โชคดี ที่เป็น "โรคซึมเศร้า" ..แชร์ประสบการณ์

เห็นกระทู้เรื่องโรคซึมเศร้าบ่อยๆ  เลยอยากแชร์เพื่อเป็นความรู้ในการดูแลตัวเอง และจะเล่าว่า ดีขึ้นได้อย่างไรใน 5 เดือน
รวมถึง ช่วงเวลาที่ต้องอยู่โดยไม่มียาเมื่อหมอไปต่างประเทศ (เบี้ยวนัดหมอเพราะมีธุระ นัดอีกทีหมอไป ตปท.ซะแล้ว)

ใครเคยอ่านกระทู้เก่า (เมื่อต้นปี) จะเจอเรื่องของเราค่ะ เราแต่งงานทั้งที่ใจยังไม่ลืมคนเก่า
คนเก่าขยันอัพสเตตัสและความหวานกับคนใหม่ของเขา  
ธีสิส (ป.โท) ไม่ผ่านสักที และตกงาน (มาเต็ม)

หลังแต่งงาน พยายามทำใจยอมรับความจริงว่าเวลาย้อนกลับไม่ได้  
คนที่เราแต่งด้วยเขาก็รักเราดี ดูแลเราดีมาก นอนน้ำตาไหลทุกคืน (ย้ำค่ะ ว่าทุกคืน)
กว่าจะหลับตี 3 ตี 4 ทุกวัน นานหลายเดือน ประกอบกับเครียดเรื่องเรียนโทและตกงาน
เลยทำให้ช่วงนั้นเครียดมาก และเป็นคนไม่ชอบเล่าให้ใครฟัง อ่านหนังสือธรรมมะช่วย ก็ไม่ได้ผลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

อาการของเราที่เราเริ่มเอะใจคือ ไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ ทั้งที่เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ แต่ช่วงนั้น 5 นาทีก็ไม่ได้เลย
นอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หงุดหงิดง่าย (คนที่เราแต่งด้วย เขาก็ดีไม่เคยโกรธเราเลย)
เศร้า ร้องไห้ มองอะไรก็หดหู่ และอยากตายไปให้พ้นๆ โลกนี้

เริ่มรู้ตัวแล้ว ว่าแปลกๆ ตัดสินใจบอก สามีว่า ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม อยากรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร

เจอหมอครั้งแรก  เช็คลิสต์คุณหมอเต็ม หมอบอกว่า ค่อนข้างหนัก แต่ไม่หนักมาก ถ้ามี 5 ขั้น ให้ขั้น 4
ประกอบกับเรามีกรรมพันธุ์ คือ แม่เราอารมณ์ร้าย และมีอาการทางจิตเล็กน้อยค่ะ
หมอจ่ายยามา เยอะพอสมควร มีทั้งยาลดอาการฟุ้งซ่าน3 ตัว และยานอนหลับ
…ไม่พอ…กลัวไม่หลับ “ถ้ากินตัวนี้ไม่หลับ ให้กินตัวนี้นะ” เพิ่มอีกตัว  ..หมอย้ำ…
กินมาสัก 3 เดือน หมอจะนัดเดือนละครั้งค่ะ ก็มีวินัยในการกินยา ทบทวน นั่งสมาธิ เริ่มใช้ธรรมมะใหม่อีกรอบ

แต่เดือนต่อมา เบี้ยวนัดหมอค่ะ มีธุระจริงๆ พอโทรไปนัดอีกที พยาบาลแจ้งว่า “คุณหมอไปเมืองนอกค่ะ ไปเดือนนึง”
อ่าว เฮ้ย…ยาหมดแล้ว ทำไงล่ะทีนี้  ตอนที่รู้ ใจหายเลยค่ะ เหมือนที่พึ่งในจิตใจหายแล้ว กระวนกระวาย ทำไงดีๆ
ในที่สุดก็บอกตัวเองว่า “จะกินยาไปตลอดชีวิตหรือไงวะ” มันต้องอยู่ได้ดิ!!!!

*แก้ไขคำผิดเล็กน้อย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่