ปล. กระทู้นี้เป็นกระทู้แชร์ความรู้สึกดีๆ ไม่ได้โจมตีโรงพยาบาลใดๆ นะคะ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน....
เมื่อคุณสามีรู้สึกปวดท้องแบบเสียดๆ ช่วงกลางวันของวันเสาร์
วินิจฉัยกันเองได้ความว่า น่าจะอาหารไม่ย่อย ไม่แก๊สหรือเป็นโรคกระเพาะ
พอดีว่าช่วงนี้งานเยอะ เลยกินข้าวไม่ค่อยตรงเวลา และถ้ากิน ก็รีบกินเกินไป จนอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง
ปกติสามีมีความอดทนสูงกับอาการของโรคต่างๆ เลยไม่ค่อยกินยา มักจะรอให้หายเองซะมากกว่า
แต่คราวนี้รู้สึกปวดมาก ก็เลยไปซื้อยาที่ร้านขายยามากิน วันนั้นทั้งวันก็ทำงานไม่ไหว กลับบ้านไว ไปพักผ่อน
กลางดึกนั่นเอง ในขณะที่เรากำลังนอนหลับ ฝันถึงอาหารต่างๆ นาๆ ตามระเบียบ
อยู่ๆ ก็ได้ยินสามีตื่นขึ้นมาออกไปเข้าห้องน้ำ นานแสนนาน แล้วก็กลับมาด้วยอาการปวดท้องมาก ปวดจนบอกว่าจะไปหาหมอ
แหม่ ไม่นึกเลยว่าตาคนนี้จะเจ็บปวดขนาดอยากไปโรงพยาบาล
คืนนั้นเราก็เลยนั่งแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านที่สุด
ER สะอาด พยาบาลเข้ามาดูแล สักพักก็มีหมอหนุ่มๆ คาดว่ายังด้อยประสบการณ์ อาจจะเพิ่งจบใหม่
สังเกตได้จากความเงอะๆ งะๆ ของหมอ หมอจับตรวจปัสสาวะและเลือด พร้อมทั้งลองกดบริเวณหน้าท้องตำแหน่งต่างๆ
หลังจากหมอตรวจเสร็จ รอค่าแล็ปอยู่ เราก็พยายามเซิสเกี่ยวกับอาการของสามี วิญญาณด็อกเตอร์เฮาซ์เข้าแทรก
เซิสไปเซิสมาก็รู้สึกว่า เอ..ไส้ติ่งนี่ดูจะเข้าเค้าที่สุด เพราะว่าปวดท้องมาก แต่ก็ยังไม่ได้ปวดตรงจุด และไม่มีอาเจียร
ระหว่างรอหมอก็พยายามฝึกออกเสียงกับสามี Appendicitis กันอยู่สักพัก (แหม่ ออกเสียงยากเหมือนกันนะ)
รอประมาณครึ่งชั่วโมง หมอก็ออกมาบอกว่ามีเม็ดเลือดขาวในเลือดมากกว่าปกตินิดหน่อย แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างอักเสบแน่ๆละ
แต่ก็พบว่ามีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะด้วย หมอคิดว่าคงไม่ใช่ใส้ติ่ง แต่น่าจะเกี่ยวกับไตมากกว่า นิ่วในไต หรืออะไรแบบนี้
แล้วหมอก็ให้พยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้ แล้วก็นัดให้มาพบหมอเฉพาะทางด้านทางเดินปัสสาวะในวันต่อมา
(ไรฟ่ะ อุตส่าพยายามออกเสียงภาษาปะกิดตั้งนาน ไม่เป็นซะงั้น)
หลังจากนั้น พยาบาลก็ฉีดยาแก้ปวดให้สามี ตอนฉีดสามีทำท่าเจ็บเชียว เลยคิดในใจว่า ถ้าฉีดยาทำท่าเจ็บได้ขนาดนี้ ระดับความเจ็บปวดของเธอคงจะค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐานละมั้ง ได้ยาแก้ปวดแล้ว อาการปวดก็เบาบางลงจากระดับ 9 เหลือ 2-3 ก็เลยกลับบ้านมานอนต่อ
พอเช้ามา (วันอาทิตย์) เราก็ไปทำงาน ส่วนสามีก็นัดหมอไว้ 10 โมง
พอไปถึงหมอก็ทำการอัลตราซาวน์ไต ก็พบว่ามีถุงน้ำเล็กๆ ขนาด 1 เซนติเมตรอยู่ ซึ่งปกติก็พบได้ในคนทั่วไป ไม่ได้ทำให้ปวดอะไร
แต่ในรายนี้ หมอคิดว่าอาจจะอักเสบ สรุปหมอเลยให้ยาแก้อักเสบกลับมากิน
สามีกลับมาหาเราที่ทำงาน ยังปวดท้องอยู่ ไม่ได้ยาแก้ปวดมาบรรเทาการปวดเลย เราจึงต้องโทรไปหาหมอว่าซื้อยาอะไรแก้ปวดได้บ้าง แต่ยาแก้ปวดนั้นช่วยอะไรสามีไม่ได้เลย
คืนนั้น กว่าเราจะหลับกันได้ก็สี่ทุ่มพอดี นอนไปกำลังเพลิดเพลิน ขั้นหลับลึก อยู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงสามีเข้ามาในฝัน
เขาตะโกนเรียกชื่อเราเสียงดั๊งงดัง พอลืมตาขึ้นมา อ่าว สามีฉันไปไหนละเนี่ย ปรากฎว่าเสียงมาจากหน้าห้อง
เราวิ่งออกไปดู เห็นสามีนั่งพับพุงพลุยด้วยอาการเจ็บปวด ลุกไม่ได้ พร้อมกับบอกว่า เราต้องไปโรงพยาบาลด่วนนนนนน
เราตกใจมาก ไม่เคยเห็นสามีปวดอะไรขนาดนี้ ตาสว่างอย่างรวดเร็ว ปกติต้องใช้เวลาบูสเครื่องห้านาที แต่วันนี้ภายใน 1 นาที
เธอใส่เสื้อผ้าเสร็จ แถมยังโยนเสื้อยืดไปใส่หัวสามีในเวลาเดียวกัน
โชคดีที่ออกจากบ้านปุ๊บ รถแท็กซี่ก็ผ่านมาปั๊บ ก่อนขึ้นรถ สามีรู้สึกจะอาเจียร แต่ยังไม่มีอะไรออกมา
ระหว่างทางก็โอดโอย ได้อารมณ์เหมือนพาเมียไปคลอดลูก อดทนไว้นะตัวเองงง
แล้วเราก็มาจุติอยู่ที่โรงพยาบาลเดิม คราวนี้อาการปวดท้องของสามีพุงไปที่ใต้สะดือขวา
มีอาการกดแล้วเจ็บ แต่ตอนปล่อยเจ็บกว่า ตัวนี่เด้งเลย ซึ่งอาการออกไปในแนวไส้ติ่งอักเสบอย่างแรงกล้ามากวันนี้
แต่หมอเวรก็ยังไม่สามารถคอนเฟิมได้ นอกจากจะให้หมอศัลยกรรมมาดู ส่วนพยาบาลบอกว่า 70 เปอร์เซ็น ชัวร์เลย ติ่งแน่
เราสองคนก็บอกว่า งั้นให้หมอศัลยกรรมมาดู ระหว่างรอ หมอใจดีก็ดั๊นฉีดยาแก้ปวดให้อีก ฉีดเสร็จสามีก็นอนพริ้มเล่นมือถือได้สบาย
เราจึงได้โอกาสมองมาที่ตัวเอง ว๊าย ใส่กางเกงกลับด้าน ว่าแล้วก็ขอตัวไปเปลี่ยนด้านกางเกงก่อน
กลับมาอีกที ทางโรงพยาบาลก็ส่งผู้หญิงใส่ชุดสูท ท่าทางเหมือนพนักงานสังคมสงเคราะห์ในซีรีย์ฝรั่ง
ที่คอยไปตรวจสภาพเด็กบ้านแตก แม่ติดเหล้า
เธอเข้ามา แล้วก็บอกว่า ถ้าจะให้หมอศัลยกรรมลงมาดูให้ ก็แสดงว่าถ้าผ่าตัดจะต้องแอดมิดที่นี่
งั้นจะขอเสนอราคาการผ่าตัดใส้ติ่งเบื้องต้นแบบไม่มีอาการแทรกซ้อน คร่าวๆ 90,000 บาท
โอ้วแม่เจ้า ทำไมมันแพงขนาดนี้ ดูในเกรย์ อนาโตมี ไม่เห็นว่าผ่าตัดใส้ติ่งมันจะยากอะไรเลย
เหมือนเป็นการผ่าตัดแรกๆ สำหรับอินเทิน ทำไมราคาช่างดุดันขนาดนี้ จะว่าไปเงินน่ะก็พอมี
แต่ว่าจำเป็นต้องใช้เรื่องอื่น ถ้าใช้จ่ายตรงนี้ไปคงลำบากแย่ ถ้าสัก 4-50,000 ก็ยังโอเคนะ
สรุปเราเลยตอบไปว่า "โอย ไม่ไหวๆ ย้ายๆ ย้ายไปไหนดีคะ? ถ้ากลับบ้านไปรีเสิร์ชก่อนจะดีไหม?"
พยาบาล "น้อง อย่ารอ เชื่อพี่ ไปเลยคืนนี้ ก่อนไส้ติ่งจะแตก! ไปโรงพยาบาลรัฐบาลสิ ราคาคงครึ่งต่อครึ่ง"
สมองตอนนั้นมึนงงมาก นึกไม่ออกว่าโรงพยาบาลรัฐมีอะไรบ้าง แถมไม่เคยไปที่ไหนเลย
นางพยาบาลแนะนำให้ไปภูมิพล แต่ด้วยความที่เคยชินกับการโทรนัด ก็เลยรีบโทรไปที่โรงพยาบาลเวลาตี 1 คิดว่าจะทำให้ง่ายขึ้น
ปลายสายตอบมาว่า "โอ้ย ฉุกเฉินแน่หรือป่าว แฟกซ์เอกสารมาก่อนก็ได้นะ ไม่รู้ว่าจะรับได้ไหม เตียงจะว่างหรือป่าวไม่รู้"
สาวใสซื่ออย่างเราก็เลยตกใจ เอ้ย ถ้าไม่รับแล้วเราจะทำไงละเนี่ย สภาพสามีก็โอดโอยเหมือนจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว
พยาบาลบอกว่า "เอ๊า จะโทรไปก่อนทำไมมมม โทรไปเขาก็พูดแบบนั้นสิ ต้องไปให้ถึงเลย เขาปฏิเสธไม่ได้หรอก"
สายไปเสียแล้ว กลัวโรงพยาบาลไม่รับแล้วจะหาโรงพยาบาลอื่นไม่ทัน เพราะโรงพยาบาลภูมิพลอยู่ซะไกลเลย
สรุปเราก็นึกขึ้นมาได้ ว่าเคยเห็นโรงพยาบาลแถวอนุเสาวรีย์มีหลายโรง ก็เลยตัดสินใจไปแถวนั้นแทน เผื่อที่แรกไม่รับ ที่สองก็อยู่ไม่ไกล
เราได้แรนดอมไปถึงโรงพยาบาลราชวิถี (เนื่องจากเข้าใจผิดว่าคือโรงพยาบาลศิริราช)
ก่อนลงรถ บอกสามีไปว่า เอิ่ม ช่วยทำท่าปวดร้าวมากมายหน่อยนะ เข้าใจว่ายาแก้ปวดทำงานอยู่ แต่เดี๋ยวเขาไม่ให้เตียงนะเฟ้ย
แต่พอลงแท็กซี่มา ก็มีเตียงมารับเลย นี่หรือ เตียงที่เขาว่าเต็ม ดีใจมากเลย ได้เตียงแล้ว
และเตียงนั่นก็เลื่อนเข้าไปในโซน ER
ER ช่างต่างจากเอกชนยิ่งนัก สามี(ต่างชาติ) ได้กลิ่นฉี่โชยมาจากห้องน้ำอีกด้านหนึ่งของห้อง
ก็เริ่มสับสน ถามเราว่า โรงพยาบาลนี่โอเคใช่ไหม เราก็บอกว่า ใช่ อดทนหน่อยนะ
ถ้าไม่โอเค คงสอนนักศึกษาแพทย์ไม่ได้หรอก เนี่ยในหลวงก็รักษาที่นี่นะ (น่าน ว่าไปโน่น แกจำโรงพยาบาลผิด!)
หลังจากนั้นนักศึกษาแพทย์ก็ระดมพลกันมากดท้องสามีกันคนละจึกสองจึก เป็นกรณีศึกษาที่ดีมาก
ปวดมั่วไปทั่วท้อง เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวปวดไตด้วย
หมอที่นี่บอกว่า ต้องตรวจทุกอย่างใหม่หมด เพราะเขาไม่รับผลตรวจจากที่อื่น เราก็เลยเริ่มจากตัวเลือด ปัสสาวะ และก็นอนดูอาการ
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณตี 2 ก็นอนรอผลแล็ป มีหมอและหมอฝึกงานเข้ามาถามประปราย
ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งรอข้างๆคนป่วย ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมไม่ให้นั่ง แต่พอเริ่มเช้าเท่านั้นแหละ ER แน่นขนัดมาก ถ้าญาติมาปาร์ตี้กันอีกคงจะหายใจไม่ออก
เช้าวันจันทร์ สามีเรายังคงนอนรออยู่ที่ ER งดอาหารและน้ำ เพราะเผื่อจะต้องผ่าตัด
หมอหนุ่มท่าทางมั่นใจกับเพื่อนเดินมาคุยกับเราและสามี
เขายังคงช่วยกันวินิจฉัยว่าสามีเราเป็นอะไร จะบอกว่าพยาบาลที่ ER โหดมาก
เราพอเข้าใจว่าเขาเจอคนไข้ปวดหัวก็ฉุกเฉิน น้ำร้อนลวกก็ฉุกเฉินเยอะ เลยทำให้ไม่ค่อยมีความอดทน
ซึ่งเราเองพยายามที่จะไม่ถาม ไม่คุย ไม่ขออะไรให้มากมาย แต่บางอย่างก็รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องใจร้ายขนาดนั้นก็ได้นินา
ประมาณ 9 โมง พยาบาลก็เอาน้ำแดงมาให้สามีเราดื่มก่อนจะเข้าเครื่องสแกน
พอกินเสร็จสักพัก ก็มีคนพาไปเข็นไปทำ CT scan จะว่าโรงพยาบาลนี้ถึงแม้จะเก่า แต่ก็มีอุปกรณ์ครบครันดี
กลับมาจาก CT scan เรากับสามีก็อยากรู้มาก ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะ CT scan น่าจะเห็นอะไรหมดทุกอย่างในท้องแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หมอก็ไม่ได้มาคุย มาอธิบายอะไร สามีเราก็เริ่มถามว่า หมอไม่เอา CT scan มาให้ดูหรอ
เราก็ไม่กล้าไปทักพยาบาลเหมือนกัน เพราะตอนนั้นคนที่ ER เริ่มเยอะขึ้น น่าจะมีสัก 20-30 เตียงได้
และแล้ว ดราม่าก็บังเกิด เมื่อสามีเราเดินไปเข้าห้องน้ำ กระเตงขวดน้ำเกลือไปเอง เรายืนรออยู่ที่เตียงกับของ
สักพัก เราได้ยินเสียงสามีเราอ้วก เสียงดังลั่นออกมาข้างนอก ทุกเตียงพุ่งสายตาไปที่กำแพงห้องน้ำกันหมด
เราเลยวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วภาพที่เห็นก็คือ สามีเราอ้วกของเหลวสีแดงข้นออกมา ตอนนั้นสติแตกเลยในทันที ตะโกนออกไปว่า
"หมอคะะะะะะะะะ รอจนอ้วกเป็นเลือดแล้วค่ะ มาดูเร็วๆๆ"
ส่วนสามีเราก็ทำท่าโบกไม้โบกมือ พูดสวนเรามาว่า " ไม่ ไม่เป็นไร นี่มัน นี่มัน...."
สติกลับมา "ฮะ! น้ำแดง" สายไปแล้ว หมอและพยาบาลวิ่งมาดู แอบตกใจไปกับเราห้าวินาที จากนั้นก็เดินทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย
หลังจากนั้นเราก็ร้องไห้โฮออกมาเสียงดังเลย ดีที่มีผ้าคลุมก็เลยเอามาปิดหน้าและก็ร้องไห้เสียงดังมาก
มันรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว เครียดมากเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แล้วต้องรอนานๆแบบนี้
แถมสามีตัวดีก็โอดโอยตลอดเวลาเหมือนจะไม่ไหวแล้ว
ในใจคิดว่า นี่เราคิดผิดหรือป่าวเนี่ย กับเงินแค่ไม่กี่หมื่น เราย้ายสามีมาตายที่นี่ มันจะคุ้มไหม กลายเป็นว่าสามีต้องมาปลอบเราแทน
และแล้วปาฏิหารย์น้ำตาหอยทากก็เกิด ผู้คนรอบเตียง ไม่ว่าจะพระ พยาบาลต่างเข้ามาปลอบใจ
แม้แต่คนเข็นเตียงไปเอ็กเรย์ก็มาร่วมวงปลอบด้วย ไม่ได้ปลอบสามีนะคะ ปลอบเราแทน
พยาบาลบางคนมาแนะนำให้เราเอาสามีไปดร็อปไว้ที่สถาทูตแล้วให้สถาทูตส่งไปรักษาที่อเมริกา โถ่ ซึ้งในน้ำใจจริงๆ
คุณยายโทรมาเมื่อทราบข่าว จริงๆ เขาก็ไม่ได้ปลื้มสามีเท่าไหร่ แต่เพราะว่าเป็นห่วงเรา กลัวจะเครียดแล้วกินไม่ได้น้ำหนักลด
ถึงกับจะให้ยืมเงินแสนมารักษา ทั้งๆ ที่ปกติคุณยายเป็นคนขี้งกมาก เรารู้สึกตื้นตันใจจนบอกไม่ถูก รักเราขนาดนี้เลย
พอประมาณ 11 โมงเช้า หมอก็เดินมาบอกว่า จากสแกนก็ยังคอนเฟิมอะไรไม่ได้ ต้องรอดูอาการตอนปวดอีกที
เนื่องจากยาแก้ปวดที่ฉีดไป อาการปวดเลยยังไม่เด่นชัด ต้องรอต่อไป
อีกอย่างตอนนี้เป็นเวลาทำการแล้ว ถ้าจะผ่าตัดคงต้องรอหลัง 6 โมงเย็น ตอนนี้ให้แอดมิดก่อนแล้วกัน
เย้ ในที่สุดก็ได้แอดมิดแล้ว คราวนี้จะได้เลือกห้องพิเศษ นอนสบายๆ นั่งรอสบายๆสักที เย้!
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
แชร์ประสบการณ์ : ผจญภัยสุดระห่ำในโรงพยาบาลรัฐ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน....
เมื่อคุณสามีรู้สึกปวดท้องแบบเสียดๆ ช่วงกลางวันของวันเสาร์
วินิจฉัยกันเองได้ความว่า น่าจะอาหารไม่ย่อย ไม่แก๊สหรือเป็นโรคกระเพาะ
พอดีว่าช่วงนี้งานเยอะ เลยกินข้าวไม่ค่อยตรงเวลา และถ้ากิน ก็รีบกินเกินไป จนอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง
ปกติสามีมีความอดทนสูงกับอาการของโรคต่างๆ เลยไม่ค่อยกินยา มักจะรอให้หายเองซะมากกว่า
แต่คราวนี้รู้สึกปวดมาก ก็เลยไปซื้อยาที่ร้านขายยามากิน วันนั้นทั้งวันก็ทำงานไม่ไหว กลับบ้านไว ไปพักผ่อน
กลางดึกนั่นเอง ในขณะที่เรากำลังนอนหลับ ฝันถึงอาหารต่างๆ นาๆ ตามระเบียบ
อยู่ๆ ก็ได้ยินสามีตื่นขึ้นมาออกไปเข้าห้องน้ำ นานแสนนาน แล้วก็กลับมาด้วยอาการปวดท้องมาก ปวดจนบอกว่าจะไปหาหมอ
แหม่ ไม่นึกเลยว่าตาคนนี้จะเจ็บปวดขนาดอยากไปโรงพยาบาล
คืนนั้นเราก็เลยนั่งแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านที่สุด
ER สะอาด พยาบาลเข้ามาดูแล สักพักก็มีหมอหนุ่มๆ คาดว่ายังด้อยประสบการณ์ อาจจะเพิ่งจบใหม่
สังเกตได้จากความเงอะๆ งะๆ ของหมอ หมอจับตรวจปัสสาวะและเลือด พร้อมทั้งลองกดบริเวณหน้าท้องตำแหน่งต่างๆ
หลังจากหมอตรวจเสร็จ รอค่าแล็ปอยู่ เราก็พยายามเซิสเกี่ยวกับอาการของสามี วิญญาณด็อกเตอร์เฮาซ์เข้าแทรก
เซิสไปเซิสมาก็รู้สึกว่า เอ..ไส้ติ่งนี่ดูจะเข้าเค้าที่สุด เพราะว่าปวดท้องมาก แต่ก็ยังไม่ได้ปวดตรงจุด และไม่มีอาเจียร
ระหว่างรอหมอก็พยายามฝึกออกเสียงกับสามี Appendicitis กันอยู่สักพัก (แหม่ ออกเสียงยากเหมือนกันนะ)
รอประมาณครึ่งชั่วโมง หมอก็ออกมาบอกว่ามีเม็ดเลือดขาวในเลือดมากกว่าปกตินิดหน่อย แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างอักเสบแน่ๆละ
แต่ก็พบว่ามีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะด้วย หมอคิดว่าคงไม่ใช่ใส้ติ่ง แต่น่าจะเกี่ยวกับไตมากกว่า นิ่วในไต หรืออะไรแบบนี้
แล้วหมอก็ให้พยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้ แล้วก็นัดให้มาพบหมอเฉพาะทางด้านทางเดินปัสสาวะในวันต่อมา
(ไรฟ่ะ อุตส่าพยายามออกเสียงภาษาปะกิดตั้งนาน ไม่เป็นซะงั้น)
หลังจากนั้น พยาบาลก็ฉีดยาแก้ปวดให้สามี ตอนฉีดสามีทำท่าเจ็บเชียว เลยคิดในใจว่า ถ้าฉีดยาทำท่าเจ็บได้ขนาดนี้ ระดับความเจ็บปวดของเธอคงจะค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐานละมั้ง ได้ยาแก้ปวดแล้ว อาการปวดก็เบาบางลงจากระดับ 9 เหลือ 2-3 ก็เลยกลับบ้านมานอนต่อ
พอเช้ามา (วันอาทิตย์) เราก็ไปทำงาน ส่วนสามีก็นัดหมอไว้ 10 โมง
พอไปถึงหมอก็ทำการอัลตราซาวน์ไต ก็พบว่ามีถุงน้ำเล็กๆ ขนาด 1 เซนติเมตรอยู่ ซึ่งปกติก็พบได้ในคนทั่วไป ไม่ได้ทำให้ปวดอะไร
แต่ในรายนี้ หมอคิดว่าอาจจะอักเสบ สรุปหมอเลยให้ยาแก้อักเสบกลับมากิน
สามีกลับมาหาเราที่ทำงาน ยังปวดท้องอยู่ ไม่ได้ยาแก้ปวดมาบรรเทาการปวดเลย เราจึงต้องโทรไปหาหมอว่าซื้อยาอะไรแก้ปวดได้บ้าง แต่ยาแก้ปวดนั้นช่วยอะไรสามีไม่ได้เลย
คืนนั้น กว่าเราจะหลับกันได้ก็สี่ทุ่มพอดี นอนไปกำลังเพลิดเพลิน ขั้นหลับลึก อยู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงสามีเข้ามาในฝัน
เขาตะโกนเรียกชื่อเราเสียงดั๊งงดัง พอลืมตาขึ้นมา อ่าว สามีฉันไปไหนละเนี่ย ปรากฎว่าเสียงมาจากหน้าห้อง
เราวิ่งออกไปดู เห็นสามีนั่งพับพุงพลุยด้วยอาการเจ็บปวด ลุกไม่ได้ พร้อมกับบอกว่า เราต้องไปโรงพยาบาลด่วนนนนนน
เราตกใจมาก ไม่เคยเห็นสามีปวดอะไรขนาดนี้ ตาสว่างอย่างรวดเร็ว ปกติต้องใช้เวลาบูสเครื่องห้านาที แต่วันนี้ภายใน 1 นาที
เธอใส่เสื้อผ้าเสร็จ แถมยังโยนเสื้อยืดไปใส่หัวสามีในเวลาเดียวกัน
โชคดีที่ออกจากบ้านปุ๊บ รถแท็กซี่ก็ผ่านมาปั๊บ ก่อนขึ้นรถ สามีรู้สึกจะอาเจียร แต่ยังไม่มีอะไรออกมา
ระหว่างทางก็โอดโอย ได้อารมณ์เหมือนพาเมียไปคลอดลูก อดทนไว้นะตัวเองงง
แล้วเราก็มาจุติอยู่ที่โรงพยาบาลเดิม คราวนี้อาการปวดท้องของสามีพุงไปที่ใต้สะดือขวา
มีอาการกดแล้วเจ็บ แต่ตอนปล่อยเจ็บกว่า ตัวนี่เด้งเลย ซึ่งอาการออกไปในแนวไส้ติ่งอักเสบอย่างแรงกล้ามากวันนี้
แต่หมอเวรก็ยังไม่สามารถคอนเฟิมได้ นอกจากจะให้หมอศัลยกรรมมาดู ส่วนพยาบาลบอกว่า 70 เปอร์เซ็น ชัวร์เลย ติ่งแน่
เราสองคนก็บอกว่า งั้นให้หมอศัลยกรรมมาดู ระหว่างรอ หมอใจดีก็ดั๊นฉีดยาแก้ปวดให้อีก ฉีดเสร็จสามีก็นอนพริ้มเล่นมือถือได้สบาย
เราจึงได้โอกาสมองมาที่ตัวเอง ว๊าย ใส่กางเกงกลับด้าน ว่าแล้วก็ขอตัวไปเปลี่ยนด้านกางเกงก่อน
กลับมาอีกที ทางโรงพยาบาลก็ส่งผู้หญิงใส่ชุดสูท ท่าทางเหมือนพนักงานสังคมสงเคราะห์ในซีรีย์ฝรั่ง
ที่คอยไปตรวจสภาพเด็กบ้านแตก แม่ติดเหล้า
เธอเข้ามา แล้วก็บอกว่า ถ้าจะให้หมอศัลยกรรมลงมาดูให้ ก็แสดงว่าถ้าผ่าตัดจะต้องแอดมิดที่นี่
งั้นจะขอเสนอราคาการผ่าตัดใส้ติ่งเบื้องต้นแบบไม่มีอาการแทรกซ้อน คร่าวๆ 90,000 บาท
โอ้วแม่เจ้า ทำไมมันแพงขนาดนี้ ดูในเกรย์ อนาโตมี ไม่เห็นว่าผ่าตัดใส้ติ่งมันจะยากอะไรเลย
เหมือนเป็นการผ่าตัดแรกๆ สำหรับอินเทิน ทำไมราคาช่างดุดันขนาดนี้ จะว่าไปเงินน่ะก็พอมี
แต่ว่าจำเป็นต้องใช้เรื่องอื่น ถ้าใช้จ่ายตรงนี้ไปคงลำบากแย่ ถ้าสัก 4-50,000 ก็ยังโอเคนะ
สรุปเราเลยตอบไปว่า "โอย ไม่ไหวๆ ย้ายๆ ย้ายไปไหนดีคะ? ถ้ากลับบ้านไปรีเสิร์ชก่อนจะดีไหม?"
พยาบาล "น้อง อย่ารอ เชื่อพี่ ไปเลยคืนนี้ ก่อนไส้ติ่งจะแตก! ไปโรงพยาบาลรัฐบาลสิ ราคาคงครึ่งต่อครึ่ง"
สมองตอนนั้นมึนงงมาก นึกไม่ออกว่าโรงพยาบาลรัฐมีอะไรบ้าง แถมไม่เคยไปที่ไหนเลย
นางพยาบาลแนะนำให้ไปภูมิพล แต่ด้วยความที่เคยชินกับการโทรนัด ก็เลยรีบโทรไปที่โรงพยาบาลเวลาตี 1 คิดว่าจะทำให้ง่ายขึ้น
ปลายสายตอบมาว่า "โอ้ย ฉุกเฉินแน่หรือป่าว แฟกซ์เอกสารมาก่อนก็ได้นะ ไม่รู้ว่าจะรับได้ไหม เตียงจะว่างหรือป่าวไม่รู้"
สาวใสซื่ออย่างเราก็เลยตกใจ เอ้ย ถ้าไม่รับแล้วเราจะทำไงละเนี่ย สภาพสามีก็โอดโอยเหมือนจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว
พยาบาลบอกว่า "เอ๊า จะโทรไปก่อนทำไมมมม โทรไปเขาก็พูดแบบนั้นสิ ต้องไปให้ถึงเลย เขาปฏิเสธไม่ได้หรอก"
สายไปเสียแล้ว กลัวโรงพยาบาลไม่รับแล้วจะหาโรงพยาบาลอื่นไม่ทัน เพราะโรงพยาบาลภูมิพลอยู่ซะไกลเลย
สรุปเราก็นึกขึ้นมาได้ ว่าเคยเห็นโรงพยาบาลแถวอนุเสาวรีย์มีหลายโรง ก็เลยตัดสินใจไปแถวนั้นแทน เผื่อที่แรกไม่รับ ที่สองก็อยู่ไม่ไกล
เราได้แรนดอมไปถึงโรงพยาบาลราชวิถี (เนื่องจากเข้าใจผิดว่าคือโรงพยาบาลศิริราช)
ก่อนลงรถ บอกสามีไปว่า เอิ่ม ช่วยทำท่าปวดร้าวมากมายหน่อยนะ เข้าใจว่ายาแก้ปวดทำงานอยู่ แต่เดี๋ยวเขาไม่ให้เตียงนะเฟ้ย
แต่พอลงแท็กซี่มา ก็มีเตียงมารับเลย นี่หรือ เตียงที่เขาว่าเต็ม ดีใจมากเลย ได้เตียงแล้ว
และเตียงนั่นก็เลื่อนเข้าไปในโซน ER
ER ช่างต่างจากเอกชนยิ่งนัก สามี(ต่างชาติ) ได้กลิ่นฉี่โชยมาจากห้องน้ำอีกด้านหนึ่งของห้อง
ก็เริ่มสับสน ถามเราว่า โรงพยาบาลนี่โอเคใช่ไหม เราก็บอกว่า ใช่ อดทนหน่อยนะ
ถ้าไม่โอเค คงสอนนักศึกษาแพทย์ไม่ได้หรอก เนี่ยในหลวงก็รักษาที่นี่นะ (น่าน ว่าไปโน่น แกจำโรงพยาบาลผิด!)
หลังจากนั้นนักศึกษาแพทย์ก็ระดมพลกันมากดท้องสามีกันคนละจึกสองจึก เป็นกรณีศึกษาที่ดีมาก
ปวดมั่วไปทั่วท้อง เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา เดี๋ยวปวดไตด้วย
หมอที่นี่บอกว่า ต้องตรวจทุกอย่างใหม่หมด เพราะเขาไม่รับผลตรวจจากที่อื่น เราก็เลยเริ่มจากตัวเลือด ปัสสาวะ และก็นอนดูอาการ
เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณตี 2 ก็นอนรอผลแล็ป มีหมอและหมอฝึกงานเข้ามาถามประปราย
ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งรอข้างๆคนป่วย ตอนแรกก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมไม่ให้นั่ง แต่พอเริ่มเช้าเท่านั้นแหละ ER แน่นขนัดมาก ถ้าญาติมาปาร์ตี้กันอีกคงจะหายใจไม่ออก
เช้าวันจันทร์ สามีเรายังคงนอนรออยู่ที่ ER งดอาหารและน้ำ เพราะเผื่อจะต้องผ่าตัด
หมอหนุ่มท่าทางมั่นใจกับเพื่อนเดินมาคุยกับเราและสามี
เขายังคงช่วยกันวินิจฉัยว่าสามีเราเป็นอะไร จะบอกว่าพยาบาลที่ ER โหดมาก
เราพอเข้าใจว่าเขาเจอคนไข้ปวดหัวก็ฉุกเฉิน น้ำร้อนลวกก็ฉุกเฉินเยอะ เลยทำให้ไม่ค่อยมีความอดทน
ซึ่งเราเองพยายามที่จะไม่ถาม ไม่คุย ไม่ขออะไรให้มากมาย แต่บางอย่างก็รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องใจร้ายขนาดนั้นก็ได้นินา
ประมาณ 9 โมง พยาบาลก็เอาน้ำแดงมาให้สามีเราดื่มก่อนจะเข้าเครื่องสแกน
พอกินเสร็จสักพัก ก็มีคนพาไปเข็นไปทำ CT scan จะว่าโรงพยาบาลนี้ถึงแม้จะเก่า แต่ก็มีอุปกรณ์ครบครันดี
กลับมาจาก CT scan เรากับสามีก็อยากรู้มาก ว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะ CT scan น่าจะเห็นอะไรหมดทุกอย่างในท้องแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หมอก็ไม่ได้มาคุย มาอธิบายอะไร สามีเราก็เริ่มถามว่า หมอไม่เอา CT scan มาให้ดูหรอ
เราก็ไม่กล้าไปทักพยาบาลเหมือนกัน เพราะตอนนั้นคนที่ ER เริ่มเยอะขึ้น น่าจะมีสัก 20-30 เตียงได้
และแล้ว ดราม่าก็บังเกิด เมื่อสามีเราเดินไปเข้าห้องน้ำ กระเตงขวดน้ำเกลือไปเอง เรายืนรออยู่ที่เตียงกับของ
สักพัก เราได้ยินเสียงสามีเราอ้วก เสียงดังลั่นออกมาข้างนอก ทุกเตียงพุ่งสายตาไปที่กำแพงห้องน้ำกันหมด
เราเลยวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
แล้วภาพที่เห็นก็คือ สามีเราอ้วกของเหลวสีแดงข้นออกมา ตอนนั้นสติแตกเลยในทันที ตะโกนออกไปว่า
"หมอคะะะะะะะะะ รอจนอ้วกเป็นเลือดแล้วค่ะ มาดูเร็วๆๆ"
ส่วนสามีเราก็ทำท่าโบกไม้โบกมือ พูดสวนเรามาว่า " ไม่ ไม่เป็นไร นี่มัน นี่มัน...."
สติกลับมา "ฮะ! น้ำแดง" สายไปแล้ว หมอและพยาบาลวิ่งมาดู แอบตกใจไปกับเราห้าวินาที จากนั้นก็เดินทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย
หลังจากนั้นเราก็ร้องไห้โฮออกมาเสียงดังเลย ดีที่มีผ้าคลุมก็เลยเอามาปิดหน้าและก็ร้องไห้เสียงดังมาก
มันรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว เครียดมากเลย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แล้วต้องรอนานๆแบบนี้
แถมสามีตัวดีก็โอดโอยตลอดเวลาเหมือนจะไม่ไหวแล้ว
ในใจคิดว่า นี่เราคิดผิดหรือป่าวเนี่ย กับเงินแค่ไม่กี่หมื่น เราย้ายสามีมาตายที่นี่ มันจะคุ้มไหม กลายเป็นว่าสามีต้องมาปลอบเราแทน
และแล้วปาฏิหารย์น้ำตาหอยทากก็เกิด ผู้คนรอบเตียง ไม่ว่าจะพระ พยาบาลต่างเข้ามาปลอบใจ
แม้แต่คนเข็นเตียงไปเอ็กเรย์ก็มาร่วมวงปลอบด้วย ไม่ได้ปลอบสามีนะคะ ปลอบเราแทน
พยาบาลบางคนมาแนะนำให้เราเอาสามีไปดร็อปไว้ที่สถาทูตแล้วให้สถาทูตส่งไปรักษาที่อเมริกา โถ่ ซึ้งในน้ำใจจริงๆ
คุณยายโทรมาเมื่อทราบข่าว จริงๆ เขาก็ไม่ได้ปลื้มสามีเท่าไหร่ แต่เพราะว่าเป็นห่วงเรา กลัวจะเครียดแล้วกินไม่ได้น้ำหนักลด
ถึงกับจะให้ยืมเงินแสนมารักษา ทั้งๆ ที่ปกติคุณยายเป็นคนขี้งกมาก เรารู้สึกตื้นตันใจจนบอกไม่ถูก รักเราขนาดนี้เลย
พอประมาณ 11 โมงเช้า หมอก็เดินมาบอกว่า จากสแกนก็ยังคอนเฟิมอะไรไม่ได้ ต้องรอดูอาการตอนปวดอีกที
เนื่องจากยาแก้ปวดที่ฉีดไป อาการปวดเลยยังไม่เด่นชัด ต้องรอต่อไป
อีกอย่างตอนนี้เป็นเวลาทำการแล้ว ถ้าจะผ่าตัดคงต้องรอหลัง 6 โมงเย็น ตอนนี้ให้แอดมิดก่อนแล้วกัน
เย้ ในที่สุดก็ได้แอดมิดแล้ว คราวนี้จะได้เลือกห้องพิเศษ นอนสบายๆ นั่งรอสบายๆสักที เย้!
เดี๋ยวมาต่อค่ะ