ออกตัวก่อนว่าผมเป็นคนเลือกข้าง และเพื่อนผมก็เลือกข้างเช่นเดียวกัน
โดยที่เราอยู่ตรงกันข้ามกัน
เพื่อนที่ว่าไม่ใช่ 1 แต่ถึง 2 คนด้วยกันโดยที่เพื่อนทั้ง 2 นั้นอยู่ข้างเดียว
กัน ทำงานที่เดียวกัน (ผมทำงานอีกที่) เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผมทั้ง 2
คน
โดยส่วนตัวแล้ว ผมให้เกียรติกับทุกคนในเรื่องความเห็นต่างทางการ -
เมือง เพราะผมมีความเชื่อว่า การเมืองคือเรื่องส่วนตัวและเป็นความเชื่อ
ซึ่งเรื่องของความเชื่อ มันไม่มีถูกและไม่มีผิด คนทุกคนคงมิอาจจะเห็น
ตรงกันหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมประเทศไทยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัง-
คมประชาธิปไตย คนทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร หรือมีความ
เห็นใด ๆ ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก
คำว่า "ให้เกียรติ" ของผมนี้ หมายถึง . . .
ผมจะไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับใครเลย ยกเว้นคนในครอบ
ครัวเท่านั้น ไม่ว่าจะในวงสนทนา โต๊ะอาหาร งานสังสรร ทุกครั้งที่มีคน
เปิดประเด็นเรื่องการเมืองขึ้นมา และลามมาถึงผม คำพูดที่ทุกคนจะได้
ยินอยู่เสมอคือ "ขอ งด ออกความเห็น"
เพราะผมเชื่อว่า เรื่องการเมืองปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ไม่ว่าเรา
จะแสดงความเห็นอะไรออกไปก็ตาม อาจจะมีคำพูด เรื่องราว หรือความ
คิดเห็นส่วนตัวที่หลุดออกไปและทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นได้
ผมจึงให้เกียรติความรู้สึกของทุกคนด้วยการไม่ออกความเห็นดูจะเป็นการ
ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าคนอื่นอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
แม้กระทั่งในโลก social network ก็ตามที การกด like กด share หรือ
ส่งต่อเรื่องราวทางการเมืองใด ๆ จะไม่เคยปรากฎในหน้า wall ของผม
เลยโดยเด็ดขาด เพราะผมเองก็ทราบดีว่า เพื่อนของผมแต่ละคนก็ต่างมี
ความเชื่อไม่เหมือนกัน มีทั้งอยู่ข้างเดียวกันหรือคนละข้าง ไม่ว่าเราจะทำ
อะไร มันต้องมีสักคนที่ไม่ชอบการกระทำของเราเสมอ
ตัวผมเองนั้นแยกเรื่องความเชื่อทางการเมืองกับเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน
ออกจากกันเด็ดขาด แม้ว่าเพื่อนร่วมงานของผมหลายคน จะไม่ใช่ขั้วการ-
เมืองฝั่งเดียวกับผม แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะผมก็ปฏิบัติกับเขาเหมือน
ที่ผมปฏิบัติกับทุกคน
ความเห็นต่างย่อมเกิดขึ้นได้ และไม่มีถูกไม่มีผิด ที่สำคัญเรื่องการเมืองเป็น
ความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งผมจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น ผมเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยดีกว่า ซึ่งดูเหมือนกัน การให้เกียรติของ
ผมที่มีต่อเพื่อนมากขนาดนี้ ก็ยังไม่ดีพอ
สิ่งที่ทำให้ผมตกใจ และประหลาดใจ คือ เรื่องแบบนี้ มันควรจะเป็นเรื่องที่
เกิดขึ้นกับเด็กที่ยังอ่อนต่อโลก หรือคนที่มีวัยวุฒิ คุณวุฒิน้อยกว่านี้ เพราะ
การกระทำแบบนี้ มันไม่ได้ส่งผลดีอะไรเลย ในงานสังคม งานสังสรร หรือ
งานเลี้ยงต่าง ๆ เราก็ยังคงจะต้องพบปะพูดคุยเจอะเจอกันอีกมาก ผมไม่คิด
ว่าจะพบในกลุ่มคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นชนชั้นแนวหน้า ที่สูงทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ
แบบนี้
ในส่วนหนึ่งผมก็รู้สึกเสียใจที่เพื่อนของผมทั้ง 2 คนไม่สามารถแยกแยะเรื่อง
ความเชื่อทางการเมือง ออกจากเรื่องส่วนตัวได้ แม้ว่าเพื่อนทั้ง 2 จะไม่ได้
สนิทกับผมมาก ถึงขนาดพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ก็ไม่คิดว่า ความสัมพันธ์
ของการเป็นเพื่อนที่ยาวนาน และมีประสบการณืร่วมกันมากมาย จะจบลงได้
ง่ายมากถึงเพียงนี้ เพียงเพราะเรามีความคิดเห็นแตกต่างกันทางการเมืองเท่า
นั้น
วันนี้ผมถูกเพื่อนยกเลิกการเป็นเพื่อนใน facebook ด้วยเหตุผลทางการเมือง
โดยที่เราอยู่ตรงกันข้ามกัน
เพื่อนที่ว่าไม่ใช่ 1 แต่ถึง 2 คนด้วยกันโดยที่เพื่อนทั้ง 2 นั้นอยู่ข้างเดียว
กัน ทำงานที่เดียวกัน (ผมทำงานอีกที่) เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผมทั้ง 2
คน
โดยส่วนตัวแล้ว ผมให้เกียรติกับทุกคนในเรื่องความเห็นต่างทางการ -
เมือง เพราะผมมีความเชื่อว่า การเมืองคือเรื่องส่วนตัวและเป็นความเชื่อ
ซึ่งเรื่องของความเชื่อ มันไม่มีถูกและไม่มีผิด คนทุกคนคงมิอาจจะเห็น
ตรงกันหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมประเทศไทยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัง-
คมประชาธิปไตย คนทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร หรือมีความ
เห็นใด ๆ ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก
คำว่า "ให้เกียรติ" ของผมนี้ หมายถึง . . .
ผมจะไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับใครเลย ยกเว้นคนในครอบ
ครัวเท่านั้น ไม่ว่าจะในวงสนทนา โต๊ะอาหาร งานสังสรร ทุกครั้งที่มีคน
เปิดประเด็นเรื่องการเมืองขึ้นมา และลามมาถึงผม คำพูดที่ทุกคนจะได้
ยินอยู่เสมอคือ "ขอ งด ออกความเห็น"
เพราะผมเชื่อว่า เรื่องการเมืองปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ไม่ว่าเรา
จะแสดงความเห็นอะไรออกไปก็ตาม อาจจะมีคำพูด เรื่องราว หรือความ
คิดเห็นส่วนตัวที่หลุดออกไปและทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นได้
ผมจึงให้เกียรติความรู้สึกของทุกคนด้วยการไม่ออกความเห็นดูจะเป็นการ
ดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าคนอื่นอาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้น
แม้กระทั่งในโลก social network ก็ตามที การกด like กด share หรือ
ส่งต่อเรื่องราวทางการเมืองใด ๆ จะไม่เคยปรากฎในหน้า wall ของผม
เลยโดยเด็ดขาด เพราะผมเองก็ทราบดีว่า เพื่อนของผมแต่ละคนก็ต่างมี
ความเชื่อไม่เหมือนกัน มีทั้งอยู่ข้างเดียวกันหรือคนละข้าง ไม่ว่าเราจะทำ
อะไร มันต้องมีสักคนที่ไม่ชอบการกระทำของเราเสมอ
ตัวผมเองนั้นแยกเรื่องความเชื่อทางการเมืองกับเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน
ออกจากกันเด็ดขาด แม้ว่าเพื่อนร่วมงานของผมหลายคน จะไม่ใช่ขั้วการ-
เมืองฝั่งเดียวกับผม แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะผมก็ปฏิบัติกับเขาเหมือน
ที่ผมปฏิบัติกับทุกคน
ความเห็นต่างย่อมเกิดขึ้นได้ และไม่มีถูกไม่มีผิด ที่สำคัญเรื่องการเมืองเป็น
ความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งผมจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยอย่างเด็ดขาด
ดังนั้น ผมเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยดีกว่า ซึ่งดูเหมือนกัน การให้เกียรติของ
ผมที่มีต่อเพื่อนมากขนาดนี้ ก็ยังไม่ดีพอ
สิ่งที่ทำให้ผมตกใจ และประหลาดใจ คือ เรื่องแบบนี้ มันควรจะเป็นเรื่องที่
เกิดขึ้นกับเด็กที่ยังอ่อนต่อโลก หรือคนที่มีวัยวุฒิ คุณวุฒิน้อยกว่านี้ เพราะ
การกระทำแบบนี้ มันไม่ได้ส่งผลดีอะไรเลย ในงานสังคม งานสังสรร หรือ
งานเลี้ยงต่าง ๆ เราก็ยังคงจะต้องพบปะพูดคุยเจอะเจอกันอีกมาก ผมไม่คิด
ว่าจะพบในกลุ่มคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นชนชั้นแนวหน้า ที่สูงทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ
แบบนี้
ในส่วนหนึ่งผมก็รู้สึกเสียใจที่เพื่อนของผมทั้ง 2 คนไม่สามารถแยกแยะเรื่อง
ความเชื่อทางการเมือง ออกจากเรื่องส่วนตัวได้ แม้ว่าเพื่อนทั้ง 2 จะไม่ได้
สนิทกับผมมาก ถึงขนาดพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ก็ไม่คิดว่า ความสัมพันธ์
ของการเป็นเพื่อนที่ยาวนาน และมีประสบการณืร่วมกันมากมาย จะจบลงได้
ง่ายมากถึงเพียงนี้ เพียงเพราะเรามีความคิดเห็นแตกต่างกันทางการเมืองเท่า
นั้น