พระมหาบุรุษสุดประเสริฐ

๑. พระมหาบุรุษสุดประเสริฐ

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นมหาบุรุษสุดประเสริฐในแดนไตรโลกธาตุ พระองค์ทรงอุบัติในแคว้นสักกะ โดยมี พระพุทธบิดา คือ
พระเจ้าสุทโธทนะ และ พระพุทธมารดา คือ พระนางสิริมหามายา

     พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดา เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๘ ปีระกา ทรงอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาเป็นเวลา
๑๐ เดือน

     พระโพธิสัตว์ประสูติเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ อัญชันศักราช ๖๘ เวลา ๑๑.๐๐ น. ณ ลุมพินีวัน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุง
กบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ กับกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

     วันอังคารแรม ๕ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๕ วัน ประชุมพราหมณ์ ๑๐๘ คน ถวายพระนามพระโพธิสัตว์ว่า"สิทธัตถะ"
มีความหมายว่า "ผู้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ"

     เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติได้ ๗ วัน พระนางมหามายาเทวี พระมารดาสวรรคต พระนางปชาบดีโคตมี พระน้านางได้รับหน้าที่เป็นผู้เลี้ยง
ดูพระโพธิสัตว์ต่อมา

     เมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา ทรงได้พระโอรสองค์หนึ่ง พระนามว่า ราหุล หลังจากพระราหุลประสูติได้ ๑ วัน พระโพธิสัตว์ก็เสด็จ
ออกบวช เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ คืนเพ็ญเดือน ๘ ไปยังแม่น้ำอโนมา แล้วทรงถือเพศบรรพชิต ณ ฝั่ง
แม่น้ำอโนมา ในคืนวันนั้น

     ในวันที่ ๙ แห่งการบวช พระโพธิสัตว์เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์เป็นครั้งแรก พระโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา อยู่
ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เป็นเวลา ๖ ปี

     ครั้นวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา อัญชันศักราช ๑๐๓ เวลา ๐๕.๓๓ น. พระโพธิสัตว์ ได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอัน
ทำให้พระองค์ได้พระนามว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ซึงมีความหมายว่า "ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง"

๒. สหชาติของพระพุทธเจ้า

     สิ่งที่เกิดขึ้นวันเดียวกับการประสูติของพระสิทธัตถกุมาร คือ

     ๑.  พระนางยโสธรา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ

     ๒.  พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า

     ๓.  นายฉันนะ มหาดเล็กผู้ติดตามเจ้าชายสิทธัตถะในวันเสด็จออกบวช

     ๔.  กาฬุทายีอำมาตย์ ผู้ที่พระเจ้าสุทโธทนะ ส่งไปเชิญเสด็จพระพุทธเจ้า ให้เสด็จมาเยี่ยมกรุงกบิลพัสดุ์ และได้บวชเป็นภิกษุ
แล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์

     ๕.  ม้ากัณฐกะ ที่เจ้าชายสิทธัตถะประทับเสด็จออกบวช

     ๖.  ต้นพระศรีมหาโพธิ์ คือต้นไม้ที่พระพุทธองค์ประทับตรัสรู้

     ๗.  ขุมทรัพย์ ๔ ขุม

๓. พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?

     ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งในอดีต ในอนาคต และปัจจุบัน ตรัสตู้เรื่องเดียวกัน คือ อริยสัจ ๔
ได้แก่ เรื่องทุกข์ คือทรงพบว่าธรรมชาติของชีวิตประกอบด้วยทุกข์ประเภทต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า
ทุกขอริยสัจ = ความจริงคือทุกข์

     เรื่องสาเหตุของทุกข์  คือทรงพบว่า ทุกข์แต่ละอย่างนั้น เนื่องมาจากสาเหตุ คือ ตัณหาประเภทต่างๆ เรียกว่า
ทุกขสมุทัย = เหตุให้เกิดทุกข์

     เรื่องความดับทุกข์ คือทรงพบว่า ทุกข์นั้นดับได้ หรือแก้ไขได้ โดยการดับหรือขจัดตัณหาอันเป็นสาเหตุของมันเสีย เรียกว่า
ทุกขนิโรธอริยสัจ = ความจริงคือความดับทุกข์

     เรื่องหนทางให้ถึงความดับทุกข์ คือ ทรงพบว่า ความดับทุกข์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ก็โดยการปฏิบัติ หรือดำเนินตามแนวทาง
สายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) หรือมรรคมีองค์ ๘ ได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การมีวาจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีพชอบ
ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ = ความจริงคือหนทางให้ถึงความดับทุกข์

     อริยสัจ ๔ โดยใจความก็คือความจริงเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์ของชีวิต หรือกล่าวในความหมายรวม ก็คือความจริงเรื่องชีวิตนั่นเอง

     จากการพบหรือเห็นความจริงของชีวิต ในอริยสัจ ๔ ดังกล่าว ทำให้พระพุทธองค์ทรงพบความจริงอีกอย่างหนึ่งคือ ความที่ทุกสิ่งล้วน
อาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้นและดับไป พระพุทธองค์ทรงเรียกกระบวนการหรือความจริงอันนี้ว่า ปฏิจจสมุปบาท = การอาศัยซึ่งกันและกัน
เกิดขึ้น

     กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทนั้น กล่าวโดยใจความ ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ทั้งวัตถุและชีวิตรวม ทั้งธรรมชาติที่เป็น
นามธรรมล้วน เป็นไปตามกฎแห่งเหตุและผล

     การตรัสรู้ หรือการค้นพบหลักอรัยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า จึงเป็นการค้นพบความจริงของโลกและชีวิตว่า โลกและชีวิตทั้งปวงเป็นไป
ตามกฏแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และเสื่อมสิ้นไปโดยปราศจากเหตุผล

๔. ต้นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

     พระพุทธศาสนาเชื่อว่า พระพุทธเจ้าได้เคยมีมาแล้วในอดีตหลายพระองค์ แต่ละพระองค์ตรัสรู้ภายใต้ต้นไม้ต่างๆกัน แต่ต้นไม้ทุกชนิด
ที่เป็นที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เรียกว่า "พระศรีมหาโพธิ์"  ซึ่งมีความหมายว่า "ต้นไม้ที่ตรัสรู้" ในอดีตได้มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว
๒๔ พระองค์ รวมทั้งพระโคตมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์  พระศรีมหาโพธิ์ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ดังนี้

     ๑.  พระทีปังกรพุทธเจ้า                    ต้นมะขวิด
     ๒.  พระโกณฑัญญพุทธเจ้า              ต้นขานาง
     ๓.  พระมังคลพุทธเจ้า                      ต้นกากะทิง
     ๔.  พระสุมนพุทธเจ้า                        ต้นกากะทิง
     ๕.  พระเรวตพุทธเจ้า                        ต้นกากะทิง
     ๖.  พระโสภิตพุทธเจ้า                       ต้นกากะทิง
     ๗.  พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า               ต้นกุ่ม
     ๘.  พระปทุมพุทธเจ้า                       ต้นอ้อยช้าง
     ๙.  พระนารทพุทธเจ้า                      ต้นอ้อยช้าง
     ๑๐. พระปทุมุตตรพุทธเจ้า                 ต้นสาละ
     ๑๑. พระสุเมธพุทธเจ้า                      ต้นกะทุ่ม
     ๑๒. พระสุชาตพุทธเจ้า                     ต้นไผ่
     ๑๓. พระปิยทัสสีพุทธเจ้า                  ต้นกุ่ม
     ๑๔. พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า                ต้นจำปา
     ๑๕. พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า                ต้นมะพลับ
     ๑๖. พระสิทธัตถพุทธเจ้า                  ต้นกรรณิกา
     ๑๗. พระติสสพุทธเจ้า                      ตันประดู่
     ๑๘. พะปุสสพุทธเจ้า                        ต้นมะขามป้อม
     ๑๙. พระวิปัสสีพุทธเจ้า                     ต้นแคฝอย
     ๒๐. พระสิขีพุทธเจ้า                         ต้นกุ่มบก
     ๒๑. พระเวสสภูพุทธเจ้า                    ตันสาละ
     ๒๒. พระกกุสันธพุทธเจ้า                   ต้นซึก
     ๒๓. พระโกนาคมนพุทธเจ้า               ต้นมะเดื่อ
     ๒๔. พระกัสสปพุทธเจ้า                     ต้นไทร
     ๒๕. พระโคตมพุทธเจ้า                     ต้นโพธิ์

๕. ที่ประทับจำพรรษาของพระพุทธเจ้า

     พรรษาที่ ๑            ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
     พรรษาที่ ๒            เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์
     พรรษาที่ ๓            เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์
     พรรษาที่ ๔            เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์
     พรรษาที่ ๕            ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี
     พรรษาที่ ๖            มกุลบรรพต ใกล้กรุงโกสัมพี
     พรรษาที่ ๗            ดาวดึงส์เทวโลก
     พรรษาที่ ๘            เภสกลาวัน ใกล้เมืองสุงสุมาระคีระ
     พรรษาที่ ๙            โฆสิตาราม กรุงโกสัมพี
     พรรษาที่ ๑๐           รักขิตวัน ป่าปาลิเรยยกะ
     พรรษาที่ ๑๑           ทักขิณาคิริวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์
     พรรษาที่ ๑๒           เมืองเวรัญชา
     พรรษาที่ ๑๓           จาลิกบรรพต เมืองจาลิกา
     พรรษาที่ ๑๔           เชตวนาราม กรุงสาวัตถี
     พรรษาที่ ๑๕           นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์
     พรรษาที่ ๑๖           เมืองอาฬวี
     พรรษาที่ ๑๗           กรุงราชคฤห์
     พรรษาที่ ๑๘           จาลิยบรรพต ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์
     พรรษาที่ ๑๙           จาลิยบรรพต ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์  
     พรรษาที่ ๒๐           เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์
     พรรษาที่ ๒๑ - ๔๔  กรุงสาวัตถี โดยประทับสลับกันไปมาระหว่างเชตวนาราม กับ ปุพพาราม
     พรรษาที่ ๔๕          บ้านเวฬุวคาม ใกล้กรุงเวสาลี

๖. ความเหมือน ความต่างกัน ของพระพุทธเจ้า

     พระพุทธศาสนาสอนว่า พระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์ คือในอดีตกาลนานไกลก็เคยมีพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ ในอนาคต
กาลก็จักมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นอีก พระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น มีทั้งความเหมือนกัน และความต่างกัน กล่าวคือ

     พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เหมือนกันในเรื่องคุณธรรมที่ทรงบรรลุ คือ พระสัพพัญญุตญาณ พระทศพลญาณ และโทษที่ทรงละได้

     พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ต่างกันในเรื่องเหล่านี้คือ กาล, อายุ, ประมาณ, การบวช, ความเพียร, ที่ตรัสรู้, พระรัศมี,

     พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้นในเวลาที่มนุษย์มีอายุอย่างต่ำ ๑๐๐ ปี อย่างสูง ๑๐๐,๐๐๐ ปี

     พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะทรงบำเพ็ญเพียรอย่างต่ำ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ อย่างสูง ๑๖ อสงไขยแสนกัปป์

     พระพุทธเจ้าบางพระองค์อุบัติในตระกูลกษัตริย์ บางพระองค์อุบัติในตระกูลพราหมณ์

     พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะมีพระกายสูงอย่างต่ำ ๑๕-๑๘ ศอก อย่างสูงไม่เกิน ๘๘ ศอก

     พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จออกบวชด้วยช้างบ้าง ด้วยม้าบ้าง ด้วยรถบ้าง ด้วยวอบ้าง โดยทางอากาศบ้าง

     พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงบำเพ็ญเพียร ๗ วันบ้าง กึ่งเดือนบ้าง หนึ่งเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง หนึ่งปีบ้าง
สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง ห้าปีบ้าง หกปีบ้าง จึงตรัสรู้

     พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ต่างๆกัน คือ ต้นโพธิ์บ้าง ต้นไทรบ้าง เป็นต้น

     พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีพระรัศมีวาหนึ่ง บางพระองค์มีพระรัศมี ๘๐ ว่า บางพระองค์มีพระรัศมีไม่มีกำหนด แต่สามารถแผ่ไปได้
ตามพระประสงค์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่