค่ะ
ตอบกลับ
0 0
เด็กหญิงโดนัท
1 ชั่วโมงที่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 36-8
ตอบคุณosk1988 ความคิดเห็นที่ 36-4
พิษจากปรอทจะไปทำลายไต ทำให้ปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือดตายในที่สุด
หรือทำให้เกิดโรคมินามาตะ มีสอนในการศึกษาภาคบังคับนะคะ คุ้นๆไหม ^^
อันตรายจากปรอท เอาไปอ่านเล่นนะคะ
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=79
ตอบกลับ
0 0
นิราศดานัง
เมื่อวานนี้ เวลา 03:34 น.
ขออธิบายในฐานะคนทำสบู่ก่อนนะคะ (ทำใช้เองนะคะไม่ได้ขาย) คุณ คห. นี้ค่อนข้างผิดหลายอย่างค่ะ
คือต้องอธิบายก่อนว่าสบู่ดั้งเดิมนั้นเกิดจาก น้ำมัน + โซดาไฟ (หรือด่าง สมัยโบราณใช้น้ำขี้เถ้า) จึงออกมาเป็นสบู่ค่ะ ถ้าไม่ใช่ขั้นตอนแบบนี้เรียกว่าสบู่เทียม หรือ การเอาสารเคมีทำความสะอาดมาอัดก้อนค่ะ โซดาไฟในสบู่ไม่เป็นอันตรายเพราะว่ามันทำปฏิกิริยากับน้ำมันจนหมดแล้วค่ะ (ถ้าทำอย่างถูกต้อง) ph ของสบู่แบบดั้งเดิมจะเป็นด่างอยู่ที่ 9-10 ประมาณนี้ค่ะ ถ้าสบู่โรงงานจะต่ำกว่านี้เพราะเค้าเติมเคมีตัวอื่น ๆ ลงไป แต่ถึงจะเป็นด่างก็ไม่เป็นอันตรายต่อผิวเพราะไม่ได้ด่างแรงขนาดนั้น และผิวของเราจะปรับ ph ให้กลับสู่ปกติคือ 5.5 ได้เองภายในครึ่งชั่วโมง
เบสสบู่ที่ดีต้องเป็นเบสกลีเซอรีน อันนี้ไม่จริงนะคะ คนทำสบู่จะรู้กันเลยว่าสบู่เบสกลีเซอรีน (มันจะก้อนใส ๆ) คุณค่าบำรุงผิวจะสู้สบู่ธรรมดาไม่ได้ค่ะ สบู่ธรรมดานั้นถ้าขั้นตอนการผลิตดั้งเดิมจะมีกลีเซรีนเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่สบู่ที่ทำในโรงงานจะสกัดกลีเซอรีนตัวนี้ออกไปขายเพื่อใส่โลชั่นอีกที ก็เลยทำให้ผิวแห้งค่ะ เพราะฉะนั้นสบู่ที่ผลิตด้วยวิธีดั้งเดิมบ้าน ๆ (แบบไม่ใส่สารอันตราย) จะดีต่อผิวที่สุดค่ะ
ตอบกลับ
15 12
ranmachan
After Apple - picking ถูกใจ, นมสดใส่หน้านม ถูกใจ, ปิดปรับปรุงหน้าตา ถูกใจ, :: VamleS :: ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 790828 ถูกใจ, นิราศดานัง ถูกใจ, ก้นกระทะ ถูกใจ, dreamon ถูกใจ, zhanghuili ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 712306 ถูกใจ รวมถึงอีก 2 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
ความคิดเห็นที่ 4
ความคิดเห็นที่ 355
เอาไปดูเพิ่มเติมนะ เครื่องสำอางที่ อย ระบุว่าอันตราย
โหลดฉบับเต็มที่นี่ http://www.oryornoi.com/?p=960
ตอบกลับ
0 3
bacidea
วันพฤหัส เวลา 17:29 น.
evilsmile ถูกใจ, หน่อไม้อร่อย ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 983041 ถูกใจ
--------------------------------
(3) มีต่อ อยากเล่าอีก ^____^ ตื่นตีสี่มาพิมพ์เล่าเลย
นี่ความเห็นเดิมในกระทู้นี้ของเรานะคะ
http://ppantip.com/topic/30905915/comment351
http://ppantip.com/topic/30905915/comment352
สวัสดีค่ะ เราตามอ่านกระทู้ทุกวันแล้วเกิดอาการคันปาก อยากเล่าอีกแล้ว ที่เราเล่าไว้ที่ คห. 351 และ 352 ยังแค่ส่วนหนึ่งของวีรกรรมตามล่าหาโรงงานทำแบรนด์เลยนะคะ หลายปีก่อนก่อนที่จะมาลงตัวที่สมุนไพรไทยดังเช่นในปัจจุบัน และก่อนหน้าที่จะเจอ 2 เจ้าที่ทำเอาเราผวาแล้ว เราได้ทำครีมบำรุงแบรนด์เล็กๆ ทดลองตลาดมาก่อน โดยใช้ชื่อตัวเองคนเดียวก่อนจะมาเป็นชื่อแบรนด์ปัจจุบันที่เป็นชื่อจริงเรารวมกับสามีค่ะ
ไม่ได้จะอวยตัวเองนะคะ แต่ทุกคนที่สนใจจะทำแบรนด์ควรทำอย่างเราค่ะ คือ
1. ค้นหาชื่อโรงงานต่างๆ จากเว็บอย. หรือกูเกิลก็ได้ แล้วดูข้อมูลจากเว็บไซต์ของเขาว่ามีรายละเอียดมากน้อยเพียงใด น่าเชื่อถือหรือไม่ เราติดต่อไปไม่น้อยกว่า 10 แห่ง
2. ติดต่อไปพูดคุยสอบถามทุกสิ่งที่เราต้องรู้ และอยากรู้ อีเมลล์ไปอีกเพื่อให้ได้คำตอบเป็นลายลักษณ์อักษร ขอแคตตาล็อกรายการสินค้า ราคาสินค้า จำนวนขั้นต่ำที่สั่ง
3. ขอตัวอย่างมาทดลองใช้ทั้งหมด ถ้าไม่ได้ฟรีก้ต้องซื้อค่ะ อยากทำธุรกิจต้องลงทุน อย่างกอย่าเขียม โรงงานที่กล่าวมามีทั้งให้ฟรีบางตัว และหลายๆ ตัวก็ต้องจ่ายเงินซื้อค่ะ
4. โรงงานใหญ่ๆ เหล่านี้มีพนักงานขาย หรือผู้ดูแลลูกค้าเฉพาะรายเลย เช่น เราได้น้องนก จากโรงงาน A ดู แล โรงงาน B ได้คุณไก่ดูแลตอบคำถามเป็นต้น คุณก็บอกเขาไปเลยว่าต้องการอะไร ทุนเท่าไหร่ สติกเกอร์ ขวด อะไรต่างๆ เราจะเอาแบบไหนเขาดูแลให้หมด รวมถึงขอ อย. ให้ด้วย ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายหมดเลยนะคะ ค่าจดแจ้ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าครีม ค่าออกแบบฉลาก ค่าบรรจุรายชิ้น เราเป็นผู้ตั้งชื่อแบรนด์ ตั้งชื่อครีม และจ่ายตังค์เท่านั้นค่ะ
ถ้าจะพัฒนาสูตรเฉพาะของตัวเองก็ทำได้แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ทุนน้อยไม่ไหวค่ะ ทีนี้พอเราเลือกสูตรมาตรฐานราคากลางๆ ก็ไม่มีจุดเด่น และไปซ้ำกับอีกหลายๆ ยี่ห้อค่ะ (กลางๆ ของเราคือ 8,000-15,000 ต่อกิโลกรัมนะคะ ถ้าถูกๆ คือ ต่ำกว่านั้น ไม่นับรวมพวกว่านหางจระเข้แบบเจล AHA BHA พวกตัวเดี่ยวๆ นะคะ เพราะพวกนี้ราคาไม่แพงอยู่แล้ว แต่ถึงไม่แพงก็ราคาสูงกว่าพวกครีมดอนเมืองกากๆ โลละ 2-300 ซึ่งอย่าไปนับรวมว่ามันเป็นครีม!)
ก่อนหน้าที่เราจะติดต่อโรงงานเหล่านี้ ยังเคยสั่งครีมมาจากอีก 3 เจ้ามาทดลอง แต่เราสืบเสาะแสวงหาจนรู้ว่าเขาก็สั่งจากโรงงานอื่นมาอีกที เลยไม่ได้สั่งกับเขา จริงๆ เขาก็ดีค่ะ แต่จุดอ่อนของเจ้าเล็กๆ ไซส์ SME คือ การทำแพ็คเกจจิ้งที่งดงามตามใจฉันไม่ได้ สติกเกอร์ปรินท์เอง ดีไซน์สวยงามไม่ได้ แล้วตอนนั้นเรายังใหม่ๆ ทำสติกเกอร์เองก็ไม่เป็น ดีไซน์เองก็ง่อยเปลี้ย เครื่องไม้เครื่องมือไม่สะดวกด้วย งบน้อยแต่อยากได้ครีมดีๆ ประมาณว่ารายได้ต่ำแต่รสนิยมสูงน่ะค่ะ (ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาของเราในปัจจุบันเช่นกันเพราะเราเองก็เป็น SME เล็กๆ ค่ะ ลงทุนกับครีม แต่แพกเกจจิ้งสู้เจ้าใหญ่ที่เงินทุนหนาไม่ได้จริงๆ เพราะทำเอง ออกแบบเอง ปรินท์เอง ติดเองทั้งหมดเรยยยยย โฆษณายังไม่กล้าลงเลย เสียดายเงินค่ะ T__T)
ทีนี้พอจบจาก 3 เจ้าเล็กๆ เราก็ตะลุยหาข้อมูลจากอินเตอร์เนต เราติดต่อไปเป็นสิบๆ ค่ะ จนคัดแล้วเหลือแค่ เนเชอรัลควอลิตี้พลัส, เบร คอสเมติก แลบ, คอสเมด อินโนเวชั่น, พรีมาแคร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, พารากอน เอสเทธิค และ คอสโมพรอฟ โรงงานเหล่านี้เป็นบริษัทจำกัด ทั้งหมด ทุนสูง แต่ละที่มี GMP ทั้งนั้น มีครีมให้เลือกมากมายเป็นร้อยๆ ทั้งที่เป็นสูตรมาตรฐานราคาไม่สูงจนถึงแบบราคาและคุณภาพสูงมากกิโลกรัมละหลายหมื่นบาท แล้วแต่เราจะเลือก
อย่างคอสโมพรอฟนี่ใหญ่มาก ดูสูตรครีมต่างๆ จากในเว็บเบื้องต้นแล้วก็ดีมาก ตอนเราส่ง inquiry ไปทางอีเมลล์ว่าเราสนใจทำแบรนด์ ต้องการครีมประมาณไหน มีผู้บริหารชาวต่างชาติตอบมาเองเลยค่ะ ภาษาอังกฤษล้วนๆ เล่นเอาเราเปิดดิกตอบกันเมื่อยเลย กว่าจะตอบฮีได้แต่ละเมลล์ดูแล้วดูอีก ว่าฮีจะเข้าใจอิฉันหรือไม่ ฮาฮ่าฮ่า จากนั้นเขาก็ส่งแคตตาล็อกมาให้ซึ่งน่าสนใจ มีหลายราคา แต่ที่ทำเอาเราชะงักคือ สั่งขั้นต่ำเยอะมากค่ะอย่างน้อย 5 กิโลกรัม บางตัว 10 กิโลกรัม บางตัว 20กิโลกรัม แล้วที่เราสนใจมันกิโลละเป็นหมื่นทั้งนั้นเลย แบบเลือกเอาตัวท็อปๆ ตามประสาเรา แต่เงินไม่ถึง อยากลองสั่งมาสักกิโลกรัมเดียวเขาไม่ทำนะคะ อันนี้ก็หลายปีแล้วตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง เงื่อนไขเดิมหรือเปลี่ยนไปแล้วก็ไม่รู้นะคะ
ส่วนโรงงานที่เหลือยังมีอะลุ่มอล่วยสั่งกิโลกรัมเดียวได้บ้าง จึงทั้งขอและสั่งซื้อตัวอย่างครีมที่สนใจมาเยอะเลยค่ะ ช่วงนั้นที่บ้านจะเต็มไปด้วยตัวอย่างครีมหลอดเล็กๆ จิ๋วเยอะมากๆๆๆๆๆ เน้นเลยว่ามากๆๆๆๆๆๆ บางตัวเขาให้มาเป็น 5-10 อันเชียวนะคะ เราก็แจกพี่น้อง ญาติให้ช่วยทดลองด้วย ใช้เองด้วยแน่ๆ อยู่แล้ว ทำให้เราใช้เวลานานมากกว่าจะเลือกครีมสักห้าหกตัวมาทำแบรนด์
จนสรุปเราก็เลือกได้จาก 2 ในโรงงานข้างบนนั่นแหละค่ะ บางโรงงานที่คัดทิ้งเพราะใส่น้ำหอมฉุน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของครีมโรงงานเขาเลย แต่เราไม่ชอบ ครีมบางตัวนี่คุ้นมากเพราะเคยเจอในคลินิคหมอรักษาหน้าด้วยค่ะ (ป.ล. วิธีสืบหาโรงงานอีกวิธีคือเนียนไปรักษาหน้า เช่น คันหน้าบ้าง เป็นผื่นบ้าง ได้ยาหลอดเล็กๆ ที่หมอให้มา บางทีมีกันแดด มีบำรุง ซึ่งพวกหมอก็สั่งจากโรงงานเหล่านี้ล่ะค่ะ บางหลอดยังมีแหล่งผลิตติดอยู่เลย เราก็ติดต่อไปตามนั้นแหละ นัยว่าเชื่อว่าหมอคงเลือกมาดีแล้ว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าหมอบางคนก็เชื่อไม่ได้นะคะ ให้วิเคราะห์จากหลายๆ อย่างประกอบกันค่ะ ^____^)
จริงๆ ถ้าคุณทุนหนา จะสั่งกับเขาเยอะๆ ก็ขอไปดูโรงงานเลยดีที่สุดค่ะ แต่สั่งน้อยๆ เขาคงไม่แคร์คุณเท่าไหร่ ต้องลองสอบถามดู เพราะบางโรงงาน (ที่ไม่ใช่ที่เรากล่าวถึง) ได้ GMP แบบได้ได้ยังไงเนี่ยยยยย ก็มีนะคะ
อย่างที่รู้มาจากคนวงใน ว่ามีแอบทำสอดใส้ ลูกค้าสั่งครีมสูตรมาตรฐานราคาถูก แต่เอาไปเพิ่มปรอทเอง สารนู่นนี่เองก็มี โรงงานอาจารย์เราก็เจอค่ะมาให้เพิ่มสารเร่งขาว แต่ขอโทษค่ะคุณเจอคนจริงเข้าแล้ว คนแบบนี้ทั้งอาจารย์และเรารังเกียจมากถึงมากที่สุดค่ะ ไปไกลๆ เลย
อีกแบบก็มาขอลดราคาแบบหน้ามืด อยากได้ของดีเลิศสมุนไพรสกัดตัวนั้นตัวนี้ พอเสนอราคาไปหลักไม่กี่พันแท้ๆ ขอต่อแบบไม่สงสารคนปลูก คนเก็บ คนสกัด และคนทำบ้างเลย ทั้งที่เราเข้าไปดูเว็บเขานะคะ ขายโคตรแพง แพงมากๆ ขวดงี้สวยเริศอลังการ สครับขัดตัวคุณขายชิ้นเดียวเป็นพัน เราเสนอไปหลักพันต่อกิโลกรัมคุณว่าแพง ส่วนครีมข้างในที่เขาขายอยู่ก่อนเขาเคยเอามาให้โรงงานตรวจก็เอามาจากโอท็อปโนเนมนี่แหละค่ะ ค่าความชื้น มาตรฐานก็ไม่ได้ แถมมีหน้ามาพูดว่าขวดเขาสวยมากแถมยังแพงกว่าครีมอีก โถ!!!!!!!!! นี่จะเอากำไรไปถอยรถ Benz ภายใน 2 เดือนหรือไงจ๊ะ เพลียมากอ้ะค่ะ น่าเบื่อมาก เราเอียนพวกโลภไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้มาก ขอแบนค่ะ
แบบที่รู้เห็นเป็นใจกับลูกค้าก็มี เช่น ลูกค้าอยากได้อาหารเสริมบำรุงและฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ สูตรมาตรฐานมันเป็นสมุนไพรซึ่งปกติมันไม่เห็นผลไวปุบปับหรอกนะคะ แต่นี่ขอให้ใส่ไวอากร้า อุแม่เจ้า!!!!! โรงงานก็ใส่ให้ค่ะ กินปุ๊บปึ๋งปั๋งทันใจ แต่ของแบบนี้มันไม่ธรรมชาติ เป็นเคมี ยาแรง มีผลข้างเคียงสูงนะคะ เผลอหลับไม่รู้ตื่นเลยถ้าไม่ใช้ยา นี่คนวงในเขาเล่าให้ฟังกับหูเลยค่ะ
ยาสมุนไพรแบบหลังโรงงานสกปรกเลอะเทอะ คุณภาพไม่ได้ ราขึ้นยังเอามาบดบรรจุแคปซูลขายหน้าตาเฉยก็มี เรียกได้ว่าพอรู้ความจริงหลายประการที่แสนจะน่าจะสะอิดสะเอียนแล้ว ปัจจุบันเราไม่กล้ากินอาหารเสริม และสมุนไพรจากคนอื่นหรือยี่ห้อในท้องตลาดใดๆ อีกเลย ด้วยความสัตย์จริง ที่พอจะน่าเชื่อเชื่อถืออยู่บ้างก็น่าจะมีนะคะ แต่เราไม่ได้ไปสรรหาอยากกินค่ะ ถ้ากินวิตามินก็กินแค่วิตามินซี บีรอคก้า และสมุนไพรของเราแค่นั่นเองค่ะ และกินไม่มาก
(เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะคะ ไปอาบน้ำกินข้าว ทำธุระก่อน)
แก้ไขข้อความเมื่อ 4 ชั่วโมงที่แล้ว
------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 554
ที่บอกว่าพิษงู ------ เขาวิจัยจากการทำเรียนแบบลักษณะกล้ามเนื้อเวลาโดนพิษงู มันเป็นเปปไทด์ สังเคาะห์
Deoxiarbutin ---- มันคืออนุพันธ์ของ Arbutin เรื่องจริงคือ ผลที่ได้น้อยกว่า Arbutin แต่เรามาเห็น ที่ไทยนี่แหล่ะว่าดีกว่าทั้งๆที่เรา เป็นคนดิวแล็ป
เขาบอกเองว่า มันได้ผลน้อยกว่า และราคาก็ถูกกว่าด้วย Arbutin แพงมากน่ะค่ะ ราคามีตั้งแต่ กิโล 22000- 90000 ต่างกันตรงไหน ต่างกันที่ แล็ปซื้อจากจีน เอาเข้าไปทำอะไรอีกไม่รู้ ออกมาเป็นชื่อใหม่ ทำไมซื้อที่จีนเพราะไปตั้งโรงงานอยู่ที่จีน สกัดจากวัตถุดิบ แล้วเอาไปทำต่อที่ ประเทศแล็ปนั้นๆ ออกมาก็ราคาสูงเลย เขาไม่ได้เอาไปรีแพ็คเฉยๆ บางที่เอาไปทำให้มันคงที่ นานขึ้น แล้วออกมาเป็นตัวใหม่ชื่อเดิมคือ Arbutin
ตอบกลับ
0 0
After Apple - picking
1 ชั่วโมงที่แล้ว
-----------------------
ความคิดเห็นที่ 552
ความคิดเห็นที่ 537
จากรายการข้างบนเราเคยขอตัวอย่างมาตรวจ กับจะยื่นจดสูตรโดนส่งกลับค่ะว่า Lipoic acid 20% ไม่มีในสาระบบ เราเคยสืบมาแล้วว่า 2 % อาจจะทำให้ระคายเคืองผิว เพราะมันเป็น Food Grade ไม่ใช่ Cosmetic Grade นี่ล่อไป 20% หลอกขายได้แต่ที่ไทยค่ะ เมืองนอกเขามีสาระบบไว้ เราย้ำแล้วว่า ไดลูชั่นมาหรือเปล่า ยังนอนยังนั่งยันว่าไม่
ก่อนทำธุรกิจ หรือซื้อของ อย่างน้อยๆจะต้องหาความรู้ให้ตัวเองก่อนด้วยค่ะ เพื่อป้องกันระดับหนึ่ง
ตอบกลับ
0 0
After Apple - picking
1 ชั่วโมงที่แล้ว
เอาไปดูเพิ่มเติมนะ เครื่องสำอางที่ อย ระบุว่าอันตราย
โหลดฉบับเต็มที่นี่ http://www.oryornoi.com/?p=960
ตอบกลับ
0 3
bacidea
วันพฤหัส เวลา 17:29 น.
evilsmile ถูกใจ, หน่อไม้อร่อย ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 983041 ถูกใจ
--------------------------------
(3) มีต่อ อยากเล่าอีก ^____^ ตื่นตีสี่มาพิมพ์เล่าเลย
นี่ความเห็นเดิมในกระทู้นี้ของเรานะคะ
http://ppantip.com/topic/30905915/comment351
http://ppantip.com/topic/30905915/comment352
สวัสดีค่ะ เราตามอ่านกระทู้ทุกวันแล้วเกิดอาการคันปาก อยากเล่าอีกแล้ว ที่เราเล่าไว้ที่ คห. 351 และ 352 ยังแค่ส่วนหนึ่งของวีรกรรมตามล่าหาโรงงานทำแบรนด์เลยนะคะ หลายปีก่อนก่อนที่จะมาลงตัวที่สมุนไพรไทยดังเช่นในปัจจุบัน และก่อนหน้าที่จะเจอ 2 เจ้าที่ทำเอาเราผวาแล้ว เราได้ทำครีมบำรุงแบรนด์เล็กๆ ทดลองตลาดมาก่อน โดยใช้ชื่อตัวเองคนเดียวก่อนจะมาเป็นชื่อแบรนด์ปัจจุบันที่เป็นชื่อจริงเรารวมกับสามีค่ะ
ไม่ได้จะอวยตัวเองนะคะ แต่ทุกคนที่สนใจจะทำแบรนด์ควรทำอย่างเราค่ะ คือ
1. ค้นหาชื่อโรงงานต่างๆ จากเว็บอย. หรือกูเกิลก็ได้ แล้วดูข้อมูลจากเว็บไซต์ของเขาว่ามีรายละเอียดมากน้อยเพียงใด น่าเชื่อถือหรือไม่ เราติดต่อไปไม่น้อยกว่า 10 แห่ง
2. ติดต่อไปพูดคุยสอบถามทุกสิ่งที่เราต้องรู้ และอยากรู้ อีเมลล์ไปอีกเพื่อให้ได้คำตอบเป็นลายลักษณ์อักษร ขอแคตตาล็อกรายการสินค้า ราคาสินค้า จำนวนขั้นต่ำที่สั่ง
3. ขอตัวอย่างมาทดลองใช้ทั้งหมด ถ้าไม่ได้ฟรีก้ต้องซื้อค่ะ อยากทำธุรกิจต้องลงทุน อย่างกอย่าเขียม โรงงานที่กล่าวมามีทั้งให้ฟรีบางตัว และหลายๆ ตัวก็ต้องจ่ายเงินซื้อค่ะ
4. โรงงานใหญ่ๆ เหล่านี้มีพนักงานขาย หรือผู้ดูแลลูกค้าเฉพาะรายเลย เช่น เราได้น้องนก จากโรงงาน A ดู แล โรงงาน B ได้คุณไก่ดูแลตอบคำถามเป็นต้น คุณก็บอกเขาไปเลยว่าต้องการอะไร ทุนเท่าไหร่ สติกเกอร์ ขวด อะไรต่างๆ เราจะเอาแบบไหนเขาดูแลให้หมด รวมถึงขอ อย. ให้ด้วย ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายหมดเลยนะคะ ค่าจดแจ้ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าครีม ค่าออกแบบฉลาก ค่าบรรจุรายชิ้น เราเป็นผู้ตั้งชื่อแบรนด์ ตั้งชื่อครีม และจ่ายตังค์เท่านั้นค่ะ
ถ้าจะพัฒนาสูตรเฉพาะของตัวเองก็ทำได้แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ทุนน้อยไม่ไหวค่ะ ทีนี้พอเราเลือกสูตรมาตรฐานราคากลางๆ ก็ไม่มีจุดเด่น และไปซ้ำกับอีกหลายๆ ยี่ห้อค่ะ (กลางๆ ของเราคือ 8,000-15,000 ต่อกิโลกรัมนะคะ ถ้าถูกๆ คือ ต่ำกว่านั้น ไม่นับรวมพวกว่านหางจระเข้แบบเจล AHA BHA พวกตัวเดี่ยวๆ นะคะ เพราะพวกนี้ราคาไม่แพงอยู่แล้ว แต่ถึงไม่แพงก็ราคาสูงกว่าพวกครีมดอนเมืองกากๆ โลละ 2-300 ซึ่งอย่าไปนับรวมว่ามันเป็นครีม!)
ก่อนหน้าที่เราจะติดต่อโรงงานเหล่านี้ ยังเคยสั่งครีมมาจากอีก 3 เจ้ามาทดลอง แต่เราสืบเสาะแสวงหาจนรู้ว่าเขาก็สั่งจากโรงงานอื่นมาอีกที เลยไม่ได้สั่งกับเขา จริงๆ เขาก็ดีค่ะ แต่จุดอ่อนของเจ้าเล็กๆ ไซส์ SME คือ การทำแพ็คเกจจิ้งที่งดงามตามใจฉันไม่ได้ สติกเกอร์ปรินท์เอง ดีไซน์สวยงามไม่ได้ แล้วตอนนั้นเรายังใหม่ๆ ทำสติกเกอร์เองก็ไม่เป็น ดีไซน์เองก็ง่อยเปลี้ย เครื่องไม้เครื่องมือไม่สะดวกด้วย งบน้อยแต่อยากได้ครีมดีๆ ประมาณว่ารายได้ต่ำแต่รสนิยมสูงน่ะค่ะ (ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาของเราในปัจจุบันเช่นกันเพราะเราเองก็เป็น SME เล็กๆ ค่ะ ลงทุนกับครีม แต่แพกเกจจิ้งสู้เจ้าใหญ่ที่เงินทุนหนาไม่ได้จริงๆ เพราะทำเอง ออกแบบเอง ปรินท์เอง ติดเองทั้งหมดเรยยยยย โฆษณายังไม่กล้าลงเลย เสียดายเงินค่ะ T__T)
ทีนี้พอจบจาก 3 เจ้าเล็กๆ เราก็ตะลุยหาข้อมูลจากอินเตอร์เนต เราติดต่อไปเป็นสิบๆ ค่ะ จนคัดแล้วเหลือแค่ เนเชอรัลควอลิตี้พลัส, เบร คอสเมติก แลบ, คอสเมด อินโนเวชั่น, พรีมาแคร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, พารากอน เอสเทธิค และ คอสโมพรอฟ โรงงานเหล่านี้เป็นบริษัทจำกัด ทั้งหมด ทุนสูง แต่ละที่มี GMP ทั้งนั้น มีครีมให้เลือกมากมายเป็นร้อยๆ ทั้งที่เป็นสูตรมาตรฐานราคาไม่สูงจนถึงแบบราคาและคุณภาพสูงมากกิโลกรัมละหลายหมื่นบาท แล้วแต่เราจะเลือก
อย่างคอสโมพรอฟนี่ใหญ่มาก ดูสูตรครีมต่างๆ จากในเว็บเบื้องต้นแล้วก็ดีมาก ตอนเราส่ง inquiry ไปทางอีเมลล์ว่าเราสนใจทำแบรนด์ ต้องการครีมประมาณไหน มีผู้บริหารชาวต่างชาติตอบมาเองเลยค่ะ ภาษาอังกฤษล้วนๆ เล่นเอาเราเปิดดิกตอบกันเมื่อยเลย กว่าจะตอบฮีได้แต่ละเมลล์ดูแล้วดูอีก ว่าฮีจะเข้าใจอิฉันหรือไม่ ฮาฮ่าฮ่า จากนั้นเขาก็ส่งแคตตาล็อกมาให้ซึ่งน่าสนใจ มีหลายราคา แต่ที่ทำเอาเราชะงักคือ สั่งขั้นต่ำเยอะมากค่ะอย่างน้อย 5 กิโลกรัม บางตัว 10 กิโลกรัม บางตัว 20กิโลกรัม แล้วที่เราสนใจมันกิโลละเป็นหมื่นทั้งนั้นเลย แบบเลือกเอาตัวท็อปๆ ตามประสาเรา แต่เงินไม่ถึง อยากลองสั่งมาสักกิโลกรัมเดียวเขาไม่ทำนะคะ อันนี้ก็หลายปีแล้วตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง เงื่อนไขเดิมหรือเปลี่ยนไปแล้วก็ไม่รู้นะคะ
ส่วนโรงงานที่เหลือยังมีอะลุ่มอล่วยสั่งกิโลกรัมเดียวได้บ้าง จึงทั้งขอและสั่งซื้อตัวอย่างครีมที่สนใจมาเยอะเลยค่ะ ช่วงนั้นที่บ้านจะเต็มไปด้วยตัวอย่างครีมหลอดเล็กๆ จิ๋วเยอะมากๆๆๆๆๆ เน้นเลยว่ามากๆๆๆๆๆๆ บางตัวเขาให้มาเป็น 5-10 อันเชียวนะคะ เราก็แจกพี่น้อง ญาติให้ช่วยทดลองด้วย ใช้เองด้วยแน่ๆ อยู่แล้ว ทำให้เราใช้เวลานานมากกว่าจะเลือกครีมสักห้าหกตัวมาทำแบรนด์
จนสรุปเราก็เลือกได้จาก 2 ในโรงงานข้างบนนั่นแหละค่ะ บางโรงงานที่คัดทิ้งเพราะใส่น้ำหอมฉุน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของครีมโรงงานเขาเลย แต่เราไม่ชอบ ครีมบางตัวนี่คุ้นมากเพราะเคยเจอในคลินิคหมอรักษาหน้าด้วยค่ะ (ป.ล. วิธีสืบหาโรงงานอีกวิธีคือเนียนไปรักษาหน้า เช่น คันหน้าบ้าง เป็นผื่นบ้าง ได้ยาหลอดเล็กๆ ที่หมอให้มา บางทีมีกันแดด มีบำรุง ซึ่งพวกหมอก็สั่งจากโรงงานเหล่านี้ล่ะค่ะ บางหลอดยังมีแหล่งผลิตติดอยู่เลย เราก็ติดต่อไปตามนั้นแหละ นัยว่าเชื่อว่าหมอคงเลือกมาดีแล้ว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าหมอบางคนก็เชื่อไม่ได้นะคะ ให้วิเคราะห์จากหลายๆ อย่างประกอบกันค่ะ ^____^)
จริงๆ ถ้าคุณทุนหนา จะสั่งกับเขาเยอะๆ ก็ขอไปดูโรงงานเลยดีที่สุดค่ะ แต่สั่งน้อยๆ เขาคงไม่แคร์คุณเท่าไหร่ ต้องลองสอบถามดู เพราะบางโรงงาน (ที่ไม่ใช่ที่เรากล่าวถึง) ได้ GMP แบบได้ได้ยังไงเนี่ยยยยย ก็มีนะคะ
อย่างที่รู้มาจากคนวงใน ว่ามีแอบทำสอดใส้ ลูกค้าสั่งครีมสูตรมาตรฐานราคาถูก แต่เอาไปเพิ่มปรอทเอง สารนู่นนี่เองก็มี โรงงานอาจารย์เราก็เจอค่ะมาให้เพิ่มสารเร่งขาว แต่ขอโทษค่ะคุณเจอคนจริงเข้าแล้ว คนแบบนี้ทั้งอาจารย์และเรารังเกียจมากถึงมากที่สุดค่ะ ไปไกลๆ เลย
อีกแบบก็มาขอลดราคาแบบหน้ามืด อยากได้ของดีเลิศสมุนไพรสกัดตัวนั้นตัวนี้ พอเสนอราคาไปหลักไม่กี่พันแท้ๆ ขอต่อแบบไม่สงสารคนปลูก คนเก็บ คนสกัด และคนทำบ้างเลย ทั้งที่เราเข้าไปดูเว็บเขานะคะ ขายโคตรแพง แพงมากๆ ขวดงี้สวยเริศอลังการ สครับขัดตัวคุณขายชิ้นเดียวเป็นพัน เราเสนอไปหลักพันต่อกิโลกรัมคุณว่าแพง ส่วนครีมข้างในที่เขาขายอยู่ก่อนเขาเคยเอามาให้โรงงานตรวจก็เอามาจากโอท็อปโนเนมนี่แหละค่ะ ค่าความชื้น มาตรฐานก็ไม่ได้ แถมมีหน้ามาพูดว่าขวดเขาสวยมากแถมยังแพงกว่าครีมอีก โถ!!!!!!!!! นี่จะเอากำไรไปถอยรถ Benz ภายใน 2 เดือนหรือไงจ๊ะ เพลียมากอ้ะค่ะ น่าเบื่อมาก เราเอียนพวกโลภไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้มาก ขอแบนค่ะ
แบบที่รู้เห็นเป็นใจกับลูกค้าก็มี เช่น ลูกค้าอยากได้อาหารเสริมบำรุงและฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ สูตรมาตรฐานมันเป็นสมุนไพรซึ่งปกติมันไม่เห็นผลไวปุบปับหรอกนะคะ แต่นี่ขอให้ใส่ไวอากร้า อุแม่เจ้า!!!!! โรงงานก็ใส่ให้ค่ะ กินปุ๊บปึ๋งปั๋งทันใจ แต่ของแบบนี้มันไม่ธรรมชาติ เป็นเคมี ยาแรง มีผลข้างเคียงสูงนะคะ เผลอหลับไม่รู้ตื่นเลยถ้าไม่ใช้ยา นี่คนวงในเขาเล่าให้ฟังกับหูเลยค่ะ
ยาสมุนไพรแบบหลังโรงงานสกปรกเลอะเทอะ คุณภาพไม่ได้ ราขึ้นยังเอามาบดบรรจุแคปซูลขายหน้าตาเฉยก็มี เรียกได้ว่าพอรู้ความจริงหลายประการที่แสนจะน่าจะสะอิดสะเอียนแล้ว ปัจจุบันเราไม่กล้ากินอาหารเสริม และสมุนไพรจากคนอื่นหรือยี่ห้อในท้องตลาดใดๆ อีกเลย ด้วยความสัตย์จริง ที่พอจะน่าเชื่อเชื่อถืออยู่บ้างก็น่าจะมีนะคะ แต่เราไม่ได้ไปสรรหาอยากกินค่ะ ถ้ากินวิตามินก็กินแค่วิตามินซี บีรอคก้า และสมุนไพรของเราแค่นั่นเองค่ะ และกินไม่มาก
(เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อนะคะ ไปอาบน้ำกินข้าว ทำธุระก่อน)
แก้ไขข้อความเมื่อ 4 ชั่วโมงที่แล้ว
------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 554
ที่บอกว่าพิษงู ------ เขาวิจัยจากการทำเรียนแบบลักษณะกล้ามเนื้อเวลาโดนพิษงู มันเป็นเปปไทด์ สังเคาะห์
Deoxiarbutin ---- มันคืออนุพันธ์ของ Arbutin เรื่องจริงคือ ผลที่ได้น้อยกว่า Arbutin แต่เรามาเห็น ที่ไทยนี่แหล่ะว่าดีกว่าทั้งๆที่เรา เป็นคนดิวแล็ป
เขาบอกเองว่า มันได้ผลน้อยกว่า และราคาก็ถูกกว่าด้วย Arbutin แพงมากน่ะค่ะ ราคามีตั้งแต่ กิโล 22000- 90000 ต่างกันตรงไหน ต่างกันที่ แล็ปซื้อจากจีน เอาเข้าไปทำอะไรอีกไม่รู้ ออกมาเป็นชื่อใหม่ ทำไมซื้อที่จีนเพราะไปตั้งโรงงานอยู่ที่จีน สกัดจากวัตถุดิบ แล้วเอาไปทำต่อที่ ประเทศแล็ปนั้นๆ ออกมาก็ราคาสูงเลย เขาไม่ได้เอาไปรีแพ็คเฉยๆ บางที่เอาไปทำให้มันคงที่ นานขึ้น แล้วออกมาเป็นตัวใหม่ชื่อเดิมคือ Arbutin
ตอบกลับ
0 0
After Apple - picking
1 ชั่วโมงที่แล้ว
-----------------------
ความคิดเห็นที่ 552
ความคิดเห็นที่ 537
จากรายการข้างบนเราเคยขอตัวอย่างมาตรวจ กับจะยื่นจดสูตรโดนส่งกลับค่ะว่า Lipoic acid 20% ไม่มีในสาระบบ เราเคยสืบมาแล้วว่า 2 % อาจจะทำให้ระคายเคืองผิว เพราะมันเป็น Food Grade ไม่ใช่ Cosmetic Grade นี่ล่อไป 20% หลอกขายได้แต่ที่ไทยค่ะ เมืองนอกเขามีสาระบบไว้ เราย้ำแล้วว่า ไดลูชั่นมาหรือเปล่า ยังนอนยังนั่งยันว่าไม่
ก่อนทำธุรกิจ หรือซื้อของ อย่างน้อยๆจะต้องหาความรู้ให้ตัวเองก่อนด้วยค่ะ เพื่อป้องกันระดับหนึ่ง
ตอบกลับ
0 0
After Apple - picking
1 ชั่วโมงที่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 20
ดีมากเลยค่ะ อยากให้แอพนี้เสร็จเร็วๆ จัง เพราะเราคือคนที่เดือดร้อนจากพวกครีมเถื่อน เราทำครีมที่ถูกกฎหมาย ผลิตจากแล็บและโรงงานพรีม่าแคร์ที่ได้คุณภาพ ได้รับการรับรอง สินค้าก็ผ่าน อย. ถูกต้อง แต่เราขายในเน็ต บางทีคนจะมองว่าเป็นครีมเถื่อน ทั้งๆ ที่เราคัดสรรวัตถุดิบและสารสกัดดีมากค่ะ ถ้าแอพนี้เกิดขึ้นจริงๆ ลูกค้าจะได้เห็นว่าครีมแบรนด์เราไม่ใช่ของขายเอาสนุก
แสดงความคิดเห็น
จากกระทู้พลีชีพแฉครีมเถื่อนในเน็ต เป็นข่าวดีมากสำหรับผู้ใช้เครื่องสำอางค่ะ
วันนี้มีเพื่อนมิตรผู้น่ารักจากหลังไมค์ ที่คอยให้กำลังใจมาบอกข่าวว่า
ทาง อย.ติดต่อเพื่อนคนนี้มาทางโทรศัพท์ เพื่อให้ทำแอพพลิเคชั่นของทางอย.
ประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์ในการหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเวชสำอาง
เราดีใจมากเพราะกระทู้นี้มีประโยชน์ ผู้บริโภคจะได้เข้าถึงข้อมูลที่แท้จริง
และช่วยกันกำจัดครีมเถื่อนให้หมดไป
ขอบคุณทุกคนที่ให้ความรู้และช่วยกันแชร์ประสบการ์ณ
โลกโซเซียลมันใหญ่มาก ขอขอบคุณเพื่อนคนนี้
เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่คุณใจหล่อมาก แถมยินดีทำให้ฟรี(แต่อย.ควรให้ค่าใช้จ่ายนะ คหสต.)
ขอบคุณความเห็นในทู้นั้นค่ะ อยากให้ทุกท่านมาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อกันไปเรื่อยๆ
ไม่อยากให้ใครเป็นเหยื่อ จากความไม่รู้และหลอกลวงผู้บริโภคอีก
เราขอนำข้อมูลของบางคอมเม้นท์ในทู้นั้นมาแปะเพื่อประโยชน์ในการเลือกซื้อเครื่องสำอางนะคะ
ขอบคุณค่ะ