หมดยุคเศรษฐกิจรวยหุ้นเร็ว มีใครยังอยากลาออกมาเล่นหุ้นอย่างเดียวมั่ง

กระทู้คำถาม
โดย...เจียรนัย อุตะมะ


ตลาดหุ้นไทยใน 2 วันนี้ที่ดิ่งหนักถึง 74 จุด หรือดิ่งลงมา 45% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยการลดลงของดัชนีหุ้นเอเชีย ด้วยการไหลออกของเงินทุนนอกไปแล้วประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

เป็นสัญญาณว่าฟองสบู่ที่ก่อตัวขึ้นใน 1-2 ปีนี้ ได้แตกไปเรียบร้อยแล้ว

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เคยพุ่งขึ้นใน 2 ปีที่ผ่านมาเพราะมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) กำลังพลิกเป็นขาลงเพราะการถอนคิวอี โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม TIPs คือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ปริมาณเงินทุนนอกที่เคยไหลทะลักเข้ามาได้เริ่มทยอยกลับสหรัฐและยุโรปที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว สวนทางประเทศในเอเชียที่กำลังเดินเข้าสู่ภาวะชะลอตัว

ปรากฏการณ์ที่สะท้อนได้ชัดของเงินทุนไหลออกคือ พลันที่ตัวเลขอัตราเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในไตรมาส 2 ที่เติบโตเพียง 2.8% ต่ำกว่าผลสำรวจประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดไว้ 3.3% และเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 นั้น เข้าขั้นถดถอยทางเศรษฐกิจไปแล้ว

ผลที่ตามมาคือ ตลาดเงิน ตลาดทุนป่วนหนัก เงินบาทอ่อนค่าทันทีใน 2 วัน เกือบ 45 สตางค์ หุ้น ตราสารหนี้ ถูกเททิ้งอย่างหนัก ปริมาณเงินทุนไหลออกเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2 วันที่ผ่านมา

แม้อาการของหุ้นไทยยังไม่สาหัสเท่าอินโดนีเซียที่มีปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดรุนแรง ฉุดดัชนีทรุดถึง 89% ทั้งที่กองทุนบำนาญของรัฐบาลอินโดนีเซียได้เข้าพยุงซื้อหุ้นรัฐวิสาหกิจแล้ว ส่วนฟิลิปปินส์รอดตัวเพราะตลาดหุ้นปิดทำการในช่วงนี้พอดี

แต่หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท โดยไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะขายอีกเท่าใด และกดดัชนีให้ลงไปมากน้อยแค่ไหน

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสิน ประเมินว่า หากคิดตั้งแต่เม็ดเงินต่างชาติเข้ามาซื้อช่วงมีการอัดฉีดเงินเชิงประมาณ (คิวอี 2) ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. 2553 จนถึงปัจจุบัน จะพบว่าต่างชาติเหลือยอดซื้อสะสม 1.77 หมื่นล้านบาท จากระดับสูงสุดเมื่อต้นเดือน ก.พ. 2556 ที่ 1.41 แสนล้านบาท โดยพิจารณาจากยอดซื้อสะสมรวมกำไรจากการลงทุน

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ หมายความว่ายังเหลือเงินในตลาดหุ้นที่จะขายออกไปอีกเพียง 1.77 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

“หากพิจารณายอดขายสุทธิในแต่ละประเทศนับตั้งแต่ต้นปี จะพบว่า ไทยถูกขายสุทธิออกมาสูงสุด 95% จากยอดซื้อสุทธิสะสมเทียบประเทศในกลุ่ม TIPs ที่ถูกขายออกมาน้อยกว่า อินโดนีเซียขายออก 51% ฟิลิปปินส์ 3% ดังนั้นจึงคาดว่าต่างชาติจะมุ่งขายไปประเทศอื่นทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เพราะยังมียอดซื้อสะสมไว้สูงมาก” นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ให้ความเห็น

นอกจากนั้น ยังมีนักลงทุนอีกกลุ่มคือสถาบันในประเทศที่มีแนวโน้มจะขายหุ้นออกเพราะมียอดซื้อสะสมตั้งแต่ต้นปีถึง 6.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จะครบกำหนดไถ่ถอน

การขายหุ้นของต่างชาติรอบนี้ ถ้านับจากดัชนีสูงสุดช่วงเดือน พ.ค. ก่อนรับรู้สัญญาณถอนมาตรการเชิงปริมาณ หรือคิวอี ของสหรัฐ จนถึงวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา นับว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของตลาดหุ้นไทยหายไปแล้วถึง 2 ล้านล้านบาท คนเคยรวยจากหุ้นจึงเจ็บตัวกันระนาว

ผลจากการขายหุ้นออกตั้งแต่ต้นปีได้กดดันให้เงินในแถบภูมิภาคเอเชียอ่อนค่าเฉลี่ย 7% สวนทางเงินยูโรและเหรียญสหรัฐ ยิ่งเป็นปัจจัยให้ต่างชาติถอนเงินออกไป กดดันดัชนีหุ้นในเอเชียต่อไปอีก

นักลงทุนหน้าใหม่วัยทำงานที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาเมื่อต้นปี 4 หมื่นบัญชี ถึงคราวต้องคิดใหม่ ว่าการเข้ามาในตลาดปีนี้นั้นไม่สามารถสร้างฐานะได้เร็วกว่าเงินเดือนประจำอีกแล้ว

เศรษฐีใหม่ที่เพิ่งผลักดันบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นมาได้เพียงแค่ 6 เดือน2 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ความมั่งคั่งได้ลดลงไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

เม็ดเงินที่เคยคล่องมืออาจฝืดเคืองในไม่ช้านี้

คิวอีที่เคยดันหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นจากดัชนีประมาณ 400 จุดขึ้นมาตามลำดับพร้อมกับการปรับเป้าหมายดัชนีของโบรกเกอร์ ที่รวมเอาปัจจัยเงินไหลเข้ามาคิดคำนวณนอกเหนือไปจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน ถึงขนาดมีการคาดหวังสูงสุดไปไกลถึงขั้นที่ว่าดัชนีสิ้นปีนี้จะไปแตะระดับสูงสุดที่เคยทำได้เมื่อครั้งฟองสบู่ฟูฟ่องเมื่อปี 2537 ที่ 1,700 จุด อาจไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

เพราะข้อมูลลึกๆ จากธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินว่าเงินทุนไหลเข้าสุทธิเริ่มชะลอลง และมีเงินเหลือจริงที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้เพียง 2,700 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น คิดเป็นเงินบาทก็ตก 8.7 หมื่นล้านบาท และเงินทุนเหล่านี้พร้อมไหลออกได้ทุกเมื่อ

การผลักดันของเงินร้อนด้วยต้นทุน 7 หมื่นล้านบาท เมื่อ 2 ปีก่อน ได้ทำให้ดัชนีได้ขึ้นไปเคลื่อนไหวใกล้ 1,600 จุด ทำให้เงินต้นเมื่อคิดกลับมาเป็นดัชนีปัจจุบันนี้กว่า 1,300 จุดนั้น เติบโตขึ้นกว่า 2 เท่า จากการไล่ซื้อหุ้นขึ้นมาเรื่อยๆ

ล่าสุดดัชนีที่เคยหวังไว้สูงสุด กลับถูกปรับลดลงมาปีนี้เหลือเพียง 1,400-1,580 จุด เมื่ออ้างอิงจากจีดีพีปีนี้ที่ระดับ 3.74% จากเดิม 44.9% เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ต้องลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั้ง 500 กว่าบริษัทลงถึง 4.8% นั่นหมายถึงว่าค่าเฉลี่ยของราคาหุ้นทั้งกระดานในตลาดหุ้นไทยจะเหลือแค่หุ้นละ 99.7 บาท จากเดิมที่สูงเกินกว่าหุ้นละ 107 บาทเศษ

จนลงถ้วนหน้าทั้งกระดาน...

พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรเร่งการใช้งบประมาณปกติให้ออกมาเร็วที่สุดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่หวังงบประมาณโครงการสาธารณูปโภค 2.2 ล้านล้านบาท เพราะคาดว่าจะล่าช้า

ถึงเวลาแล้วที่นักลงทุนรายเล็ก รายใหญ่ ในตลาดหุ้นไทยจะกลับคืนสู่ความเป็นจริง ด้วยการใช้ปัญญาในการลงทุน มิใช่คำลวงจากนักปั่นหุ้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่