แพ้เครื่องสำอางค์ทำไงดี



เครื่องสำอางค์ชนิดไหนที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย
เครื่องสำอางค์ที่ถือว่ามีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงสูง ได้แก่ น้ำยายืดผม ครีมทำให้ผิวขาว ครีมรักษาฝ้า น้ำยาหรือครีมขจัดขน ส่วนที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลาง ได้แก่ น้ำยาดัดผม น้ำยาย้อมผม ครีมบำรุงผม มาส์คหน้า ครีมแก้สิว ครีมรองพื้น ลิบสติก น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะเพศ โฟมอาบน้ำ ยากันแดด ยาระงับกลิ่นตัว และยาลดเหงื่อ

จะทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าจะแพ้เครื่องสำอางค์
ถ้าสงสัยจะแพ้เครื่องสำอางค์ชนิดไหน ให้หยุดใช้เครื่องสำอางค์ชนิดนั้นทันที ถ้ามีหลายตัวให้หยุดใช้ตัวที่นำมาใช้ใหม่แล้วเกิดอาการก่อน ถ้าหยุดใช้แล้วอาการดีขึ้นก็อาจแสดงว่าเครื่องสำอางค์ตัวนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้มากมีผิวหน้าอักเสบอยู่ให้หยุดใช้เครื่องสำอางค์ทุกชนิด อนุญาตให้ใช้แป้งเด็ก ลิปสติก (ถ้าไม่มีผื่นที่ปาก) เครื่องสำอางค์แต่งดวงตา (ถ้าไม่มีผื่นรอบดวงตา) เมื่ออาการผิวหนังอักเสบหายแล้วค่อยลองใช้ที่ละตัวเป็นอย่างๆ ไป ถ้าเกิดผื่นขึ้นให้ลองหยุดใช้ตัวที่ใช้สุดท้าย ถ้าอาการหายไปก็น่าจะเกิดการแพ้เครื่องสำอางค์นั้นๆ
วิธีที่จะพิสูจน์ง่ายๆ ว่าเครื่องสำอางค์ชนิดนั้น เป็นสาเหตุที่เกิดการแพ้จริงหรือไม่ ให้ทำการทดสอบโดยทาเครื่องสำอางค์ที่สงสัยที่บริเวณท้องแขน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้ามีผื่นขึ้นก็แสดงว่าแพ้จริง ให้หยุดใช้เครื่องสำอางค์นั้นๆ
ถ้าทดสอบเองแล้วยังหาสาเหตุไม่ได้ แพทย์ผิวหนังจะมีการทดสอบทางผิวหนังโดยวิธีแพตช์เทสต์ (PATCH TEST) โดยจะใช้สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์ในความเข้มข้นที่เหมาะสมมาแปะติดลงบนแผ่นหลังของผู้ป่วย ทิ้งไว้ 2 วัน แล้วกลับมาอ่านผล ถ้ามีอาการผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ทดสอบ ก็แสดงว่าแพ้สารนั้นวิธีนี้มีประโยชน์ในการที่จะเลือกซื้อเครื่องสำอางค์ ครั้งต่อไปจะได้เลือกเครื่องสำอางค์ที่ไม่มีสารที่แพ้ผสมอยู่ เช่น ถ้าทดสอบแล้วพบว่าแพ้น้ำหอม เมื่อจะซื้อเครื่องสำอางค์ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำหอม หรือมีน้ำหอมน้อย ซึ่งอาจจะเขียนว่า NO PERFUME หรือ FRAGRANCE FREE ก็ได้
ถ้าเกิดอาการแพ้มากๆ ควรจะพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อการรักษาที่ถูกต้องอย่าฝืนใช้เครื่องสำอางค์หรือซื้อยาทาเองเนื่องจากอาจเกิดอันตรายมากขึ้น

ข้อแนะนำในการใช้เครื่องสำอางค์
ปิดฝาเครื่องสำอางค์ทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จ
รักษาความสะอาดของขวดกระปุก
เก็บเครื่องสำอางค์ไว้ในที่อาการไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป อากาศถ่ายเทได้สะดวก
แปรงหรือฟองน้ำต้องทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่
สำลีหรือพัฟควรจะเลือกแบบใช้แล้วทิ้งเพียงครั้งเดียว
ให้ล้างเครื่องสำอางค์ออกให้หมดก่อนนอน
มั่นตรวจอายุของเครื่องสำอางค์ หากหมดอายุก็ทิ้งเสีย โดยเฉพาะมาสคาราจะมีอายุใช้งาน 3 - 4 เดือนเท่านั้น
หากผิวหน้ามีการติดเชื้อ ก็อาจจะหยุดหรือทิ้งเครื่องสำอางค์นั้นเสีย เนื่องจากอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียในเครื่องสำอางค์

ข้อห้ามใช้เครื่องสำอางค์
อย่าใช้เครื่องสำอางค์ของคนอื่น หรือเครื่องสำอางค์ให้คนอื่นยืม เพราะอาจจะถ่ายเทเชื้อโรคให้กัน
ห้ามใช้เครื่องสำอางค์ที่ตั้งโชว์ไวตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางค์เพราะอาจจะติดเชื้อโรค
ให้ล้างหน้าให้สะอาดก่อนใช้เครื่องสำอางค์
หลังตื่นนอนควรจะรอจนหน้าและหนังตาหายบวมจึงจะค่อยเมคอับ
ห้ามแต่งหน้าระหว่างอยู่ในรถเพราะอาจจะทิ่มตา
ห้ามเติมน้ำลงในเครื่องสำอางค์ เพราะอาจจะมีเชื้อแบคทีเรีย
วิตามินอีไม่มีประโยชน์ต่อผิวหนังจึงไม่จำเป็นต่อเติมลงในเครื่องสำอางค์

แพ้เครื่องสำอางค์

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้มีปฏิกิริยาต่อเครื่องสำอางค์
พบแพทย์เพื่อทำการตรวจทดสอบสารแพ้ทางผิวหนัง ควรนำเครื่องสำอางค์ทุกชนิดที่ใช้ และสงสัยว่าอาจจะแพ้มาด้วย

การปฏิบัติตน
งดใช้สบู่, สารฟอก โดยให้ทำการชำระล้างด้วยน้ำเปล่า หรือให้เลือกใช้สบู่, ยาสระผมปลอดกลิ่น ปลอดน้ำหอม
ควรหยุดใช้เครื่องสำอางค์ทุกชนิด ยกเว้นลิปสติก ซึ่งอาจจะใช้ได้หากบริเวณ ริมฝีปากไม่มีผื่น
ส่วนเครื่องสำอางค์บริเวณรอบดวงตา สามารถใช้ได้ถ้าบริเวณเปลือกตา ไม่มีผื่น หรือไม่มีอาการผิดปกติ
สามารถทาแป้งฝุ่น
ถ้าผิวหนังแห้งมากให้ใช้เพียงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีน (Glycerin)

หลังจากผื่น, อาการต่างๆ ทุเลาหายเป็นปกติ (ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน) ท่านอาจมีวิธีทดสอบด้วยตนเองว่าแพ้เครื่องสำอางค์ตัวใดโดย
ทาผลิตภัณฑ์ที่สงสัยบริเวณท้องแขนหรือข้อพับ แขนวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน ถ้าภายใน 1 สัปดาห์ไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ โอกาสแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้นน่าจะมีน้อย
อาจทดลองใช้เครื่องสำอางค์ตามวิธีปกติได้ทีละ 1 ชนิด หากไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้นภายใน 1 - 2 สัปดาห์ ค่อยเลือกใช้เครื่องสำอางค์ชนิดที่ 2 ต่อไป

โรคผิวหนังผื่นแพ้สัมผัส contact dermatitis
โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่จะใช้สารเคมีกับร่างกายอย่างน้อย 7 ชนิด ได้แก่ น้ำหอม moisturizers, ครีมกันแสง, สบู่, ครีมนวดผมหรือแชมพูสระผม ครีมดับกลิ่น และเครื่องสำอางค์ที่พบบ่อยที่สุด คือ แพ้น้ำหอม ควรใช้เครื่องสำอางค์ที่ไม่มีน้ำหอม ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด คือ ใบหน้า ริมฝีปาก ตา หู เป็นการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสสารเคมีบางชนิด การอักเสบของผิวหนังจะมากหรือน้อยขึ้นกับความเข้มข้นของสารเคม ีและระยะเวลาที่สัมผัสแบ่งออกเป็นสองชนิด ได้แก่

Irritants Contact Dermatitis
เป็นการอักเสบของผิวหนังเมื่อ สัมผัสสารที่มีฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวสูง เช่น กรดหรือด่างที่มีความเข้มข้นสูงเมื่อถูกผิวครั้งเดียวก็ทำให้เกิดผื่น บวมแดงถ้าเป็นมากจะพอง หรือที่มีความระคายต่อผิวน้อยเช่น สบู่ ผงซักฟอก ครีมดับกลิ่น เครื่องสำอางค์ แม้กระทั้งน้ำเปล่าหากสัมผัสบ่อยๆก็ทำให้เกิดผื่นได้เช่นกัน  พวกนี้จะเกิดผื่นหลังจากสัมผัสไม่นานเช่นภายใน 1 - 2 วัน หลังสัมผัส

โลหะนิเกิล
มักใช้ผสมอยู่ในโลหะเพื่อเพิ่มความแข็ง, ให้ลักษณะเป็นมันวาว มักเป็นสาเหตุของการแพ้เครื่องประดับ, ตุ้มหู สายนาฬิกาอาจจะทำจากสายหนัง หรือโลหะซึ่งมี nickel ผสมทำให้เกิดผื่นเป็นแนวเครื่องสำอางค์ เช่น ยาย้อมผมเป็นสารที่พบว่าเกิดการแพ้ได้บ่อยที่สุด สารที่เป็นต้นเหตุ ได้แก่ Paraphenylenediamine ถ้าเป็นน้อยจะมีผื่น แดง คันบริเวณหนังตา หลังหู ต้นคอ รายที่เป็นมากหน้าตาจะบวม
แพ้ยาย้อมผมชนิดหนึ่งแล้วไม่ควรใช้ชนิดอื่นเพราะเกิดแพ้ได้เหมือนกัน
พวกครีมรองพื้น Moisturisers ลิปสติก เป็นเครื่องสำอางค์ที่ทำให้แพ้บ่อย ตำแหน่งที่พบบ่อย คือ หน้า หนังตา ริมผีปาก

ข้อมูลจิกมาจาก  http://ratiratbeautyandslim.weebly.com/  จ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่