Ed Wood (1994)
Genre: Biography, Drama
Director: Tim Burton
Book "Nightmare of Ecstasy" by: Rudolph Grey
Screenplay: Scott Alexander, Larry Karaszewski
ดู Ed Wood จบแล้วผมนึกถึงเพลง'แตกต่างเหมือนกัน' ท่อนที่ว่า "บนเส้นทางที่ต่างมีใครสักคนไหมที่มองเห็นทุกอย่างเข้าใจที่ฉันเป็น เลือกเดินก้าวผ่านทางเดียวเหมือนกันกับฉัน แตกต่างเหมือนกัน" ผมรู้สึกว่าทุกคนในหนังมันเป็นแบบนี้เป๊ะเลย ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกัน
เอ็ด วู้ดคือใคร? เขาคือผู้กำกับที่ได้รับการขนานนามว่าห่วยแตกที่สุดในโลก หนังแต่ละเรื่องของเขาแทบไม่มีนายทุนที่ไหนออกเงินให้สร้าง เขาต้องไปดิ้นรนหาทุนเองจากโบสถ์บ้าง โรงแช่แข็งเนื้อบ้าง แถมเพื่อนนักแสดงของเขาก็มีแต่คนที่โดนภายนอกตัดสินว่าประหลาด เป็นกะเทยไม่ยอมแปลงเพศบ้าง เป็นนักมวยปล้ำ เป็นนักแสดงดังตกอับติดยา แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาเหล่านี้ในหนังของทิม เบอร์ตันก็ยืนหยัดทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องแม้กระแสคนดูเวลานั้นจะบอกว่าหนังของเอ็ด วู้ดมันห่วยแตกสิ้นดี ยังไม่นับรวมหนังเรื่อง Plan 9 from Outer Space ที่ได้โหวตจากนักวิจารณ์ว่าเป็นหนังห่วยแตกที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ผมดูในหนังฟังพล๊อตที่เอ็ด วู้ดพยายามนำเสนอนายทุนแต่ละเรื่องมันฟังดูน่าสนใจทั้งนั้นเลยนะ ผมก็งงว่าทำไมเขาถึงบอกว่าห่วยที่สุดในโลก ก่อนจะร้องอ๋อว่างานเขาชุ่ย โปรดักชั่นห่วยเพราะงบน้อยเนี่ยแหละ ทั้งที่พิจารณาจากพล๊อตจากฝีมือของเขามันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น อย่างบทหนังละครเวทีเรื่องแรกของเขานี่ก็น่าสนใจมาก เป็นเรื่องทหารในสงครามโลกได้รับนกพิราบสันติภาพให้หยุดการเข่นฆ่า
พอมาทำ Glen or Glenda หนังเรื่องแรกด้วยทุนอันน้อยนิดว่าด้วยตัวตนของเขาจริง ๆ ว่าเป็นชายแท้แต่ชอบแต่งหญิงเพราะการเลี้ยงดูของครอบครัวในวัยเด็ก พล๊อตมันฟังดูเป็นหนังจิตวิทยาน่าสนใจดีนะ แต่งบมันมีอยู่เท่านั้นต้องถ่าย 4-5 วันเสร็จ ผมก็ไม่รู้ว่างานมันออกมาเป็นยังไง
หนังอย่าง Bride of the Monster กับ Plan 9 from Outer Space ซึ่งเป็น Sci-fi สยองขวัญฟังจากพล๊อตมันก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับยุคนั้นนะ แต่เช่นเคยหนังไม่มีทุนสร้าง ต้องรีบ ๆ ถ่ายให้จบเพื่อประหยัดงบที่มีจำกัดมันก็คงหวังกับงานโปรดักชั่นไม่ได้
และด้วยความที่เขาได้การบอกกล่าวว่าห่วยแตกทำให้คนรุ่นหลังไปควานหาหนังของเขามาดูว่าจะสมคำร่ำลือหรือไม่ (เป็นกลุ่มที่ทำให้ผมมองว่าเขาเป็นผู้กำกับหนังคัลท์เลยนะ) ผมไปอ่านรีวิวหนังแต่ละเรื่องของเอ็ด วู้ดส่วนมากจะพูดเหมือนกันหมดว่า "สนุก" "พล๊อตดีแต่โปรดักชั่นห่วย" มันเหมือนกับว่าคนในยุค 50 ห่วงงานประกอบฉาก ห่วงโปรดักชั่น ซึ่งความคิดของวู้ดบอกว่าคนดูไม่มาสนใจอะไรแบบนี้หรอก คนดูสนใจแค่บทหนังเนื้อเรื่องและตัวละคร ซึ่งมันอาจจะเป็นจุดหนึ่งที่คนรุ่นหลังเริ่มไม่สนใจเสียงด่าจากนักวิจารณ์ เพราะหนังมันดูสนุกแม้โปรดักชั่นงบน้อยมันจะดูห่วยแตกจริง ๆ ก็ตาม
ทิม เบอร์ตันทำหนังเรื่อง Ed Wood เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้กำกับที่เขาชอบจากใจจริงออกมาได้ดีมาก ๆ เลยครับ ตั้งแต่ฉากเครดิตเปิดหนังก็คารวะฉากในเรื่อง Plan 9 from Outer Space ผมชอบวิธีการเล่าเรื่องของเบอร์ตันที่มุ่งนำเสนอตัวตนของเอ็ด วู้ดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าปรุงแต่งความคิดเขามากแค่ไหน ภาพที่ออกมาของเอ็ด วู้ดจากการตีความของเบอร์ตันก็คือผู้ชายที่รักในการทำหนังโดยไม่แคร์โปรดักชั่น ไม่แคร์คุณภาพงาน มีออร์สัน เวลส์เป็นไอดอล แม้หนังเขาจะโดนด่าขนาดไหนเขาก็ยืนหยัดจะทำสิ่งที่เขารักต่อไปด้วยการสนับสนุนจากเพื่อน ๆ ของเขา
อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือเอ็ด วู้ดได้เบล่า ลูโกซี่อดีตนักแสดงหนังสยองขวัญชื่อดังซึ่งเป็นขวัญใจของเขามาร่วมแสดงด้วยตลอด เอ็ด วู้ดอยากทำหนังทำเงินมีชื่อเสียง ส่วนเบล่าตกอับติดยาก็อยากแสดงหนังด้วยแรงจูงใจเรื่องเงินและอาจจะมีความทะเยอทะยานในบั้นปลายด้วย เบล่าใน Ed Wood ได้การแสดงระดับเทพของมาร์ติน แลนเดาทำให้ตัวละครนี้ออกมาน่าติดตามมาก ๆ แลนเดาเองก็ได้ออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทนี้ครับ เขาแสดงได้โคตรสุดยอดจนผมอยากไปหาหนังที่เบล่าแสดงมาดูว่าเขาเจ๋งขนาดนี้เลยหรอ (หรือว่าแลนเดาสวมบทบาทเขาเกินจริง)
และที่น่าสนใจอีกอย่างคือความเป็นขั้วตรงข้ามระหว่างออร์สัน เวลส์กับเอ็ด วู้ดที่ทิม เบอร์ตันหยิบมาใส่ในหนังเล็กน้อย เวลส์คือผู้กำกับหนังเรื่อง Citizen Kane หนังที่เคยได้รับการโหวตจากสถาบัน AFI ว่ายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล (ก่อนจะเสียตำแหน่งให้ Vertigo) หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวของเวลส์ที่สตูดิโอไม่ได้มายุ่ง เป็นงานที่เขาพูดได้เต็มปากว่าเป็นผลงานของเขาจริง ๆ ขณะเดียวกัน Plan 9 from Outer Space ก็เป็นหนังที่วู้ดได้ทำหนังอย่างอิสระ แม้จะได้เงินทุนจากโบสถ์แต่เขาก็กำกับหนังเรื่องนี้เต็มตัวโดยไม่มีใครมาก้าวก่าย และมันตลกร้ายตรงที่หนังเรื่องนี้ได้รับการโหวตว่ายอดแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ฉากนั่งคุยกับเวลส์ในมุมของเบอร์ตันอาจจะเหมือนการเผยให้เห็นว่าเอ็ด วู้ดปลื้มออร์สัน เวลส์ขนาดไหน และชี้ให้เห็นว่าทั้งสองคนต่างก็ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน แต่ด้วยชื่อเสียงบารมีและทุนสร้างทำให้ผลลัพธ์งานออกมาแตกต่างกัน มันจึงเหมือนเป็นตลกร้ายเอามาก ๆ เลยสำหรับผม
นอกจากนี้การที่หนังมาพร้อมกับฟิล์มขาวดำก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดเอามาก ๆ
ป.ล. สักวันคงต้องไปหาหนังของเอ็ด วู้ดมาดูว่ามันสนุกขนาดไหน
8.5/10
Ed Wood
Genre: Biography, Drama
Director: Tim Burton
Book "Nightmare of Ecstasy" by: Rudolph Grey
Screenplay: Scott Alexander, Larry Karaszewski
ดู Ed Wood จบแล้วผมนึกถึงเพลง'แตกต่างเหมือนกัน' ท่อนที่ว่า "บนเส้นทางที่ต่างมีใครสักคนไหมที่มองเห็นทุกอย่างเข้าใจที่ฉันเป็น เลือกเดินก้าวผ่านทางเดียวเหมือนกันกับฉัน แตกต่างเหมือนกัน" ผมรู้สึกว่าทุกคนในหนังมันเป็นแบบนี้เป๊ะเลย ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวกัน
เอ็ด วู้ดคือใคร? เขาคือผู้กำกับที่ได้รับการขนานนามว่าห่วยแตกที่สุดในโลก หนังแต่ละเรื่องของเขาแทบไม่มีนายทุนที่ไหนออกเงินให้สร้าง เขาต้องไปดิ้นรนหาทุนเองจากโบสถ์บ้าง โรงแช่แข็งเนื้อบ้าง แถมเพื่อนนักแสดงของเขาก็มีแต่คนที่โดนภายนอกตัดสินว่าประหลาด เป็นกะเทยไม่ยอมแปลงเพศบ้าง เป็นนักมวยปล้ำ เป็นนักแสดงดังตกอับติดยา แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาเหล่านี้ในหนังของทิม เบอร์ตันก็ยืนหยัดทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องแม้กระแสคนดูเวลานั้นจะบอกว่าหนังของเอ็ด วู้ดมันห่วยแตกสิ้นดี ยังไม่นับรวมหนังเรื่อง Plan 9 from Outer Space ที่ได้โหวตจากนักวิจารณ์ว่าเป็นหนังห่วยแตกที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ผมดูในหนังฟังพล๊อตที่เอ็ด วู้ดพยายามนำเสนอนายทุนแต่ละเรื่องมันฟังดูน่าสนใจทั้งนั้นเลยนะ ผมก็งงว่าทำไมเขาถึงบอกว่าห่วยที่สุดในโลก ก่อนจะร้องอ๋อว่างานเขาชุ่ย โปรดักชั่นห่วยเพราะงบน้อยเนี่ยแหละ ทั้งที่พิจารณาจากพล๊อตจากฝีมือของเขามันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น อย่างบทหนังละครเวทีเรื่องแรกของเขานี่ก็น่าสนใจมาก เป็นเรื่องทหารในสงครามโลกได้รับนกพิราบสันติภาพให้หยุดการเข่นฆ่า
พอมาทำ Glen or Glenda หนังเรื่องแรกด้วยทุนอันน้อยนิดว่าด้วยตัวตนของเขาจริง ๆ ว่าเป็นชายแท้แต่ชอบแต่งหญิงเพราะการเลี้ยงดูของครอบครัวในวัยเด็ก พล๊อตมันฟังดูเป็นหนังจิตวิทยาน่าสนใจดีนะ แต่งบมันมีอยู่เท่านั้นต้องถ่าย 4-5 วันเสร็จ ผมก็ไม่รู้ว่างานมันออกมาเป็นยังไง
หนังอย่าง Bride of the Monster กับ Plan 9 from Outer Space ซึ่งเป็น Sci-fi สยองขวัญฟังจากพล๊อตมันก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับยุคนั้นนะ แต่เช่นเคยหนังไม่มีทุนสร้าง ต้องรีบ ๆ ถ่ายให้จบเพื่อประหยัดงบที่มีจำกัดมันก็คงหวังกับงานโปรดักชั่นไม่ได้
และด้วยความที่เขาได้การบอกกล่าวว่าห่วยแตกทำให้คนรุ่นหลังไปควานหาหนังของเขามาดูว่าจะสมคำร่ำลือหรือไม่ (เป็นกลุ่มที่ทำให้ผมมองว่าเขาเป็นผู้กำกับหนังคัลท์เลยนะ) ผมไปอ่านรีวิวหนังแต่ละเรื่องของเอ็ด วู้ดส่วนมากจะพูดเหมือนกันหมดว่า "สนุก" "พล๊อตดีแต่โปรดักชั่นห่วย" มันเหมือนกับว่าคนในยุค 50 ห่วงงานประกอบฉาก ห่วงโปรดักชั่น ซึ่งความคิดของวู้ดบอกว่าคนดูไม่มาสนใจอะไรแบบนี้หรอก คนดูสนใจแค่บทหนังเนื้อเรื่องและตัวละคร ซึ่งมันอาจจะเป็นจุดหนึ่งที่คนรุ่นหลังเริ่มไม่สนใจเสียงด่าจากนักวิจารณ์ เพราะหนังมันดูสนุกแม้โปรดักชั่นงบน้อยมันจะดูห่วยแตกจริง ๆ ก็ตาม
ทิม เบอร์ตันทำหนังเรื่อง Ed Wood เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้กำกับที่เขาชอบจากใจจริงออกมาได้ดีมาก ๆ เลยครับ ตั้งแต่ฉากเครดิตเปิดหนังก็คารวะฉากในเรื่อง Plan 9 from Outer Space ผมชอบวิธีการเล่าเรื่องของเบอร์ตันที่มุ่งนำเสนอตัวตนของเอ็ด วู้ดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าปรุงแต่งความคิดเขามากแค่ไหน ภาพที่ออกมาของเอ็ด วู้ดจากการตีความของเบอร์ตันก็คือผู้ชายที่รักในการทำหนังโดยไม่แคร์โปรดักชั่น ไม่แคร์คุณภาพงาน มีออร์สัน เวลส์เป็นไอดอล แม้หนังเขาจะโดนด่าขนาดไหนเขาก็ยืนหยัดจะทำสิ่งที่เขารักต่อไปด้วยการสนับสนุนจากเพื่อน ๆ ของเขา
อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือเอ็ด วู้ดได้เบล่า ลูโกซี่อดีตนักแสดงหนังสยองขวัญชื่อดังซึ่งเป็นขวัญใจของเขามาร่วมแสดงด้วยตลอด เอ็ด วู้ดอยากทำหนังทำเงินมีชื่อเสียง ส่วนเบล่าตกอับติดยาก็อยากแสดงหนังด้วยแรงจูงใจเรื่องเงินและอาจจะมีความทะเยอทะยานในบั้นปลายด้วย เบล่าใน Ed Wood ได้การแสดงระดับเทพของมาร์ติน แลนเดาทำให้ตัวละครนี้ออกมาน่าติดตามมาก ๆ แลนเดาเองก็ได้ออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากบทนี้ครับ เขาแสดงได้โคตรสุดยอดจนผมอยากไปหาหนังที่เบล่าแสดงมาดูว่าเขาเจ๋งขนาดนี้เลยหรอ (หรือว่าแลนเดาสวมบทบาทเขาเกินจริง)
และที่น่าสนใจอีกอย่างคือความเป็นขั้วตรงข้ามระหว่างออร์สัน เวลส์กับเอ็ด วู้ดที่ทิม เบอร์ตันหยิบมาใส่ในหนังเล็กน้อย เวลส์คือผู้กำกับหนังเรื่อง Citizen Kane หนังที่เคยได้รับการโหวตจากสถาบัน AFI ว่ายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล (ก่อนจะเสียตำแหน่งให้ Vertigo) หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวของเวลส์ที่สตูดิโอไม่ได้มายุ่ง เป็นงานที่เขาพูดได้เต็มปากว่าเป็นผลงานของเขาจริง ๆ ขณะเดียวกัน Plan 9 from Outer Space ก็เป็นหนังที่วู้ดได้ทำหนังอย่างอิสระ แม้จะได้เงินทุนจากโบสถ์แต่เขาก็กำกับหนังเรื่องนี้เต็มตัวโดยไม่มีใครมาก้าวก่าย และมันตลกร้ายตรงที่หนังเรื่องนี้ได้รับการโหวตว่ายอดแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ฉากนั่งคุยกับเวลส์ในมุมของเบอร์ตันอาจจะเหมือนการเผยให้เห็นว่าเอ็ด วู้ดปลื้มออร์สัน เวลส์ขนาดไหน และชี้ให้เห็นว่าทั้งสองคนต่างก็ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน แต่ด้วยชื่อเสียงบารมีและทุนสร้างทำให้ผลลัพธ์งานออกมาแตกต่างกัน มันจึงเหมือนเป็นตลกร้ายเอามาก ๆ เลยสำหรับผม
นอกจากนี้การที่หนังมาพร้อมกับฟิล์มขาวดำก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดเอามาก ๆ
ป.ล. สักวันคงต้องไปหาหนังของเอ็ด วู้ดมาดูว่ามันสนุกขนาดไหน
8.5/10